“เป็นยังไงบ้าง เหน่ื่อยหรือเปล่าลูกไม่ค่อยกลับมานอนบ้านใหญ่เลยช่วงนี้”
เสียงแม่เลี้ยงกานดาเอ่ยถามลูกชายคนโตที่เดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางอิดโรย แต่ก็ยังคงความหล่อเหลาและดูดีอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ลูกชายของเธอจะทำงานหนักและไม่ค่อยได้พักผ่อนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาของใบหน้าคมลดลงเลย กลับมีเสน่ห์ด้วยซ้ำเมื่อลูกชายยุ่งจนไม่มีเวลาโกนหนวดโกนเคราที่ขึ้นหร็อมแหร็มอยู่ตอนนี้ทำให้ใบหน้าขาวจึงดูเข้มขึ้นดึงดูดผู้พบเห็น ผิวที่ขาวอย่างคนที่อยู่ในอากาศเย็นและขาวตามยีนของผู้แม่ดูคล้ำลงเพียงแค่เล็กน้อยแต่ก็ถือว่ายังขาวอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่นลูกชายเธอหล่อขนาดนี้ทำไมยังไม่มีแฟนนะ
เมื่อก่อนสมัยเรียนปริญญาโทลูกชายของเธอคบกับแฟนสาวจนถึงขั้นจริงจังจะขอแต่งงาน แต่ฝ่ายหญิงมาขอเลิกเสียก่อนเพราะพบรักกับเศรษฐีเมืองนอก ทำให้ชายหนุ่มอกหักจนไม่ได้คบใครอีกเลยและขอเรียนต่อปริญญาเอกจนจบ พอจบมาก็ไปหมกตัวในไร่ แต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงมาจีบเพียงแต่ลูกชายเธอไม่สนใจต่างหากมัวแต่ขลุกอยู่ในไร่ชา จนตอนนี้ กิตติภูมิ เลิศธนาธีกานต์ หรือพี่บลู อายุ 29 ปี แล้วยังไร้คู่ครองมาข้างกาย แล้วเมื่อไหร่ที่เธอจะมีหลานย่ากับเขาเสียที
“ช่วงนี้ยุ่งครับแม่ ช่วงใกล้สิ้นเดือนต้องรีบปิดบัญชีต้องทำรายรับรายจ่ายและทำเรื่องเบิกค่าแรงคนงานครับเลยยุ่ง”
ร่างสูงกำยำถอดหมวกออกก่อนที่จะเดินมาหาผู้เป็นแม่แล้วหอมแก้มอิ่มที่เริ่มมีอายุแต่ยังคงความสวยงามอยู่เพื่อขอกำลังใจ คนเป็นแม่จึงลูบศีรษะลูกชายก่อนที่จะหอมแก้มลูกชายทั้งสองข้างตอบ
“หายเหนื่อยเลยครับ” ฝ่ายลูกชายยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ลักยิ้มที่ปรากฏอยู่ข้างแก้มทั้งสองข้างทำให้ใบหน้าหล่อมีเสน่ห์ขึ้น แต่น่าเสียดายลักยิ้มนี้ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวก็จะไม่ค่อยได้เห็น
“ยังไม่ได้เลขาหรือผู้ช่วยมาทำบัญชีเลยเหรอลูก ประกาศไปนานแล้วนะทำไมหายากจัง” แม่เลี้ยงเหนื่อยแทนลูกชายเพราะเห็นหาคนงานมาทำบัญชีเป็นเดือนสองเดือนแล้ว
“คงไม่มีใครอยากขึ้นไปอยู่ลำบากในที่กันดาร ไร้แสงสีเสียงหรอกครับแม่ ไม่เป็นไรครับระหว่างรอคนบลูก็พอจะทำได้แต่อาจจะช้าหน่อยต้องใช้เวลาหลังเลิกงาน เลยอาจจะไม่ค่อยได้มาที่บ้านใหญ่บ่อยนะครับ”
กิตติภูมิบอกมารดาไปตามความจริงเพราะถึงเขาจะให้ค่าจ้างสูงมากในการจ้างผู้ช่วยและมีคนสนใจสมัครมากมาย แต่พอบอกสถานที่ไปก็มาทำกันได้ไม่ถึงเดือนก็มาขอลาออกเพราะไม่ชอบชีวิตลำบากไกลสีเสียง ไกลความเจริญ
