“คุณชายรองจิน เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ข้าคิดว่าคุณชายจะอยู่ชมการแสดงด้านในเสียอีก” หนิงฮุ่ยหลิงเดินเข้าไปทักจินเฟยหลงในศาลา เพราะนางกำลังเบื่อการแสดงและความวุ่นวายของสตรีที่เสนากลาโหมจัดมาให้กับบุรุษภายในงานเลี้ยง นางจึงออกมาเดินดูสวนด้านนอกกับบ่าวคนสนิทของนาง
หนิงฮุ่ยหลิงที่เห็นอีกฝ่ายทำเพียงหันมามองนางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ดูท่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนพูดน้อยเหมือนที่บิดากับพี่ชายของนางเคยเล่าให้นางฟัง
“คุณชายรองจินคงไม่ชอบความวุ่นวาย...เหมือนข้าเลยเจ้าค่ะ ยามที่ต้องอยู่ในงานเลี้ยงแบบนี้ข้าจะรู้สึกอึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้ เช่นนั้นข้าขอนั่งที่นี่ด้วยนะเจ้าคะ...ขอบคุณเจ้าค่ะ” พูดจบ หนิงฮุ่ยหลิงก็เดินเข้าไปนั่งในศาลาโดยนางได้นั่งเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย หลังจากที่นางเห็นว่าบุรุษตรงหน้าไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือพูดอะไรตอบนางกลับมา
“เห็นพี่ใหญ่บอกว่าการศึกครั้งที่ผ่านมา หนักหนาเอาการเลยใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ใช่”
“พี่ใหญ่แอบชมคุณชายรองจินให้ข้าฟังตลอดเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่บอกว่าเพราะได้การวางแผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายจึงทำให้การศึกครั้งนี้จบได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ”
จินเฟยหลงหันไปมองสตรีที่เริ่มเอ่ยปากชวนเขาคุย แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกันต่อ ก็มีสตรีอีกนางหนึ่งเดินเข้ามาในศาลาพร้อมกับบ่าวสาวของนาง โดยสตรีนางนี้เลือกที่จะเดินเข้ามายืนด้านข้างเขา จนเขาต้องขยับตัวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างจากนาง
“คุณชายรองจินเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ ข้าเดินตามหาท่านเสียทั่วงาน” เยว่ซือซือเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อนางเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างจินเฟยหลงได้แล้ว พร้อมกับมองไปยังหนิงฮุ่ยหลิงด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เพราะสตรีนางนี้ได้แอบมาพูดคุยกับบุรุษที่นางกำลังหมายปอง
“เห็นท่านพ่อบอกว่ากลับมาคราวนี้ฮ่องเต้จะ...” เยว่ซือซือหันกลับไปพูดกับจินเฟยหลงและคิดจะลงไปนั่งข้างอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจนจบประโยค บุรุษด้านข้างก็เอ่ยขัดคำพูดของนางขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าขอตัว” จินเฟยหลงหันไปกล่าวกับหนิงฮุ่ยหลิง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนใหญ่โดยมีหยงหมินเดินตามผู้เป็นนายกลับไปด้วย เพราะเขาไม่ชอบเยว่ซือซือพอ ๆ กับที่เขาไม่ชอบบิดาของนาง
จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้ามาในงานเลี้ยง เขาก็กลับลงนั่งที่เดิมก่อนจะยกจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม แล้วพอผ่านไปได้สักพักร่างกายของเขาก็เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาแปลก ๆ และในระหว่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเสนากลาโหมที่คอยมองมาทางเขา
“ท่านพ่อข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” จินเฟยหลงหันไปกล่าวลาบิดา โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบ จากนั้นเขาก็รีบออกจากงานเลี้ยงทันที
“คุณชายรองขอรับ” หยงหมินเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเมื่อพวกเขาเดินออกมาถึงด้านหน้าจวน เพราะยามนี้เขาสังเกตเห็นท่าทางที่เริ่มแปลกไปของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องตามข้ามา ข้าจะกลับสำนักศึกษา และเจ้าก็คอยกัน...อย่าให้ผู้ใดตามข้ามาได้” จินเฟยหลงหันไปสั่งบ่าวคนสนิท ก่อนจะรีบกระโดดขึ้นควบม้าแล้วพาตัวเองออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด
ตอนนี้จินเฟยหลงนึกได้แค่สถานที่เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ และในยามนี้จินเฟยหลงก็นึกถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เขาจึงรีบพาตัวเองไปหาคนผู้นั้นทันที
