บทที่ 7 ราชโองการฟ้าผ่า
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ราชโองการอีกฉบับก็ถูกส่งมายังจวนราชครูเผิงอีกครั้ง สร้างความประหลาดใจให้แก่เขายิ่งนัก เขาสั่งให้สาวใช้ไปตามเผิงฟู่หลินที่ยังคงถูกกักบริเวณออกมาเพื่อรับราชโองการดังกล่าว
“ฮ่องเต้มีราชโองการ ประทานอภิเษกสมรสให้กับอ๋องหนี่เส้าจวิน และเผิงฟู่หลิน บุตรสาวคนรองแห่งจวนราชครูเผิง จบราชโองการ”
เผิงฟู่หลินได้ยินราชโองการดังกล่าวก็ถึงกับตะลึงไป นางจ้องมองขันทีตรงหน้าด้วยสายตาอย่างไม่คาดคิด ราชครูเผิงถึงกับต้องสะกิดนางให้สำรวมกิริยาลง
หลังจากที่ขันทีกลับไป เผิงฟู่หลินก็โวยวายอีกครั้งใส่ท่านพ่อของนางอีกครั้ง “ท่านพ่อ ท่านนึกทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงมีราชโองการให้ข้าสมรสกับท่านอ๋องหนี่ได้เล่า ข้าไม่ยอม...ข้าเคยบอกท่านแล้วข้าจะแต่งกับท่านพี่ซูเว่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ราชครูเผิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ “หลินเอ๋อร์ ข้าเองก็ได้ยินเรื่องดังกล่าวพร้อมเจ้าเช่นกัน หากแต่ราชโองการมิอาจเปลี่ยนแปลง เจ้าจงเตรียมตัวแต่งงานเสียเถิด”
สิ้นคำพูดของบิดา เผิงฟู่หลินก็กรีดร้องออกมาพร้อมฟุบตัวลงก้มหน้าร้องไห้อย่างมิอาจกลั้น ฮูหยินเซียงได้แต่เข้ามาประคองกอดปลอบใจบุตรสาวไว้แนบออกของตนอย่างนึกสงสาร
ราชครูเผิงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีออกจากจวนทันที
จงหลีเข้ามารายงานเกี่ยวกับราชโองการดังกล่าวให้กับเผิงเสี่ยวว่านได้ฟัง นางยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนจะวางลง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนางอีกครั้ง นางรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก ตนที่เคยอยู่ใต้เงาเผิงฟู่หลินมาโดยตลอด บัดนี้นางจะไม่มีวันให้ใครลุกขึ้นมาเหยียบหัวของนางได้อีกแล้ว
เผิงฟู่หลินกักตัวเองอยู่แต่ภายในห้องนอน นางประท้วงด้วยการไม่ยอมทานสิ่งใดทั้งสิ้น นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ และอาละวาดเขวี้ยงปาข้าวของภายในห้องจนแตกกระจาย ความอารมณ์ร้ายของนางทำเอาสาวใช้ทั้งหลายต่างพากันหัวหดไม่กล้าย่างกรายเข้ามาภายในห้องแม้เพียงสักนิด จะมีก็แต่เจ้าจู สาวใช้คนสนิทของเผิงฟู่หลินที่ยังคอยดูแลและปลอบใจนางอยู่ไม่ห่าง
“คุณหนู โปรดระงับโทสะด้วยเถิด หากคุณหนูยังทำเช่นนี้ บ่าวเกรงว่าจะส่งผลต่อสุขภาพเอาได้นะเจ้าคะ” เจ้าจูเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ใคร ๆ ต่างเล่าลือว่าเผิงฟู่หลินเป็นหญิงสาวอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจ จนนึกอยากถอยห่าง แต่เจ้าจูที่ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดนางมาเนิ่นนานกลับคิดว่าสิ่งเหล่านี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี แท้จริงแล้วเผิงฟู่หลินมีจิตใจเมตตายิ่งนัก นางไม่เคยทำโทษบ่าวไพร่ให้เจ็บเจียนตายแม้สักครั้งหนึ่ง เจ้าจูยังจำได้ดีในตอนที่ทางบ้านของตนส่งข่าวมาว่าแม่ของตนป่วยหนักต้องใช้เงินรักษาตัวเป็นจำนวนมาก ครั้งพอเผิงฟู่หลินรู้เข้า นางรีบยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ตนในทันที พร้อมยังให้ตนลากลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมมารดาอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้เจ้าจูเคารพนับถือเผิงฟู่หลินยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง
“เจ้าจู ข้าจะทำเช่นใดดี ข้าต้องการแต่งงานกับท่านพี่ซูเว่ยเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เผิงฟู่หลินพึมพำออกมาด้วยท่าทีสิ้นหวัง นางยังคงร้องไห้ไม่หยุด ได้แต่นึกเจ็บแค้นใจที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้
“คุณหนู ท่านทำใจให้สบายเถิด หากมีสิ่งใดที่บ่าวสามารถช่วยเหลือได้ บ่าวยินดีทำทุกอย่างเจ้าค่ะ” เจ้าจูทำได้เพียงปลอบโยนนางให้คลายความเศร้า แม้จะรู้ดีว่าตนไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดเผิงฟู่หลินไปได้