“เมื่อไหร่จะได้เมียสักทีล่ะลูกทำตัวยุ่งซะขนาดนี้” คนอยากเป็นย่าคนเปิดประเด็น พลางลูบศีรษะลูกชายที่นั่งพับเพียบกับพื้นเอาหน้าแนบตักแม่เหมือนอ้อนพร้อมกับหลับตาคุยกับแม่ ทิ้งมาดพ่อเลี้ยงไร่ชาที่ดุดันจริงจังกับงานไป
“ขนาดหาผู้ช่วยมาช่วยงานยังไม่ได้เลยครับแม่ หาเมียน่าจะยากมากกว่า” เจ้าลูกชายบอกแม่เหมือนน้อยใจในวาสนาให้แม่เอ็นดู
“โถ โถ พี่บลูลูกแม่ งั้นก็ต้องหาเมียที่มาช่วยงานได้ หรือหาผู้ช่วยมาช่วยงานแล้วจีบเป็นเมียซิลูก จับปลาครั้งเดียวได้นกสองตัว” แม่เลี้ยงแนะนำลูกชาย
“ใช่ที่ไหนละครับแม่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวรึเปล่า” ลูกชายค้านแม่เบาๆ
“อย่างน้อยแม่ก็ภูมิใจที่ลูกจำสุภาษิตไทยได้ ฮาฮาฮา ตกลงเอาอย่างที่แม่ว่านะดีไหมลูก” คนแกล้งพูดผิดบอกกับลูก
“แล้วคุณพ่อไปไหนครับเนี่ย ไม่เห็นหน้าเลย” ชายหนุ่มถามหาพ่อเลี้ยงธนาเพื่อพามารดาออกจากบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องมีครอบครัวของตัวเอง
“ไปหายัยโบว์เห็นน้องบอกว่ามีลูกค้าที่รีสอร์ตถามหาคุณพ่อบอกเป็นเพื่อนเก่าก็เลยจะไปดูว่าใครมาหา”
ถึงบ้านใหญ่จะปลูกไว้ในส่วนของรีสอร์ตแต่ก็แยกโซนกันชัดเจน ตอนนี้พ่อเลี้ยงธนาพ่อของเขาได้โอนในส่วนไร่ชาให้ชายหนุ่มดูแล ส่วนรีสอร์ตธีรกานต์ กฤติยาภรณ์หรือโบว์น้องสาวของเขาดูแลอยู่ โดยทั้งสองที่มีส่วนของกิตติภพน้องชายคนเล็กที่เรียนแพทย์อยู่อย่างละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
“แล้ว นี่หลานไปไหนครับปกติเห็นอยู่กับคุณยายตลอด”
ชายหนุ่มถามถึงน้องบูมลูกชายของกิตติภพน้องชายของเขาที่แม่เขาขอเลี้ยงหลานเองระหว่างที่น้องชายเขาเรียนแพทย์อยู่ พูดถึงบอมบอมน้องชายเขาก็เจอมรสุมชีวิตที่หนักหน่วงต้องท้องในวัยเรียนทำให้ต้องหยุดเรียนกลางคัน กว่าจะเคลียร์ปัญหาชีวิตได้กว่าจะได้กลับไปเรียนต้องเสียเวลาเป็นปี ตอนนี้แม่เลี้ยงกานดาจึงต้องขอเอาหลานไว้ดูแลเองเพื่อไม่ให้น้องชายห่วงลูกมากนัก จนทำให้เด็กน้อยวัยสองขวบกว่าก็ติดคุณยายมาก
“โน่น คุณตาเค้าเอาไปอวดเพื่อน” แม่เลี้ยงกานดาพูดไปยิ้มไป นางมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึงน้องบูมหลานรักของนาง
“เออ หิวหรือยังลูกไปอาบน้ำอาบท่าไปจะได้มาทานข้าว วันนี้นอนบ้านใหญ่ได้ไหมลูก” คนเป็นเเม่พูดเสียงเศร้าเพราะไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกชายช่วงนี้ แต่ใจจริงไม่อยากให้ลูกชายขับรถกลับไร่ตอนกลางคืนเพราะอยากให้พักผ่อนให้เต็มที่มากกว่า