“เฟยหลง! เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาเร็วนัก? ไม่ใช่ว่าวันนี้เจ้าต้องไป...เฮ้ย!” เหรินเหยียนชิงที่ตกใจเกือบจะตกเก้าอี้ เพราะอยู่ ๆ จินเฟยหลงก็พุ่งตัวเข้ามาในห้องพักของเขาจากทางหน้าต่าง แล้วพอเขาเอ่ยทัก...เขาก็ถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามากอด จากนั้นเจ้าตัวก็ลากเขาเดินไปที่เตียงแล้วผลักให้เขาลงไปนอน ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวเขา
“ข้า...” จินเฟยหลงตอนนี้คุมสติของตัวเองแทบไม่อยู่แล้ว และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะร้องขึ้นมา เขาจึงรีบปิดปากของคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากของเขาทันที แต่ก็ด้วยเพราะยามนี้เขาไม่รู้ว่า...เขาควรจะต้องทำอย่างไรต่อ เขาจึงทำได้เพียงแนบริมฝีปากของตนเองเข้าไปบดเบียดกับริมฝีปากของคนตรงหน้า และเขาก็พยายามกอดเหรินเหยียนชิงเอาไว้ให้แน่นที่สุด...เท่าที่จะแน่นได้เท่านั้น
“อือ...เฟยหลงปล่อยข้า เฟยหลง...” เหรินเหยียนชิงดิ้นจนริมฝีปากของเขาเป็นอิสระจากอีกฝ่ายได้ จากนั้นเขาจึงพยายามผลักและเรียกชื่อคนตรงหน้า เพื่อดึงสติของเจ้าตัว
“เหยียนชิง ข้า...” จินเฟยหลงที่พยายามรวบรวมสติของตนเองอยู่ แต่เมื่อเห็นริมฝีปากบางของคนตรงหน้ากำลังขยับและเปล่งเสียงเรียกชื่อเขา...สติที่เขารวบรวมกลับมาได้ก็หลุดลอยหายไปอีกครั้งทันที
จากนั้นจินเฟยหลงจึงก้มลงไปกดริมฝีปากของเขาให้แนบชิดกับริมฝีปากของคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาได้ลองขบเม้มริมฝีปากของอีกฝ่าย และมือของเขาก็ได้เริ่มขยับลูบไล้ไปตามร่างกายของเหรินเหยียนชิง
เหรินเหยียนชิงรีบรวบรวมสติและรวมรวมกำลังของตนเอง ก่อนจะซัดฝ่ามือเข้าไปที่ท้ายทอยของจินเฟยหลง
“อ่ะ!”
“เฮ้อ...เกือบไปแล้ว” เหรินเหยียนชิงรีบดันคนที่นอนสลบอยู่บนตัวเขาออก แล้วพาตัวเองลุกออกมาจากเตียง จากนั้นเขาก็ยืนมองจินเฟยหลงต่ออีกสักพัก ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาจับที่ริมฝีปากของตนเอง
“เจ้าไปโดนยาอะไรมาเนี้ย เฟยหลง! แล้วเหตุใดเมื่อครู่...” ‘ถ้าหากเมื่อครู่มันเรียกว่าการจุมพิต อย่างนั้น...ข้าก็เสียจุมพิตแรกให้กับสหายหาใช่สตรีในภายภาคหน้าของข้าน่ะสิ!’ เหรินเหยียนชิงรีบสลัดความคิดของตนเองทิ้ง แล้วเอื้อมมือไปจัดท่านอนให้กับคนที่ยังไม่ได้สติ ก่อนที่เขาจะพาตัวเองไปนั่งหลับที่โต๊ะเขียนหนังสือ
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb
“เฟยหลง หยุดฝึกดาบแล้วมาอ่านหนังสือกับข้าก่อน พรุ่งนี้จะมีสอบศาสตร์ด้านการคำนวณกับบทกวี ส่วนนี้เป็นส่วนที่ข้าจดแยกหัวข้อเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะ...” “อืม...ได้” จินเฟยหลงตอบรับคำสั่งของสหาย ตั้งแต่ที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะมีสอบ จากนั้นเขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วพอกลับมาเขาก็ได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวเล็ก ดูท่าคงจะโมโหที่เขาเดินออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจินเฟยหลงจึงเลือกเดินเลยโต๊ะไม้ที่เหรินเหยียนชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อเข้าไปหยิบขนม จากนั้นเขาจึงเดินกลับมาแล้ววางขนมในมือลงที่กลางโต๊ะไม้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหรินเหยียนชิง แล้วหยิบสมุดที่เจ้าตัวจดแยกหัวข้อที่จะสอบขึ้นมาอ่าน และเพียงไม่นานเขาก็เห็นคนตรงหน้าเอื้อมมือมาหยิบขนมของเขาขึ้นไปกิน แล้วหลังจากที่เหรินเหยียนชิงได้กินขนมสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น และเพียงไม่นานอีกฝ่า
“กลับมาแล้วหรือ?” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็มองตามหลังจินเฟยหลงที่เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในห้องพัก โดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมองหรือสนใจที่เขาเอ่ยทักเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามจินเฟยหลงเข้าไปในห้องพักของเจ้าตัว เหรินเหยียนชิงเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักของจินเฟยหลง เขาก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงลองเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง “เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไร? หรือที่จวนมีอะไรเกิดขึ้น?” “เหยียนชิงคือข้า...ข้าเพิ่งได้รู้สิ่งที่มารดาของข้าทำในอดีต...” จากนั้นจินเฟยหลงจึงเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มาให้คนตรงหน้าฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของเขาทำ...ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือจบชีวิตของตนเองลง และก็ด้วยเพราะสิ่งที่นางทำมันได้ส่งผลให้จินเฟยเทียน พี่ชายของเขาต้องเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและป่วยง่าย แล้วก็ด้ว
