“จากนี้ท่านแม่กับพวกน้อง ๆ ย้ายไปอยู่กับข้าที่จวนตระกูลเหรินนะขอรับ” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้น หลังจากที่พวกเขาได้พูดคุยเปิดใจ และตัวเขาเองก็ได้ทำความรู้จักกับคนทั้งสามด้วยความจริงใจเรียบร้อยแล้ว และเมื่อเขาเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความลังเลของผู้เป็นมารดา เขาจึงรีบพูดต่อ
“นะขอรับท่านแม่ จากนี้ข้าขอเป็นคนดูแลท่านแม่กับพวกน้อง ๆ เองนะขอรับ”
ตอนแรกเฉิงเจียวจินได้ตั้งใจจะพาบุตรอีกสองคนของนางย้ายกลับไปพักอยู่ที่จวนตระกูลเฉิงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นพวกนางก็ค่อยหาทางขยับขยายไปอยู่ที่อื่นกันอีกที ซึ่งตัวนางเองก็ได้พูดคุยและตกลงกับบุตรอีกสองของนางเอาไว้แล้วด้วย
เพราะถึงแม้ว่า...ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉิงเจียวจินกับผู้คนในจวนตระกูลเฉิงจะดูห่างเหิน เนื่องจากมารดาของนางได้สิ้นใจลงไปแล้ว หลังจากที่ตัวนางแต่งให้กับคนตระกูลเยว่ได้เพียงแค่สามปี และก็เป็นเพราะเฉิงเจียวจินไม่อยากพาบุตรอีกสองคนของนางไปรบกวนเหรินเหยียนเป่า เพราะหลังจากอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกนาง ท่านลุ
“เออ...จะว่าอย่างไรดีล่ะ หากข้าเป็นบรรพบุรุษแล้วมีโอกาสได้มองย้อนกลับมา และได้มาเห็นว่าลูกหลานของข้าทนเลือกเส้นทางเดินชีวิตที่ข้าเป็นผู้วางรูปแบบเอาไว้แล้วไม่มีความสุข ข้าก็คงจะรู้สึกเสียใจมากกว่าที่จะรู้สึกภูมิใจ แต่เอาเข้าจริงนะ...ข้าคิดว่ายามนี้บรรพบุรุษของพวกเราส่วนใหญ่ก็คงจะพากันแยกย้ายไปเกิดยังภพภูมิใหม่กันบ้างแล้วล่ะ” ท้ายประโยคจินเฟยเทียนได้ลดเสียงพูดของตนเองลง ด้วยกลัวว่าจะมีดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผ่านมาได้ยินสิ่งที่เขาพูด เพราะที่จริงแล้วจินเฟยเทียนเองก็มีความเชื่อเรื่องของดวงวิญญาณและมีอาการกลัวผีอยู่หน่อย ๆ เช่นกัน จากนั้นเขาจึงยืดตัวขึ้นแล้วเข้าไปตบบ่าของน้องชาย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเต็มเสียงเพื่อบอกสิ่งที่ตัวเองคิดอีกครั้ง “ดังนั้น...เฟยหลง เจ้าจงเลือกเส้นทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุขเถิด น้องชายของข้า!” แล้วเมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายเริ่มมีรอยยิ้ม จินเฟยเทียนจึงอดที่จะเอ่ยเย้าอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้ “แต่ข้าว่า ตัวเจ้าเองก็น่าจะเลือกเส้นทางชีวิตเดินของตนเอง
“ขอรับ” จินเฟยหลงตอบคำถามของจินเฟยเทียนตามตรง จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายต่อ “พี่ใหญ่ขอรับ หากในวันข้างหน้าข้าไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล หรือถ้าหากว่าข้า...ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแล้ว แต่ไม่สามารถมีทายาทให้กับตระกูลจินได้ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่ขอรับ?” “ข้าไม่มีวันผิดหวังในตัวน้องชายของข้า แต่เหตุใดการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลกับการมีทายาทให้กับตระกูลถึงได้กลายเป็นเรื่องเดียวกันไปได้ล่ะ?” “ก็หนึ่งในหน้าที่ของผู้นำตระกูลก็คือการต้องมีทายาทไว้สืบสกุล ไม่ใช่หรือขอรับพี่ใหญ่?” จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินคำถามของจินเฟยหลง ยามนี้เขาจึงเริ่มเข้าใจในปัญหาของผู้เป็นน้องชายแล้ว “สำหรับตระกูลอื่นข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ตระกูลจินของพวกเราข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น” กล่าวจบ เขาก็เห็นใบหน้าของจินเฟยหลงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ยามนี้เจ้าตัวกำลังแปลกใจในสิ่งที่เขาตอบ จินเฟยเทียนจึงเริ่มอธิบายต่อ “เฟยหลงท