“ได้ครับแม่ เดี๋ยวคืนนี้บลูนอนนี่ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าบลูค่อยกลับไร่ก็ได้ครับ งั้นบลูไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”
พอลูกชายบอกจะนอนค้างที่บ้านแม่เลี้ยงกานดายิ้มแก้มปริ นางอุตส่าห์แสดงละครทำหน้าเศร้าให้ลูกชายสงสารและก็ได้ผลในที่สุดลูกชายที่หายใจเข้าออกเป็นไร่ชาก็ยอมนอนค้างที่บ้านตั้งหนึ่งคืน เดี๋ยวต้องไปเตรียมกับข้าวไว้เผื่อให้ลูกชายเอากลับไปไว้ทานท่ี่ไร่ต่อพรุ่งนี้อีก
“คุณพ่อสวัสดีครับ” กิตติภูมิทักทายผู้เป็นบิดาหลังจากที่อาบน้ำแล้วลงมาเพื่อทานข้าว ก่อนที่จะนั่่งลงข้างพ่อเลี้ยงธนาผู้เป็นพ่อที่เล่นกับน้องบูมหลานชายตัวน้อยอยู่
“อ้าว ไอ้เสือมาแล้วเหรอลูก เป็นไงบ้างได้คนช่วยงานหรือยัง” พ่อเลี้ยงธนาเงยหน้าจากหลาน มาคุยกับลูกชายเพราะผู้ช่วยคนเก่าที่เคยทำงานกันมานานหลายปีมาลาออกกะทันหัน เพราะได้สามีชาวต่างชาติเลยต้องย้ายตามสามีไป ทำให้หาคนมาแทนไม่ทัน พอได้มาก็มาทำได้ไม่นานเพราะอยูู่บนดอยการเดินทางมาใช้ชีวิตในเมืองหรือกลับมาเยี่ยมบ้านลำบากก็ขอลาออกไปถึงสองคนแล้ว ลูกชายเลยต้องทำเองทุกอย่าง
“ยังครับพ่อ เดี๋ยวก็คงมีครับไม่เป็นไรบลูยังไหว” กิตติภูมิบอกเพื่อให้ผู้เป็นพ่อสบายใจ เขารู้ว่าทั้งพ่อและแม่เป็นห่วงแต่เขาก็อยากให้ทั้งสองที่ทำงานมาตลอดชีวิตพักผ่อนเลี้ยงหลานอยู่บ้าน เดี๋ยวปัญหาทุกอย่างเขาจะจัดการเอง
“น้องบูมว่าไงครับคนเก่ง คิดถึงป๊ะบลูไหม” กิตติภูมิถามหลานชายเพราะตอนแรกน้องบูมพูดคำว่าลุงไม่ได้เลยเรียก ปะบู ก่อนที่จะมาเป็น ป๊ะบลู
“คิดถึงมากๆ ฮะ ป๊ะบลูไม่ค่อยมา” เด็กน้อยน่ารักไม่เห็นหน้าของคนเป็นลุงผู้ใจดีนานเลยบอกคิดถึง และรีบลุกขึ้นกระโดดเข้ามาหอมเเก้มลุงบลูทันที
“โอ๊ย ขี้อ้อน น่ารักเหลือเกินหลานใครครับเนี่ย” คนเป็นลุงหลงหลานไม่ไหว ก่อนจะฟัดแก้มนุ่มๆ ของหลานซ้ายทีขวาทีด้วยความรัก
“หลานตากับหลานยายฮะ” หลานชายตอบฉะฉาน ทำเอาลุงที่รอฟังคำตอบที่อยากจะได้ยินแล้วชื่นใจว่าเป็นหลานตัวเองเก้อทันที
“ฮา ฮา ฮา ฮา อยู่เป็นจังเลยหลานตา ฟอดดด รักจังเลย ฟอดดด แกต้องมาให้หลานเห็นหน้าบ่อยๆ แล้วล่ะป๊ะบลู หลานถึงจะรัก” ชายหนุ่มหน้านิ่วเม่ื่อเจอคนเป็นพ่อขิงใส่
“ไม่งั้นต้องมีลูกเองแล้วล่ะตาบลูเอ้ย” คนเป็นแม่ยังไม่ลืมเรื่องอยากให้ลูกชายมีครอบครัว
“มันง่ายขนาดนั้นก็ดีซิครับแม่เลี้ยง สงสัยต้องแก่แล้วให้น้องบูมเลี้ยงแล้วล่ะ ใช่ไหมน้องบูม” ลูกชายโอดโอยพร้อมกับวางแพลนอนาคตตอนแก่ฝากไว้ที่หลานชาย
“พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคะ ขออนุญาตค่ะ” เสียงของป้าบุปผาแม่บ้านของบ้านใหญ่เดินเข้ามาขออนุญาตคนเป็นนายทั้งสอง