จินเฟยหลงในวัยแปดหนาวยืนอยู่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง พร้อมกับห่อผ้าใส่สัมภาระของเขาจำนวนสามห่อ ‘นี่คงเป็นเรือนที่ข้าต้องใช้พักยามอยู่ที่นี่สินะ’ จินเฟยหลงกล่าวกับตนเองในใจ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์เดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนพักแล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูด ไม่บอก และไม่แนะนำอะไรกับเขาเลยสักคำ จินเฟยหลงยังคงยืนมองเรือนพักอยู่แบบนั้น เพราะในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากรับความจริง เพราะเพิ่งจะเมื่อวานที่ผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า ให้เตรียมตัวเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกับต้องย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นห้าวันต่อสัปดาห์ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างจวนแม่ทัพกับสำนักศึกษาหลวงได้ เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีจวนอยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อผู้เป็นบิดาได้ให้เหตุผลกับเขาว่า เพราะในภายภาคหน้าจินเฟยหลงจะต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ รวมไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินต่อจากบิดา ยามนี้เขาจึงจำเป็นต้องเริ่มฝึกความอดทน ฝึกการอยู่ด้วยต
เหรินเหยียนชิงนั่งรับสำรับเย็นด้วยความรู้สึกมึนงง อยู่ดี ๆ เขาก็กำลังจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินให้กับจินเฟยหลง เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ยามนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งพูดคุยเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างพวกเขากับท่านตาและท่านแม่ของเขาแล้ว โดยจินเฟยหลงได้บอกกับท่านทั้งสองว่า...ยามนี้เจ้าตัวได้ส่งสารไปแจ้งบิดาของตนเองเรียบร้อยแล้ว และบิดาของเจ้าตัวก็น่าจะพาแม่สื่อเข้ามาพูดคุยกับพวกท่านทั้งสองที่นี่ในเร็ววัน “เหยียนชิง เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถาม หลังจากพาคนตัวเล็กกลับเข้ามานั่งในห้องพักของเจ้าตัว แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบังคับคนตรงหน้า แต่หากไม่ทำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดอีกฝ่ายถึงจะยอมแต่งให้เขา “ไม่ใช่! ข้าก็แค่ตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้า...ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเฟยหลง?” “ช้าไปเสียด้วยซ้ำ เหยียนชิงเจ้าก็รู้ว่าด้วยตำแหน่ง หน้าที่ และงานที่
หลังจากวันที่จินเฟยหลงกับเหรินเหยียนชิงบอกรักกัน ยามนี้ก็ได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สาม ซึ่งในระหว่างสามเดือนที่ผ่านมาจินเฟยหลงก็ได้เดินทางไปกลับระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซือโฉวไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว เนื่องจากระยะนี้ตามเขตแนวชายแดนแต่ละฝั่งของแคว้นตง ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่น่าเป็นกังวล และยังไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาจะต้องออกเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นจินเฟยหลงจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับเหรินเหยียนชิงให้ได้มากที่สุด และถ้าหากทำได้เขาก็คิดอยากจะจับอีกฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขาให้ได้ในเร็ววัน “เฟยหลง เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ? เดือนนี้เจ้าเดินทางมาหาข้า ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ” เหรินเหยียนชิงวางหนังสือในมือลงบนเตียง พร้อมกับเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาหาเขาในห้องพัก “ไม่...แค่ได้เห็นหน้าเจ้าข้าก็หายเหนื่อยแล้ว” “แต่ข้าว่าอาหมินอาจไม่ได้คิดอย่างเจ้านะเฟยห