“ลุงเดลหายไปไหนเสียนานคะ?” ซาบรีน่าถามด้วยความแปลกใจ ร่างน้อยๆช้อนสายตา แหงนใบหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของเขา
เดลไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฟาร์มแห่งนี้ เขาเคยแวะเวียนมาหลายครั้ง เด็กหญิงยังคงจดจำการมาครั้งสุดท้ายของเขาได้ ไม่เคยลืม ทว่านั่นก็นานมากแล้ว
“ลุงต้องไปทำงานไกลถึงดาร์วิน* ถ้าลุงว่างเมื่อไร ลุงสัญญาว่าจะแวะมาหา”ชายวัยกลางคนกล่าว ยืนยันและให้สัญญาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จากนั้นก็ละสายตาจากใบหน้าน้อยๆ มองไปยังบ้านไม้เก่าคร่ำ สงบอยู่ในความสลัวเลือนของรัตติกาลที่กำลังคลี่คลุมลงมาช้าๆ
แม้สภาพของบ้านที่เห็นจะเก่ามาก ทว่าสภาพซึ่งทรุดโทรมของมันก็ไม่ได้ขัดแย้งกับสภาพโดยรวมของฟาร์มที่ถูกทิ้งร้าง ทุกๆอย่างที่นี่ล้วนถูกทิ้งร้าง...รวมถึงชีวิตของสองแม่ลูกที่ยังต้องอาศัยฟาร์มแห่งนี้เป็นที่ซุกหัวนอน
------ดาร์วิน (Darwin)* คือเมืองหลวงที่อยู่ในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี (Northern Territory) ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ทางตอนเหนือและตอนกลางของออสเตรเลีย เนื้อที่ส่วนใหญ่แห้งแล้ง มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงร้อยละ 10 ภูมิอากาศไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่เป็นแหล่งผลิตเหล้าไวน์ชั้นเยี่ยม
----------
“แม่อยู่ไหม?” เดลหันมาถามยิ้มๆ
“อยู่ค่ะ” เสียงใส เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากน้อยๆเดลล้วงกระเป๋ากางเกง ควักสตางค์เหรียญออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้กับเด็กหญิงตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู
มันเป็นสิ่งที่รู้กันระหว่างเดลกับเด็กหญิง ทุกครั้งที่เดลมา เขาจะให้เงินซาบรีน่า เงินซึ่งเดลก็มีไม่มาก เพราะฐานะของเดลก็ไม่ต่างจากกรรมกรที่หาเช้ากินค่ำ หากเขาก็ยังมีน้ำใจ ทำให้ซาบรีน่าซาบซึ้ง จดจำเขาได้ ไม่เคยลืมในน้ำใจของเดล ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เอาไปซื้อขนมนะ” เขากล่าวพร้อมกับส่งเงินให้เด็กหญิงในวัย 13 ขวบ รีบเอื้อมมือน้อยๆออกมารับด้วยอาการดีใจ
เดลสังเกตได้ถึงมือของซาบรีน่าที่สั่นเบาๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นดูสุกใสราวกับดวงดาว วาวเรืองด้วยหยาดแววชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ความไร้เดียงสาทำให้ดวงหน้าน้อยๆไม่อาจซุกซ่อนความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้
เดลเห็นประกายตาสีฟ้าของเด็กหญิงแล้วอดที่จะนึกสะท้อนใจไม่ได้ ซาบรีน่าสวยเหมือนนางฟ้า เธอน่าจะไปเกิดในที่ซึ่งดีกว่านี้ แต่น่าอนาถที่ชีวิตของนางฟ้าตัวน้อยๆคนนี้กลับถูกลิขิตให้เกิดมาจากพ่อซึ่งเป็นคนขี้เหล้าเมายา บ้าการพนันจนนำพาเอาความหายนะมาสู่ครอบครัว
ดีที่ซาบรีน่าได้เค้าโครงหน้าสะสวยมาจากแม่ ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก ดวงตา ผิวพรรณ เมื่อประกอบเข้าด้วยกันทำให้ซาบรีน่ากลายเป็นเด็กหญิงที่เปี่ยมเสน่ห์ ฉายแววความสวยตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะเติบโตเป็นสาว
เดลชอบดวงตาของซาบรีน่า มันเป็นดวงตาที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์สดใส เพราะข้อดีของความเป็นเด็กนี้เองที่ทำให้ซาบรีน่ายังมองไม่เห็นความทุกข์ ยังไม่รู้จักขวากหนามแห่งโชคชะตา ยังไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนของอุปสรรคมากมายที่ชีวิตของเธอกับแม่กำลังถูกทดสอบ