“อ้าว มีอะไรหรือเปล่าล่ะป้าผา” พ่อเลี้ยงธนาถามคนงานของตัวเองที่อยู่กันมานาน พร้อมกับแปลกใจในท่าทีเกรงอกเกรงใจไม่กล้าพูดของป้าบุปผา
“เอ่อ พอดีป้าอยากจะขอลางานไปกรุงเทพสักอาทิตย์น่ะค่ะ หลานชายของป้าจะรับปริญญาป้าก็เลยอยากจะไปแสดงความยินดีกับเขา พอจะได้ไหมคะ” ป้าบุปผาเอ่ยบอกด้วยท่าทางเกรงใจเพราะนางขอหยุดหลายวันเกินไป กลัวว่านายจ้างจะว่าเอาเพราะเงินเดือนค่าจ้างที่ได้รับถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับที่อื่น อีกทั้งกลัวตอนที่แกไม่อยู่คนอื่นจะทำงานไม่ถูกใจคนเป็นนาย
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะป้าผาแค่อาทิตย์เดียวเอง ตั้งแต่ทำงานมาป้าผายังไม่เคยขอหยุดงานเลยถ้าไม่บังคับให้หยุด” พ่อเลี้ยงธนาอนุญาตอย่างใจดีกับคนเก่าคนแก่ที่ภักดีกับตัวเอง
“ว่าแต่หลานชายป้าผาเรียนจบอะไรมาคะ พอจะรู้ไหม” แม่เลี้ยงกานดาถามต่ออย่างมีความหวัง
“เดี๋ยวแป๊บนึงนะคะ ป้าเปิดดูก่อน นี่ค่ะคณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี ค่ะ” ป้าบุปผาเปิดรูปหลานชายที่ถ่ายที่หน้าคณะมาให้ดูส่งให้แม่เลี้ยงกานดาดูทันที แกภูมิใจมากที่เงินค่าแรงจากอาชีพแม่บ้านของแกสามารถส่งเสียไปช่วยให้หลานชายเรียนจนจบปริญญา
“จบแล้วไปสมัครงานที่ไหนหรือยังจ๊ะป้าผา” แม่เลี้ยงถามยิ้มๆ
“ไปสมัครแล้วค่ะแม่เลี้ยงแต่รอเขาตอบกลับตอนนี้ก็ยังรอก่อนค่ะ ระหว่างรอที่กรุงเทพตอบรับเห็นว่าจะกลับมาลองสมัครแถวบ้านเราดูค่ะ”
“เอาอย่างนี้ไหมป้าผา ไม่ต้องไปรอสมัครที่ไหนแล้ว รับปริญญาเสร็จให้มาสมัครงานที่นี่เลย ตอนนี้ที่ไร่ชาขาดคนช่วยตาบลูทำบัญชีอยู่พอดี” แม่เลี้ยงเสนอทางออกให้ทางเลือกให้อย่างใจดี
“จริงเหรอคะแม่เลี้ยง ขอบพระคุณมากนะคะที่เมตตาเดี๋ยวป้าจะบอกข่าวดีกับหลาน เค้าคงดีใจที่จบแล้วมีงานทำใกล้บ้านค่ะ ว่าแต่คุณบลูจะรับหลานป้าจริงๆ ใช่ไหมคะ”
ป้าบุปผายังกลัวเจ้านายตัวจริงเจ้าของไร่ชาจะไม่รับหลานชายเพราะเจ้าตัวเขายังไม่เอ่ยปากว่ายังไง
“ครับ รับครับ” เจ้าของไร่พูดสั้นแต่ทว่าหนักแน่น
“มีอะไรวะมึง” บดินทร์เดินสวนกับสองยายหลานเข้ามา ถามเพื่อนขึ้นหลังจากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาข้างเพื่อนของตัวเองพร้อมกับวางกล่องที่บรรจุเหล้าหลากหลายยี่ห้อหลายต่อหลายขวดไว้บนโต๊ะ “ไม่มีอะไร แค่กูหล่อมากมีแต่คนอยากเอาเป็นผัว” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกปัดไปพร้อมกับอวยตัวเองให้เพื่อนหมั่นไส้เล่น “มั่นหน้านะมึง