ฮูหยินเซียงสาวเท้าเข้าไปยังห้องทำงานของสามี นางรีบคุกเข่าอ้อนวอนพร้อมน้ำตาที่นองอาบแก้ม
“ท่านพี่ ท่านโปรดช่วยลูกด้วยเถิด ข้ามิอาจทนเห็นหลินเอ๋อร์ต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีก”
“เจ้าคิดว่าข้ามิร้อนใจหรือ แต่เมื่อราชโองการออกมาแล้วจะให้ข้าทำเช่นไรได้เล่า หลินเอ๋อร์แต่งงานกับอ๋องหนี่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสียเมื่อใด หนี่เส้าจวินเป็นถึงบุตรชายคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว จวนของเราก็มิใช่ว่าจะขาดทุนเสียหน่อย” ราชครูเผิงพูดย้อนกลับไปยังภรรยาของตน
“ท่านพี่ เหตุใดท่านพี่จึงพูดเช่นนี้ ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าหลินเอ๋อร์รักซูเว่ยมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เป็นท่านพี่เองมิใช่หรือที่ปูทางให้นาง หากไม่ใช่ท่านนางจะต้องเสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ฮูหยินเซียงตัดพ้อออกมาเสียยกใหญ่ ในใจนางนึกเอาแต่เป็นห่วงบุตรสาว จนลืมตัวพรั่งพรูคำพูดที่ไม่สมควรออกมามากมาย
“หุบปาก เจ้าพูดอะไรออกมา เจ้ากำลังกล่าวโทษข้างั้นหรือ ในเมื่อซูเว่ยไม่รักหลินเอ๋อร์แล้วจะให้ข้าทำเช่นกัน เจ้าเลิกพูดจาไร้สาระกับข้าเสียที แล้วจงไปตระเตรียมงานแต่งของลูกสาวเจ้าเสียเถิด” ราชครูเผิงตะคอกเสียงดังใส่ฮูหยินเซียงด้วยความโมโห ก่อนจะตัดบทไล่นางออกไปจากห้อง อย่างไม่นึกอยากเห็นหน้านางในตอนนี้อีก
ฮูหยินเซียงมองหน้าสามีด้วยความผิดหวัง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปในทันที นางรีบเดินตรงไปยังห้องของบุตรสาวของตน นางได้แต่นึกน้อยใจ และก็ได้แต่อดสงสารบุตรสาวเสียมิได้
ฮูหยินเซียงเดินเข้ามาภายในห้อง ข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องทำให้นางได้แต่อดนึกสังเวชใจเสียมิได้
นางเห็นบุตรสาวของตนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก นางได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พร้อมยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาวอย่างแผ่วเบา “หลินเอ๋อร์ เจ้าจงทำใจเสียเถิด บัดนี้งานแต่งใกล้ถึงกำหนดแล้ว เจ้าจงตระเตรียมตัวให้พร้อมดีหรือไม่” ฮูหยินกล่าวปลอบใจบุตรสาวของตน
เผิงฟู่หลินหันหน้ากลับมามองมารดาของตนอย่างอ้อนวอน “ท่านแม่ ท่านตามใจข้ามาตลอด ท่านแม่โปรดช่วยข้าด้วย ข้ามิต้องการแต่งงานกับอ๋องหนี่ ข้ามิต้องการแต่งงานกับใครทั้งสิ้น” นางเพ้อราวกับคนจวนเจียนขาดใจ ทำเอาฮูหยินเซียงถึงกับใจหายวูบลงไปทันที
“หลินเอ๋อร์ ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่เรื่องราวผ่านมาจนถึงบัดนี้ เจ้าจะให้ข้าทำเช่นใดกันเล่า หากเจ้าขัดราชโองการ จวนแห่งนี้คงได้ถึงคราวนองเลือดเป็นแน่” ฮูหยินเซียงพยายามกล่าวเตือนสติบุตรสาว
เผิงฟู่หลินมองมารดาของตนด้วยความรู้สึกผิดหวัง “แล้วเหตุใดพวกท่านจึงไม่คิดถึงจิตใจของข้า เหตุใดพวกท่านจึงบังคับให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าไม่ต้องการ” นางก้มหน้าลงกับหมอนร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น
ฮูหยินได้แต่มองลูกสาวของตนด้วยความท้อแท้ใจ นางทำเพียงส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะหันไปสั่งเจ้าจูที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าจู ดูแลคุณหนูให้ดีล่ะ” นางกล่าวจบก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องไป
บทที่ 64 งานมงคลพิธีสมรสพระราชทานระหว่างหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เหล่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พรมแดงยาวทอดจากประตูหน้าจวนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มผืนยาวพลิ้วไหวจากผ้าไหมชั้นดี นางแต่งกายงดงามสมกับชื่อเสียงเรื่องความโฉมสะคราญ เผิงฟู่หลินก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนักหนี่ซูเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับพระชายาของเขา หนี่ซูเว่ยเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่ปนเประหว่างความเศร้าและความยินดี หัวใจของเขาหนักหน่วงขึ้นมาจากความรู้สึกที่ฝังลึกลงไปในใจ เผิงซูเว่ยทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะปรับสีหน้าและยิ้มกว้างออกมาให้นางด้วยความยินดี “หลินเอ๋อร์...