จิงเสี่ยวจางเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงหันไปสนใจน้องชายต่างบิดา เขาจึงเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัยกับจินเฟยหลง “เฟยหลง ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าไปพูดอย่างไร อาเจี้ยนถึงได้กล้าเดินตามเยว่ซือซือออกไปแบบนั้น” “ข้าก็แค่บอกว่า หากอยากคุยก็ให้รีบตามไป” “แค่นั้น!” “อืม...” เมื่อได้รับคำตอบจากจินเฟยหลง จิงเสี่ยวจางก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เขาจึงเอ่ยพูดต่อ “ทีกับข้านะ ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งพูดประชด ไม่เห็นอาเจี้ยนจะกล้าเข้าไปพูดกับนางสักที แต่พอเจ้าเข้าไปพูดแค่นี้...อาเจี้ยนกลับกล้าขึ้นมาเฉยเลย” “ก็เพราะยามปกติเจ้ามักจะชอบพูดมากอย่างไรเล่า เลยดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ” “เหยียนชิง เจ้าก็พูดมากไม่ต่างไปจากข้าเลย” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำเย้าของเหรินเหยียนชิง และคิดจะเอื้อมมือไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเล่น แต่ติดตรงสหายหน้าตายบา
หลังจากวันที่จินเฟยหลงพาคนในครอบครัวของของเหรินเหยียนชิงเข้ามาพักอยู่ที่จวนของเขา ทุกคนในจวนต่างก็คอยดูแลคนในครอบครัวของคนตัวเล็กเป็นอย่างดี แล้วตัวของเขาเองก็ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม คือ หลังจากที่เขาเลิกงานก็รีบเดินทางกลับจวน จากนั้นเขาก็จะตรงไปรายงานการออกไปทำงานในแต่ละวันของเขาให้เหรินเหยียนชิงฟัง แล้วดูเหมือนว่ายามนี้อีกฝ่ายก็คงจะเริ่มชิน เพราะเจ้าตัวได้ออกมานั่งรอเขาอยู่ในศาลาหน้าเรือนพักรับรองที่พวกเขามักจะใช้นั่งพูดคุยกันในทุก ๆ เย็น แล้วหลังจากวันที่คนในครอบครัวของเหรินเหยียนชิงเข้ามาพักอยู่ในจวนแม่ทัพ จินเฟยหลงก็มักจะเห็นจิงเสี่ยวเจี้ยนแวะเข้ามาเที่ยวหาพวกเขาที่นี่ในช่วงเย็นของทุกวัน ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่มีเพียงเหรินเหยียนชิงมาพักอยู่ที่จวนของเขา ก็จะมีเพียงแค่จิงเสี่ยวจางที่คอยหาเรื่องแวะเวียนมาหาคนตัวเล็กของเขาเท่านั้น แต่กับจิงเสี่ยวเจี้ยนนาน ๆ ครั้งเจ้าตัวถึงจะตามแฝดผู้น้องของตนเองเข้ามาหาพวกเขาที่นี่ด้วย และในระยะหลังที่จิงเสี่ยวเจี้ยนมาหาพวกเขาที่จวน จินเฟยหลงก็มักจะเ
“จากนี้ท่านแม่กับพวกน้อง ๆ ย้ายไปอยู่กับข้าที่จวนตระกูลเหรินนะขอรับ” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้น หลังจากที่พวกเขาได้พูดคุยเปิดใจ และตัวเขาเองก็ได้ทำความรู้จักกับคนทั้งสามด้วยความจริงใจเรียบร้อยแล้ว และเมื่อเขาเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความลังเลของผู้เป็นมารดา เขาจึงรีบพูดต่อ “นะขอรับท่านแม่ จากนี้ข้าขอเป็นคนดูแลท่านแม่กับพวกน้อง ๆ เองนะขอรับ” ตอนแรกเฉิงเจียวจินได้ตั้งใจจะพาบุตรอีกสองคนของนางย้ายกลับไปพักอยู่ที่จวนตระกูลเฉิงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นพวกนางก็ค่อยหาทางขยับขยายไปอยู่ที่อื่นกันอีกที ซึ่งตัวนางเองก็ได้พูดคุยและตกลงกับบุตรอีกสองของนางเอาไว้แล้วด้วย เพราะถึงแม้ว่า...ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉิงเจียวจินกับผู้คนในจวนตระกูลเฉิงจะดูห่างเหิน เนื่องจากมารดาของนางได้สิ้นใจลงไปแล้ว หลังจากที่ตัวนางแต่งให้กับคนตระกูลเยว่ได้เพียงแค่สามปี และก็เป็นเพราะเฉิงเจียวจินไม่อยากพาบุตรอีกสองคนของนางไปรบกวนเหรินเหยียนเป่า เพราะหลังจากอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกนาง ท่านลุ
จินเฟยหลงเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมารดาของเจ้าตัวแล้ว เขาจึงดึงมือของตนเองกลับมา ยามนี้เขาคงทำได้เพียงนั่งอยู่กับที่เงียบ ๆ เพื่อคอยอยู่เคียงข้างและคอยให้กำลังใจคนตัวเล็กอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น เฉิงเจียวจินเมื่อได้ยินประโยคแนะนำตัว และได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่มาพร้อมกับจินเฟยหลง นางก็ถึงกับตัวชา และเมื่อนางสามารถดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันหลังให้กับเหรินเหยียนชิงและจินเฟยหลง จากนั้นนางจึงเอ่ยปากพูด... “เฟยหลง วันนี้น้าคงไม่สะดวกต้อนรับพวกเจ้าแล้ว น้าขอโทษ...น้ากับพวกเด็ก ๆ จะต้องรีบเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกจากที่นี่” เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็รีบลุก แล้วเดินออกไปยืนอยู่ด้านหลังของเฉิงเจียวจินทันที “ฮูหยินรองเยว่ ยามนี้ข้า...ข้าสามารถเรียกท่านว่า ‘ท่านแม่’ ได้หรือไม่ขอรับ?” “คุณชายท่านนี้ ข้าว่าคุ