แล้วนี่มึงทำกับแกล้มหรือยัง” บดินทร์ถามเพราะยังไม่เห็นกับแกล้มมาวางที่โต๊ะตามที่เคยแต่อย่างใด “ยังเลย เกิดเรื่องก่อน มึงไปทำเลยไอ้ดิน ไม่รู้มีอะไรให้ทำบ้าง” กิตติภูมิบอกเพื่อนทันที เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เพื่อนดีที่สำคัญเขาทำอาหารที่ง่ายๆ ได้ไม่กี่อย่างเท่านั้น “มึงเนี่ยน้า สมควรมีเมียแล้วจริงๆ ทำกับข้าวห่าอะไรไม่เป็นสักอย่าง ต้องมีเมียให้เร็วที่สุดให้เมียทำให้กิน” บดินทร์บ่นพลางเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อที่จะหาอะไรมาทำแกล้มเหล้ากิน “นี่มึงไอ้บลู น้องข้าวโพดไปไหนวะ” บดินทร์ที่เริ่มกรึ่มๆ แล้วถามหาข้าวโพด “มึงจะถามหาทำไม วันนี้วันหยุดเค้า เค้าไม่อยู่หรอกไปออกเดตกับแฟน” กำลังจะอารมณ์ดีแล้วเชียว ไอ้ห่าดินนี้ก็ถามหาให้คิดทำไมวะ ป่านนี้ยังไม่กลับไม่รู้ไปสวีทหวานกับแฟนถึงไหน “ฮ้า น้อ
ตอนนี้เด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวเหมือนลูกคุณหนูสองคนมานั่งอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากไร่ชาเลิศธนา ทั้งสองคนแต่งตัวตามแบบนิยมที่นัดกันมา เพียงแต่คนละสีของน้ำมนต์ใส่สีออกไปทางชมพูโรสโกลด์เล็กน้อยเท่านั้น “เป็นไงบ้างน้ำมนต์ ได้เจอกับคู่หมั้นสุดหล่อหรือยัง” ข้าวโพดถามเพื่อนรักพลางดูดชาเขียวปั่นที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ คาเฟ่ที่นี่ร่มรื่นอากาศเย็นสบายมากมีต้นไม้และดอกไม้สวยไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ถ่ายรูป ไหนจะมีลำธารเล็กๆ ที่ทั้งสองคนลงมานั่งเอาขาแช่น้ำเย็นเจี๊ยบนี้อีก แต่ก่อนที่จะพากันเข้ามานั่งคุยกันทั้งสองได้พากันเดินถ่ายรูปเก็บเอาไปไว้ทำรูปโปรไฟล์ได้มากมายมีแต่รูปดูดีทั้งนั้น “ยังไม่ได้เจอเลย นัดกันเมื่อครั้งที่แล้วที่น้ำมนต์โทรหาข้าวโพดนั่นน่ะ ก็อีตาพี่ดินมันเบี้ยวหนีงานดูตัวไปหาเพื่อนรัก เลยไม่ได้เจอกัน วัันนี้ทางโน้นนัดมาน้ำมนต์เลยหนีบ้าง จะได้รู้ซะบ้างว่าเราก็ไม่ได้สนใจให้ความสำคัญอะไรเค้า” “แล้วจะได้เจอกันเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย แบบนี้คงไม่เจอทีเดียวตอนงานแต่งเลยเหรอ” ข้าวโพดขำเพื่อนรักกับพี่ดินเอาคืนกันไปกันมาไม่จบ ถ้าได้เจอตัวเจอหน้ากันจริงๆ กลัวแต่จะหลงกันเอง เพราะอย่างพี่ดิน