เจ้าคู่ควรกับความสุขนี้” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจในขณะที่บรรยากาศภายในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัด เสี่ยวเหวินโหลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน เขามองภาพของเผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บทที่ 63 ท่านเป็นท่านพ่อข้าหรอกหรือยามสายของวันใหม่อากาศปลอดโปร่งยิ่งนัก หนี่เส้าจวินพิงกายขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมเข้มของเขาจับจ้องใบหน้าของเผิงฟู่หลินที่กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียจากการถูกเขารังแกไม่หยุดในค่ำคืนที่ผ่านมา แววตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ทั้งหวงแหน ทั้งรักใคร่ เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นหรือปลุกหญิงสาวจากการหลับใหล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา หนี่เส้าจวินยังคงจ้องมองหน้านางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้หนี่เส้าจวินหันหน้าไปมองด้วยสายตาขัดใจที่ถูกรบกวน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าจูยืนอยู่ข้างหน้าประตู เจ้าจูได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย“ท่านอ๋องและคุณหนู ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่แม้แต่จะมองสภาพภายในห้องที่ราวกับผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่“เจ้ามาช่วยข้าที” เผิงฟู่หลินบอกกล่าวออกไป“พวกเรามิต้องเร่งรีบนักหรอก ทุกคนคงเข้าใจได้ดี” หนี่เส้าจวินพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยท่าทางราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด เผิงฟู่หลินได้แต่นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าพร้อมค้อนขวับใส่เขาไปหนึ่งที“ท่านอ๋องลืมแ
บทที่ 62 บุตรของข้าท้องฟ้าภายนอกยังคงมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ทำให้ผ้าม่านสีขาวบางบนหน้าต่างสะบัดเล็กน้อย เผิงฟู่หลินขยับกายช้าๆ ไล่ความเมื่อยขบที่ได้รับจากการเคี่ยวกรำของหนี่เส้าจวินอย่างต่อเนื่อง แม้นางจะยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ทว่าร่างหนาของหนี่เส้าจวินที่เกยก่ายนางเอาไว้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาหนี่เส้าจวินนอนอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ยามหลับตาใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ไม่ดุดันและเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติเผิงฟู่หลินพลิกตัวขึ้นจ้องมองดูใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างเต็มสองตา บุรุษที่มักมารบกวนนางในยามหลับฝัน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงลมหายใจเข้าออก เผิงฟู่หลินเหม่อมองอย่างใจลอย ความลืมตัวทำให้นางขยับมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวสัมผัสไปตามหน้าผากไล้ไปตามแผงคิ้วสีดำเข้มไล่ลงมาที่สันจมูกที่คมเข้ม ริมฝีปากที่หนาเชิดรับกับใบหน้า ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อเผิงฟู่หลินอดที่จะยกยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ปลิวขึ้นมาทาบอยู่บนตัวของหนี่เส้าจวิน เขาปรือตาขึ้นพร้อมดึงตัวนางขึ้นมาก่ายเกยแนบชิดที่หน้าอก ร