“เย้ๆๆๆ...ลุงเดลใจดีจังเลย”นางฟ้าตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ย่อคล้ายถอนสายบัว รีบรับเงินจากมือของเดล
จากนั้นเท้าน้อยๆก็พาร่างเล็กๆละลิ่วโลดออกไปด้วยความรวดเร็ว จนลับสายตาที่หน้าฟาร์ม ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ เพราะความตื่นเต้นดีใจที่มีมากกว่า ในใจของซาบรีน่านึกถึงแต่ความเย้ายวนของลูกกวาดสีสันสดใจ อวดเอาไว้ในขวดโหล เรียงรายอยู่ที่หน้าร้าน
เพียงเท่านั้นเด็กหญิงลืมทุกอย่าง คิดเพียงว่า ‘นานแค่ไหนแล้วที่มือของเธอไม่ได้แตะต้องเงิน แม้จะเป็นเงินเหรียญก็เถอะ! นานแค่ไหนแล้วที่ปากลิ้นไม่ได้สัมผัสรสชาติของขนมหวาน’
สิ่งที่ซาบรีน่าคิดถึงที่สุดในตอนนั้น ก็คือร้านขายของชำของจอห์น ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากฟาร์ม และเป็นร้านเดียวที่มีอยู่ในละแวกนี้
เสร็จจากผูกม้าเอาไว้ใกล้ๆกับกองหญ้าแห้งและน้ำในถังแกลอนใบเขื่อง เสียงม้ากำซาบน้ำในถังเสียงดังซวบซาบด้วยความกระหายจากการรอนแรมมาไกลจนน้ำลายฟูมเหนียว ม้ากระหายน้ำ แต่เดลรู้สึกกระหายความรักเหลือเกิน เขารีบก้าวยาวๆไปที่หลังบ้าน หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเธอ ทุกค่ำคืนไม่เคยขาดที่หลังบ้าน โซเฟียกำลังสาละวนอยู่กับหม้อซุปตรงหน้า เธอไม่ได้สังเกตถึงการมาของเขา จมูกของเดลได้กลิ่นซุปข้าวโพดโชยออกมาถึงภายนอก หิวอาหารไม่เท่ากับหิวเสน่ห์หาที่มีต่อแม่ครัวซึ่งเป็นคนปรุง
เมื่อยื่นใบหน้าผ่านพ้นประตูเข้ามา ผู้หญิงเรือนร่างรัดรึงสมส่วน ใบหน้าสะสวย ผิวพรรณขาวสะอ้าน สวมกระโปงสีขาวซีด ชายกระโปรงยาวรุ่ยร่ายเรี่ยพื้น เสื้อคอปาดสีดำ ตัดกันชัดกับเนินอกเนียนขาว คาดผ้ากันเปื้อนสีขาวไว้รอบเอวคอด กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตาถ่าน ง่วนงุ่นอยู่กับหม้อซุปตรงหน้า
“โซเฟีย” กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก สีหน้าอัดแน่นไว้ด้วยความปรารถนา พร้อมๆกับถลาเข้าสวมกอดเอวเธอจากด้านหลัง
“เดล…” โซเฟียอุทานด้วยความตกใจระคนดีใจ เดลทำให้ทัพพีในมือของเธอเกือบร่วง สีหน้าตระหนกคลายลงทันใด เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เธอแอบนับวันคอย
“คุณกลับมาแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงของโซเฟียบ่งบอกถึงความดีใจที่มิอาจประมาณ สองมือน้อยๆลูบสัมผัสไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อของคนมาไกล เดลระดมจูบไซ้ ไล่เรื่อยจากลำคอขึ้นมาถึงท้ายทอย กระหยิ่มใจในอาการตอบสนองของเธอ รีบเบียดกายกำยำเข้าหาบั้นท้ายกลมกลึง บดคลึงจนโซเฟียรู้สึกได้ในความเครียดเขม็งของเขา
“คิดถึงเหลือเกิน” เดลละล่ำละลักไปตามอารมณ์ปรารถนา จ้วงจูบไม่ยั้ง ใช้ทั้งจมูกและปากตักตวงไปตามเนื้อตัวของโซเฟีย กอดจูบผู้หญิงตรงหน้าด้วยความกระหาย ชดเชยให้กับช่วงเวลาที่ห่างเหินกันนาน
เดลหายหน้าไปนานกว่าสามเดือน เขาเพิ่งเสร็จจากงานรับจ้างต้อนฝูงวัวหลายพันตัว เพื่อข้ามไปส่งให้กับฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่อีกรัฐ แต่ละวันของชีวิตต้องผ่านไปพร้อมกับงานกลางแจ้ง นอนกลางดินกินกลางทราย ค่ำไหนนอนนั่น ทุกที่คือบ้าน เผชิญชะตาท่ามกลางผืนแผ่นดินราบโล่ง แล้ง ร้อน ราวกับทะเลทราย แต่
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี