“ข้าโดดเด่นกว่าเจ้าของงานหรือ? ไม่เหมาะกระมัง”
เห็นสีหน้าติงยวี่ถิงย่ำแย่ปานนั้น เว่ยหนิงจึงตบบ่า เอ่ยอย่างจริงใจว่า “แม่นางติงอย่าคิดว่าเป็นการไร้มารยาทหรือเกรงคนจะครหาเลย ตัวเจ้าเดิมทีก็งดงามไร้ที่ติอยู่แล้ว”
นางจ้องตาแน่วแน่ อธิบายด้วยเหตุผลไม่มีล้อเล่น “อีกอย่าง ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าของโรงยาเจี้ยนคังนับเป็นโฉมงามติดอันดับหนึ่งในห้าแห่งต้าเจิ้ง หากเจ้าไม่ทำตัวเองให้สะสวยที่สุดในงานนั่นล่ะคือสิ่งที่ผิดพลาด ดังนั้น ความโดดเด่นของเจ้าวันนี้ ย่อมเป็นการประกาศให้รู้ว่าเจี้ยนคังเลิศล้ำปานใด”
นับว่ามีเหตุผล คนถูกสั่งให้แต่งตัวแต้มชาดจัดเต็มจึงพยักหน้ารับคำเสียงเนือย “ท่านอย่าลืมจ่ายเงินข้าด้วยล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง หากวันนี้คุณชายไป๋ไม่อยากหมั้นกับข้า ข้ามอบเงินพิเศษให้เจ้าเพิ่มอีกสามเท่า”
ดวงตาติงยวี่ถิงสว่างวาบ
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นและดำเนินไป ผู้คนต่างหลั่งไหลเดินทางเข้าร่วมอย่างคับคั่ง สกุลเว่ยยิ่งใหญ่ใช่ย่อยทีเดียว
เจ้าของงานที่อย่างเว่ยหนิงที่วันนี้แต่งหน้าแล้วแต่ก็ยังไม่งดงามเท่าที่ควรเดินต้อนรับแขกเหรื่ออย่างสง่าผ่าเผย โดยพาติงยวี่ถิงติดตามด้วย เพื่อคอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผม ตามคำสั่งเว่ยฮูหยิน
ท่ามกลางผู้คนในงานเลี้ยงยามนี้สตรีที่โดดเด่นเพราะเป็นเจ้าของงานเลี้ยง มิใช่เพราะใบหน้าสะคราญโฉม แต่กลับมีตำหนิจนต้องแต่งหน้าจัดเพื่อกลบริ้วร้อยจนน่าขัน จึงเดินเคียงคู่สตรีที่งามพิลาสเฉิดฉัน ความแตกต่างปานนั้น ทำเอาสตรีผู้หนึ่งชวนมองอย่างยิ่ง
ติงยวี่ถิงแม้ลำบากใจแต่เพื่อเงินให้ทำอะไรก็ย่อมได้
ขณะที่สตรีสองคนหามุมหนึ่งหลบมาดูแลกันและกันตรงพุ่มดอกไม้ คุณชายเว่ยเดินเข้ามาพร้อมฮูหยินของเขา
“หนิงเอ๋อร์ คุณชายไป๋ยืนอยู่ทางนั้น เจ้าจะเข้าไปทักทายกับพี่ใหญ่หรือไม่?”
เว่ยหนิงเชิดหน้า “ไม่ไป ข้าเป็นสตรีนะ พี่ใหญ่จะให้ข้าเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายบุรุษก่อนได้อย่างไรกัน?”
เว่ยเฉิงเลิกคิ้ว “แต่น้องรองเป็นเจ้าของงานวันนี้นะ”
“...”
หลังจากนิ่งครู่หนึ่งเว่ยหนิงค่อยเอ่ย “ประเดี๋ยวต้องถูกเรียกไปพบปะพูดคุยครอบครัวทั้งสองฝั่งอยู่ดีมิใช่หรือไร? มองจากตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ คนไหนล่ะ?” นิสัยของนางก็เช่นนี้ เย่อหยิ่งถือตัวและไว้เชิงเป็นที่สุด
ช่วยมิได้ที่ยังไม่เจอบุรุษตรงใจนี่นา หากเจอขึ้นมา นางจะเป็นฝ่ายเข้าหาเองอย่างแน่นอน ไม่ต้องมีใครเสียเวลาเชื้อเชิญให้ยุ่งยาก!
“พี่ใหญ่แนะนำให้ข้ารู้จักตรงนี้ก็ได้” นางเชิดหน้า ท่าทางยโสเย็นชา มิแยแสแม้หางตา
พี่ชายอย่างเว่ยเฉิงย่อมรู้และคุ้นชินจึงไม่อยากถือสา เขาเพียงชี้เป้าด้วยสายตา “บุรุษชุดฟ้าครามที่กำลังยืนคุยอยู่กับบุรุษชุดขาวในศาลา คนนั้นล่ะที่บ้านเราหมายตาให้เจ้า ขอเพียงพวกเจ้ามีใจตรงกัน งานหมั้นย่อมถูกกำหนดเลย”
ต้องตาตรงใจหรือ? เฮอะ!
หญิงสาวแอบค่อนขอดในใจ มองตามคำบอกพี่ชาย ทว่านางกลับเห็นเพียงบุรุษชุดสีขาวที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง
รูปลักษณ์โดดเด่นใบหน้าหมดจดสง่างามเช่นบัณฑิต อา...น่าหลงใหล สองตากลมของเว่ยหนิงจ้องมองแน่วนิ่ง สื่อนัยชัดเจน
พี่ชายสะกิดเสียงเข้ม “ชุดสีฟ้า!”
“อ้อ...”
เจ็ดปีต่อมาผลพวงจากการเปิดศึกรักทั้งบนเตียงนอน โต๊ะตั่ง กระทั่งห้องอาบน้ำ ทำอย่างเร่าร้อนทุกค่ำคืนไม่มีผ่อนปรน และติงยวี่ถิงยังดื่มยาบำรุงทุกวัน นางจึงตั้งครรภ์หัวปีท้ายปี จนตอนนี้มีลูกแล้วถึงสี่คน ผู้หญิงสองผู้ชายสอง วุ่นวายมากติงยวี่ถิงจึงกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว มีหน้าที่ดูแลเงินทั้งหมดของสามี เลี้ยงดูลูกน้อย คอยสั่งสอนอย่างเต็มที่ นางเลี้ยงแบบผสมผสานสองยุคสมัย เด็กๆ จึงมีอิสระทางความคิดบนเหตุผลและความเข้าใจ นอกจากนี้ ติงยวี่ถิงยังฝึกทำอาหารจนช่ำชองระดับแม่ครัวมืออาชีพแบบครัวผสมสองยุคสมัย เพื่อคอยทำอาหารอร่อยๆ แปลกใหม่ให้ทุกคนได้กินอย่างอิ่มหนำ และที่ขาดมิได้คือนางยังชอบทำตัวสะสวย รอคอยสามีกลับจากทำงาน ตอนนี้เซียวหงเย่มีกิจการมากมายและหลากหลายยิ่งนัก เขาขยันยิ่ง ยังสร้างกลุ่มการค้าใหม่โดยไม่ขึ้นต่อสกุลเซียว เป็นลักษณะคู่ค้าผูกขาดสกุลเซียว ชื่อว่าหลีเหว่ยโยว พอเซียวหงเย่กลับจากทำงานก็ได้เวลาอาหาร ทุกคนรับประทานพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะในโถงหลัก ยามนี้คือช่วงเวลาพิเศษ ทุกคนได้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง ต่างเล่าถึงเรื่องราวที่ได้เจอในแต่ละวัน แบ่งปันประสบการณ์ จากพ่อสู่ลูก จากสามีสู่ภร
เรือนพำนักชั่วคราว ห่างจากตัวเมืองจินโจว รอบด้านคือชายป่าชานเมือง ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน ร้างชาวบ้านเดินทางสัญจรผ่านไปมาอนุกัว อนุเจีย อนุฉิน อนุฉู่ ล้วนอำพรางกายเก็บตัวอยู่ที่นี่ โดยมีจอมยุทธสี่คนคอยดูแลไม่ห่าง ตั้งแต่วันไฟไหม้ กระทั่งวันนี้ เหล่ายอดฝีมือทั้งสี่ล้วนเป็นคนของหลินซิงเยียน พระชายาอันเป็นที่รักขององค์ชายสี่เจิ้งจื่อหมิง ในห้องรับรอง พวกเขากำลังแบ่งตั๋วเงินกันเงียบๆ ตั๋วเงินเหล่านั้นล้วนเอามาจากคลังในเรือนของเซียวหงเย่แน่นอนว่าตำแหน่งที่เก็บเงินเป็นเซียวหงเย่ที่ชี้เป้า ส่วนคนเข้าไปเอาคือหนึ่งในสี่จอมยุทธ ในขณะที่คนเผาเรือน ล้วนเป็นพวกเขาที่ช่วยกันลอบวางเพลิงอย่างสามัคคีแผนการทั้งหมดนี้ คนคิดขึ้นมาคือเซียวหงเย่ ติงยวี่ถิงย่อมให้ความร่วมมือเต็มที่ และได้หลินซิงเยียนช่วยเหลือเรื่องจัดหาเหล่าผู้เยี่ยมยุทธเข้าร่วมมือจัดการ ส่วนอนุกัวนั้น นางถูกคนของหลินซิงเยียนซื้อตัวไว้ก่อนแล้ว สตรีผู้นี้คือคนที่ปลุกปั่นและเสนอแผนการให้อนุคนอื่นฟัง ซึ่งอันที่จริงนางทำตามแผนที่ได้รับมอบหมายนั่นเองตามแผนการก็คือ จอมยุทธเข้าไปขโมยเงินในคลังของเซียวหงเย่มาจนหมดก่อนวางเพลิงเรือนหลังขอ
เซียวหงเย่พลันเข้าใจ เขาตกตะลึงนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนค่อยๆ หลับตาลงเชื่องช้า เอ่ยเสียงทุ้มต่ำอันสั่นเทาว่า “ข้ากลายเป็นคนพิการแล้วกระมัง เดินไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่?”ทุกคนพลันหลบตา เซียวอี้ถังกับเซียวฮูหยินเสมองไปทางอื่น ติงยวี่ถิงก็เช่นกัน พวกเขาเงียบงัน กลายเป็นบื้อใบ้ไปแล้วทั้งนั้นมีเพียงท่านหมอที่จำต้องยอมรับตามตรงกับคนป่วย “คุณชายเซียว ท่านยังมีชีวิตอยู่นั่นถือว่าดีที่สุดขอรับ...”หลายวันที่ดูแลทำแผลจนหายดี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแผลเป็นที่น่าเกลียด กลายเป็นบุรุษที่เสียโฉมเซียวหงเย่ก็ยิ่งทำใจไม่ได้ เขามักโวยวายลั่นเรือน ไม่มีใครได้เข้าใกล้สักคน แม้แต่เซียวอี้ถังกับเซียวฮูหยินก็ถูกเขาไล่ตะเพิดออกไป คงเหลือเพียงติงยวี่ถิงที่ไม่ยอมไปไหน“ข้าไม่อยากอยู่แล้ว ปล่อยให้ข้าตายเถอะ”“ไม่! หงเย่ ข้าจะอยู่กับท่าน”“แต่ข้ากลายเป็นชายอัปลักษณ์ ขาก็พิการ ไม่อาจทำให้เจ้ามีความสุขได้”“ไม่เป็นไรเลย ขอแค่ได้อยู่กับท่านเท่านั้น หงเย่”“ข้าไม่สามารถมอบบุตรให้เจ้าได้อีกแล้วนะ”“ข้าไม่มีลูกก็ได้ แค่มีท่านก็พอเจ้าค่ะ”“น้องหญิง...”“ท่านพี่...ได้โปรดอยู่กับข้านะเจ้าคะ”“หากข้ายอมอยู่ เจ้าห้ามไปที่ใดน
ภายใต้ท้องฟ้ายามพลบค่ำเริ่มมีแสงจันทร์สาดส่อง พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงแสบตา กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นที่สูง เปลวเพลิงไหม้โหมแผดเผาเรือนชานทางด้านหลัง เกิดเสียงดังเปรียะๆ เศษไม้ติดไฟกระจัดกระจาย เกิดเป็นประกายแปลบปลาบปลิวว่อนในอากาศแสงแดงฉานและเสียงดังรวมถึงความร้อนที่แผ่ซ่านล้วนแล้วแต่น่ากลัวอย่างมากบ่าวรับใช้พากันวิ่งวุ่นวาย เกิดเป็นความโกลาหล หลายคนอุ้มถังไม้ใส่น้ำสาดโครมๆ เข้าเปลวไฟอย่างบ้าคลั่ง หลายคนเอาผ้าชุบน้ำเข้าไปกระหน่ำตีในพื้นที่ที่พอเอื้อมถึงได้ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงบริเวณเรือนหลักด้านหน้า รีบพาวิ่งกรูเข้ามาดูอย่างตกอกตกใจจุดที่ไฟไหม้คือเรือนหลังของเซียวหงเย่ ในเรือนนี้ล้วนเป็นที่อยู่ของอนุคนงามเพลิงร้อนลุกลามโหมกระหน่ำอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงเรือนหลักของเซียวหงเย่ชายหนุ่มเบิกตาโพลง เขาหันไปทางเซียวอี้ถัง “ท่านพ่อ ในเรือนหลักของข้ามีคลังเงินส่วนตัวอยู่ขอรับ”คนฟังพลันตกใจ แต่คนพูดไม่อาจรอแล้ว เซียวหงเย่รีบวิ่งฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปทันที “เงินข้า...”ความโกลาหลพลันวุ่นวายมากกว่าเดิมเซียวอี้ถังกับเซียวฮูหยินตะโกนก้อง “เย่เอ๋อร์...”ใช้เวลาหลายชั่วยาม ครึ่งค่อนคืนเลยทีเดี