วันนี้เป็นวันที่ข้าวโพดนัดกับเพื่อนรักอย่างน้ำมนต์ไว้ว่าจะไปเที่ยวกัน ข้าวโพดจึงค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า วันนี้ร่างบางใส่กางเกงห้าส่วนสีน้ำตาลเหมือนที่ชอบใส่ กับเสื้อยืดสีขาวข้างในและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลปล่อยกระดุมด้านนอก พร้อมกับหมวกบัคเก็ตสีน้ำตาลอ่อนน่ารัก พอแต่งตัวเสร็จข้าวโพดก็คว้าเอาเป้คู่ใจมาสะพายก่อนที่เดินออกจากบ้านเพื่อไปทานอาหารเช้าที่บ้านไม้สักระหว่างรอเพื่อน พอเห็นร่างบางเดินเข้ามาในบ้านทำเอาคนที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนของบ้านต้องมองอีกคนอย่างใจเต้นตึกตัก และพยายามที่จะเดินพาตัวเองไปที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะไม่มีแรงเดิน ทำไมเด็กนี่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งน่ารักขึ้นทุกวันวะ แล้วดูแต่งตัววันนี้ซิยังกับจะไปออกเดต ผิวที่ขาวละมุนอยู่แล้วพอไปอยู่ในเสื้อผ้าสีน้ำตาลอ่อนกับสีขาวยิ่งขลับให้ผิวนั้นขาวน่ามองไปอีก ไอ้หมวกบ้าทรงประหลาดเหมือนทรงขอทานใบนั้นเวลาคนอื่นใส่บางคนมอซอเหมือนขอทานแต่พออยู่บนศีรษะทุยของเด็กนี่ทำไมมันน่ารักจัง โอ๊ย พอเถอะหัวใจเขาไม่ไหวจะเต้นรัวแล้ว ตอนนี้สงสัยจะหิวข้าวน้ำตาลต่ำแน่ๆ เลยรู้สึกแปลกๆ หวิวๆ หัวใจ “วันนี้จะไปเที่ยวไหน” เสียงทุ้มถา
“มึง กูเห็นมึงไปส่งน้องข้าวโพดของกูที่เรือนมะลิของมึง หมายความว่ายังไง”พอจอดรถได้บดินทร์ก็เดินตามหลังเพื่อนปรี่เข้ามาถามเพื่อนให้คลายสงสัยทันที ก่อนที่จะนั่งที่โซฟารับแขกมองตาเพื่อนเขม็งจ้องเอาคำตอบ“ก็เขาพักที่นั่น มึงจะให้กูไปส่งที่ไหน”กิตติภูมิบอกเพื่อน ไอ้ห่าดินกูเริ่มจะรำคาญมึงแล้วนะเอาแต่ถามถึงเรื่องข้าวโพด เอาแต่บอกว่าน้องข้าวโพดของกู เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงหลงเด็กซะแล้ว ไม่รู้ผู้ช่วยเขาไปอ่อยอะไรไว้อีกคนถึงได้ติดใจขนาดนี้“เดี๋ยวๆ ไอ้บลูปกติมึงหวงที่นั่นจะตาย พวกกูอยากนอนมึงยังไม่ให้นอนเลย มึงบอกมาน้องข้าวโพดเป็นอะไรกับมึงทำไมถึงได้พักที่นั่น หนำซ้ำได้นั่งเป็นตุ๊กตาสวยๆ หน้ารถมึง”“มึงอยากรู้ใช่ไหม มึงช่วยโทรไปถามแม่เลี้ยงกานดาให้กูหน่อย แม่กูจัดแจงทุกอย่าง ถ้ากูไม่ให้เค้าพักที่นั่นแม่เลี้ยงจะให้เค้านอนห้องเดียวกับกู ที่สำคัญเวลาไปทำงานก็ต้องไปรับไปส่ง มึงไม่ต้องอึ้งเพราะถึงเวลาอาหารเดี๋ยวมึงก็เจอเขาที่โต๊ะอาหารอีก”ชายหนุ่มรูปงามแต่ผิวเข้มกว่าเอาแต่อึ้งที่ไอ้พ่อเลี้ยงเพื่อนยากพูดออกมา จากการประมวลข้อมูลที่ได้รับคร่าวๆ ตอนนี้เพื่อนเขามันก็ไม่น่าต่างอะไรกับเขาเลย สงสัยมัน