บทที่ 61 สะสางหนี่เส้าจวินสาวเท้าก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของเผิงฟู่หลิน ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและดุดัน แววตาของเขาเย็นยะเยือกจนน่าหวาดหวั่นใจเผิงฟู่หลินพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่หนี่เส้าจวินกลับใช้พละกำลังที่มีรัดนางจนแทบขยับไม่ได้ สองมือปัดป่ายทุบตีไปตามแผ่นหลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิได้ส่งผลอันใดกลับมาหนี่เส้าจวินเดินตรงไปยังที่เตียงนอน ก่อนจะโยนร่างของเผิงฟู่หลินลงบนเตียงในทันที จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินกลับไปแล้วปิดประตูลงอย่างเต็มแรงเสียงประตูที่ปิดกระแทกลงเสียงดังสนั่นทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับสะดุ้งสุดตัว นางถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สะโพกของนางกระแทกลงบนฟูกอย่างแรงเผิงฟู่หลินรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคืองใจ ลมหายใจหอบเหนื่อยจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นางยืนประจันหน้ากับหนี่เส้าจวินอีกครั้งหนี่เส้าจวินหันมาเผชิญหน้ากับเผิงฟู่หลินด้วยสายตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเคืองที่มีร้อนระอุไปทั่วร่างกายของเขา นางหายตัวไปเกือบหกปีทั้งยังกลับมาพร้อมเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกนางว่า “แม่” เสียอีก แค่เพียงคิดว่านางคลอเคลียกับบุรุษคนอื่นก็ทำเอาหนี้เส้าจวินแทบค
บทที่ 60 พบกันอีกคราเผิงฟู่หลินเดินทางกลับมายังจวนสกุลเผิง นางเงยหน้าขึ้นมองประตูที่หน้าจวนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หกปีแล้วที่นางจากไปแต่ทว่าจวนสกุลเผิงยังคงสงบไม่แตกต่างจากในวันวานเผิงฟู่หลินก้าวเท้าเข้าไปภายในจวน พ่อบ้านรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานว่านายท่านทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เผิงฟู่หลินจึงเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพบกับครอบครัวในทันทีราชครูเผิง ฮูหยินเซียงและเผิงอันอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ทั้งสามเห็นเผิงฟู่หลินก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง ฮูหยินเซียงรีบก้าวเท้าเข้ามากอดเผิงฟู่หลินเอาไว้แน่น “หลินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”“หลินเอ๋อร์...เจ้ากลับมาครั้งนี้คงมิคิดจะออกเดินทางอีกใช่หรือไม่” เผิงอันอวี้ที่ก้าวเท้ามาตรงหน้าเผิงฟู่หลิน พร้อมกล่าวดักคอน้องสาวของตนในทันที“พี่ใหญ่ ข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว สถานที่ใดที่ข้าเคยใฝ่ฝันข้าล้วนได้เห็นกับตาตนเองทั้งสิ้น บัดนี้ข้าจะกลับมาอยู่บ้าน ข้าจะกลับมาอยู่กับครอบครัวของข้า” เผิงฟู่หลินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หกปีที่ผ่านมานางได้เดินทางไปทั่ว ทั้งดินแดนตอนเหนือจนถึงดินแดนตอนใต้ สถานที่ที่นางเคยได้แต่จินตนาการจากการ
บทที่ 59 เจ้าหนีข้าไปแล้วหนี่เส้าจวินแทบคลุ้มคลั่งเมื่อได้รับข่าวว่าเผิงฟู่หลินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะกล้าทำเช่นนี้กับเขา เผิงฟู่หลิน...นางหนีจากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ“พวกเจ้าออกตามหาพระชายาทุกเส้นทาง ต้องตามหานางให้เจอ” คำสั่งที่ดุดันแฝงความโกรธเคือง ทำให้เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่งพร้อมกระจายตัวออกตามหาในทันที“ว่าไงนะ” เสียงตะคอกดังลั่นไปทั่วจวน เมื่อองครักษ์กลับมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเผิงฟู่หลินเลยแม้แต่น้อยหนี้เส้าจวินที่หัวเสียอย่างมาก เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องอักษร ทำเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนแข็งเกร็ง เหงื่อไหลซึมออกมาด้วยกลัวโทสะของหนี่เส้าจวิน“ตามหาต่อไป แม่ทัพเผิงแจ้งข่าวว่านางเดินทางไปดินแดนใต้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”ทั้งที่หนี่เส้าจวินคิดว่าเผิงฟู่หลินไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล ทว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ยังคงไม่มีวี่แววใดๆ ของนาง เขาสั่งการให้ทหารออกตามหาเผิงฟู่หลินในทุกเส้นทางและทุกทิศที่นางอาจจะเดินทางได้ แต่หนี้เส้าจวินกลับไม่รู้ว่าเผิงฟู่หลินได้เปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ดังนั้นการตามหาของเขาก็ไม่ต่างจากการง