ติงยวี่ถิงมองสายตาของเหล่าสตรีอย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะตัวนางเองตอนมองสามีก็มีสายตาหื่นกระหายเช่นกัน ในขณะที่เซียวหงเย่กลับขนลุกชูชัน รู้สึกคล้ายเนื้อบนเขียงกำลังจะถูกแล่แล้วจับโยนให้นกแร้งทุ้มทึ้งอย่างไรอย่างนั้น ถึงเขาจะหล่อเหลา เอาใจเก่งและแซ่บสะท้านเกินต้าน แต่ก็มีเรี่ยวแรงเรื่องบนเตียงไว้ทำกับภรรยาแค่คนเดียว ไม่ได้อยากเสียวกับผู้หญิงอื่นไปทั่วหรอกนะ ยุคสมัยนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสและยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งสองคนพากันเดินเข้ามาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เห็นเป็นนายท่านเซียวนั่งอยู่นิ่งๆ ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แววตาดุดันกดข่มผู้คน รอบกายแผ่ซ่านรัศมีน่าเกรงขาม บุคลิกเปี่ยมอำนาจบารมีของผู้มีอันจะกิน“มาแล้วหรือเย่เอ๋อร์...”นายท่านเซียวเอ่ยเนิบช้าทักทายบุตรชายเสียงเรียบ ปรายตามองติงยวี่ถิงด้วยสายตาเย็นเยียบ“เจ้าพานางมาด้วยเหตุใด? ไสหัวออกไป!”หูย! น่ากลัว...หญิงสาวคิดอย่างตื่นตระหนกเป็นที่สุด เอื้อมมือตนไปจับมือของสามีเบาๆ เอาอย่างไรดี? หากเป็นเมื่อก่อน ติงยวี่ถิงคนเก่าย่อมพุ่งตัวเข้าไปชี้หน้าด่าทอและปะทะคารมอย่างดุเดือดไร้ความเคารพ ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสจะเกลียด แต่ถิงถิงคนนี้ไ
ใช้เวลาเดินทางนานถึงครึ่งเดือน ในที่สุดรถม้าจากเมืองหลวงก็ถึงเมืองจินโจวเมื่อสายสีทองจากทิศตะวันตกลดลง อันบ่งบอกเวลาพลบค่ำก็เห็นคฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่ของสกุลเซียวติงยวี่ถิงรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นจนตัวสั่นนิดๆ เพราะเท่าที่จำได้นายท่านสกุลเซียวเป็นบุรุษที่น่ากลัวมาก ก่อนนี้เพราะมีนายท่านติง บิดาของร่างเก่า จึงพอบรรเทาบรรยากาศตึงเครียดอันน่ากลัวยามที่ต้องเจรจาต่อรองกันตอนนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีบิดาและสกุลหนุนหลังนี่นาเซียวหงเย่เองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ตาเฒ่าผู้นั้น แค่มองตายังขาสั่น ทั้งบ้าอำนาจไม่เปิดโอกาสให้คนโต้แย้งตอนนั้นร่างเก่าพลาดท่าเสียทีให้ติงยวี่ถิง ก่อนที่ชื่อเสียงจะมัวหมองจนกระทบการค้าจึงจัดการเกี่ยวดอง และอาจเพราะสกุลติงยังมีผลประโยชน์ร่วมกัน จึงแต่งงานฟ้าแลบ ต่อมายังใช้อำนาจหย่าให้แบบฟ้าผ่า จัดการเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดไปหมด ไม่มีใครสามารถทัดทานได้สักคน“มีคนบอกว่าใต้หล้าแห่งนี้ บุรุษที่น่ายำเกรงที่สุดคือองค์ชายสี่เจิ้งจื่อหมิง แล้วเหตุใดพวกเราถึงไม่กลัวพระองค์” ติงยวี่ถิงถามอย่างสงสัยในตัวเอง“เพราะพระองค์เป็นสามีของสหายเจ้าอย่างไรเล่า ทุกคราที่พวกเราได้สิทธิ์พบพระพักตร์ล้วนมี