“เข้าใจที่พูดใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามแล้วกัน” เสียงทุ้มของพ่อเลี้ยงหนุ่มพูดขึ้นหลังจากได้อธิบายงานในส่วนที่ผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ต้องทำต้องรับผิดชอบให้คนตัวเล็กฟัง ส่วนผู้ช่วยคนใหม่ก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ภายในออฟฟิศที่พ่อเลี้ยงกิตติภูมิสร้างไว้เป็นสำนักงานอาคารหลังใหญ่มีห้องทำงานของพ่อเลี้ยงอยู่ด้านในสุดและห้องของผู้ช่วยอยู่ติดกัน ส่วนด้านนอกเป็นห้องรับแขก ออฟฟิศอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักสักเท่าไหร่แต่ต้องเดินทางด้วยรถเท่านั้นเพราะถ้าเดินไปมีหวังขาลากแน่ๆ ทุกเช้าคนเป็นเจ้านายเลยต้องมีหน้าที่สารถีมารับผู้ช่วยของตัวเองที่เรือนมะลิเพื่อที่จะมาทำงานด้วยกันตามที่เเม่เลี้ยงกานดาได้จัดแจงหน้าที่ของเจ้าของไร่ชาที่ควรกระทำต่อลูกจ้างอย่างหนูข้าวโพดไว้ให้เขา “เข้าใจแล้วครับ” ผู้ช่วยคนใหม่ตอบเจ้านายหลังจากที่ได้รับฟังงานในหน้าที่ของตัวเอง งานของเขาไม่มีอะไรมากนอกจากการทำบัญชี รายรับรายจ่ายของไร่ การดูแลเรื่องการเบิกจ่ายค่าแรงของคนงาน และงบการเงินต่างๆ ส่วนมากทำให้ต้องอยู่แต่ในออฟฟิศ เจ้าของเสียงใสเอียงหน้าขึ้นมามองว่าอีกคนจะมอบหมายงานอะไรให้กับตัวเองก็ถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อพอเงยหน้าขึ้นมอง
ระหว่างการเดินทางคนที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดเห็นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากข้าวโพด ถึงจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ข้าวโพดก็ไปโตที่บ้านฝั่งพ่อที่จังหวัดแถวภาคกลาง และไปอยู่กรุงเทพเสียเป็นส่วนมากนานๆ จะมาเยี่ยมมาหายายบุปผาที่เชียงใหม่ที มาแล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน การได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เขียวชะอุ่มเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง มองข้างหน้ามีภูเขาอยู่เบื้องหน้าตัดกับท้องฟ้่าสีครามมีเมฆสีขาวประดับเหมือนปุยนุ่นสำหรับข้าวโพดแล้วมันเป็นอะไรที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวมาก ไม่คิดเลยว่าที่เมืองไทยจะมีวิวสวยๆแบบนี้ให้ดูนึกว่าจะมีแค่ที่เมืองนอกที่ข้าวโพดเคยดูในยูทูปท่าทางตื่นเต้นของข้าวโพดสร้างความเอ็นดูให้กับแม่เลี้ยงกานดามาก ใบหน้าเล็กทั้งสวยทั้งน่ารักนั่นเกาะกระจกมองทิวทัศน์ตลอดเวลา บ้างครั้งก็ผละออกมายิ้มและถามผู้เป็นยายความออดอ้อนของข้าวโพดที่ต่อทำกับยายมันทำให้แม่เลี้ยงคิดว่าถ้าไปอ้อนกับพี่บลูลูกชายผู้ท่าเยอะของนางจะเป็นอย่างไร แค่คิดแม่เลี้ยงก็แอบยิ้มหลุดหัวเราะออกมาคนเดียว“เป็นอะไรคุณอยู่ๆก็หัวเราะ” พ่อเลี้ยงธนาถามภรรยาเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ยิ้มและหัวเราะออกมาคนเดียว เขากับภรรยานั่งเบาะหลังสุดเลยทำให้มอง