ท่านอ๋องเดินออกจากจวนสกุลฟางด้วยความงุนงงในพระทัยที่เกิดขึ้นอย่างถาโถมไม่สิ้นสุด ทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไป สายตาที่นางมองเขาตอนพูดบอกเลิกการหมั้นหมายที่ยังมิทันได้เกิดขึ้น
ไหนจะข้อตกลงที่นางพูดอย่างชัดเจนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นทุกสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาต้องการมาโดยตลอดก็ตาม
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ…จื่อลู่”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เจ้าว่า…คุณหนูใหญ่ฟางวันนี้ มีบางอย่างแปลกไปหรือไม่”
“กระหม่อมคิดว่า…นอกจากที่ไม่ได้แต่งตัวราวกับนกยูงรำแพนหลากสีและแต่งหน้าจัดกับสวมเครื่องประดับมากเกินความจำเป็น นอกนั้น….”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…ท่าทาง น้ำเสียงการพูดจาและมารยาท…”
“เรื่องนี้…เอ่อ…”
“ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้า…ยังตามสืบเรื่องผู้ที่ผลักนางตกสระน้ำอยู่หรือไม่”
“ท่านอ๋องยังมิได้สั่งการมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตามสืบให้ข้าที ข้าอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ หากว่าฟังจากที่นางพูด”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่พระองค์บอกว่านางเป็นผู้ขอยกเลิกการหมั้นไปแล้ว เหตุใดพระองค์ยังต้องสืบ…”
“หากว่านางถูกทำร้ายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ…เรื่องนี้ข้ามิอาจวางใจปล่อยคนร้ายไปได้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเร่งสอบสวนเรื่องนี้โดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
จวนสกุลฟาง
“ท่านพ่อข้ามาแล้ว”
“หยุนเฟยมาแล้วหรือ”
“แล้วคนอื่น ๆ เล่าเจ้าคะ”
“คนอื่น ๆ เจ้าหมายถึง…ท่านอ๋องก็เสด็จกลับไปแล้วนี่”
“น้าหลานกับหลีเม่ยเจ้าค่ะ เหตุใดไม่มานั่งกินข้าวพร้อมกันเล่าเจ้าคะ”
ท่านราชครูถึงกับหันไปมองใบหน้าพ่อบ้านเจาที่ตกใจระคนแปลกใจที่ฟางหยุนเฟยเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางไม่มีทางร่วมโต๊ะกับฮูหยินและคุณหนูรองเป็นอันขาดเพราะนางมิได้ยอมรับทั้งสองแต่เหตุใดวันนี้….
“ท่านพ่อ…ไม่ได้ฟังที่ข้าถามหรือเจ้าคะ”
“อ้อ ก็ปกติเจ้าไม่ยอมร่วมโต๊ะกับพวกนาง ก็เลย…”
“ท่านน่ะให้คนไปเรียกพวกนางมาเถอะ กินสองคนเหงาจะแย่ ดูสิกับข้าวเต็มโต๊ะกินกันสองคนไม่หมดหรอก ไปเถอะ รีบไป”
“ขอ…ขอรับคุณหนูใหญ่ ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
พ่อบ้านเจาวิ่งไปด้วยความดีใจ ในที่สุดสกุลฟางก็มีวันที่สงบสุขได้เสียที ไม่นานเมื่อทั้งสองแม่ลูกได้ยินว่าคุณหนูใหญ่เชิญไปกินข้าวที่ห้องอาหารด้วยกัน ทั้งคู่ถึงกับตกใจราวกับฟังผิดไป
“พ่อบ้านเจา ท่านบอกว่า…”
“ขอรับฮูหยิน คุณหนูใหญ่ให้มาเชิญฮูหยินและคุณหนูรองไปกินข้าวขอรับ”
“ท่านแม่ คุณหนูใหญ่…..ยอมรับท่านแล้ว”
“รีบไปเถิดขอรับฮูหยิน”
“ได้ ได้…หลีเม่ยเร็วเข้า อย่าให้ท่านพ่อกับคุณหนูใหญ่รอนาน”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
สองแม่ลูกเดินตามพ่อบ้านเจาออกไปยังห้องอาหาร ทั้งจวนสกุลฟางรู้ดีว่าฮูหยินรองนั้นตั้งแต่แต่งเข้ามาก็ดูแลจวนอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง
มีเพียงคุณหนูใหญ่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านเพราะนางโหดร้ายกับบ่าวไพร่และสาวใช้ที่บังอาจขัดขืนคำสั่ง ทำให้จวนสกุลฟางเกือบสิบปีมานี้มิได้อยู่กันอย่างสงบสุขมากนัก
ห้องอาหาร
“มากันแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ นี่หลีเม่ย เจ้ามานั่งข้างพี่นี่เถอะ ดูสิผอมจนเอวคอดไปหมด ท่านน้า นี่หลีเม่ยวัน ๆ กินสิ่งใดบ้างเจ้าคะ เหตุใดนางจึงผอมผิดปกติคนวัยเดียวกันเช่นนี้เล่า”
วิญญาณของคุณครูที่มองดูเด็กและค่อนข้างเอาใจใส่เรื่องโภชนาการเอ่ยทักน้องสาวขึ้นเมื่อเห็นนางชัด ๆ อีกครั้ง ราชครูกับฮูหยินถึงกับหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจที่นางเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่ได้ ๆ หลีเม่ย เจ้าจะถึงวัยปักปิ่นเมื่อใดนะ”
“อีก…ท่านแม่…”
นางยังคงกลัวหยุนเฟยและไม่คุ้นชินกับการพูดจาดีของหยุนเฟยเท่าใดนัก นางพึ่งจะอายุสิบหกปีต่างกับหยุนเฟยสามปีเลยพูดไม่ค่อยถูกเท่าใดนัก ฮูหยินจึงเป็นผู้ตอบแทนนาง
“อีกครึ่งปีเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
“ท่านน้า ท่านจะเรียกข้าคุณหนูใหญ่อีกนานหรือไม่เจ้าคะ ท่านควรจะเรียกข้าด้วยชื่อได้แล้ว”
“ชะ…เรียกชื่องั้นหรือเจ้าคะ”
“คำสร้อยนั่นก็ไม่ต้องใช้แล้ว”
“คำสร้อย??…..คือสิ่งใดเจ้าคะ”
หยุนเฟยหันไปหัวเราะกับบิดาและหันมามองใบหน้าน้องสาวที่เริ่มจะยิ้มออกเมื่อเห็นนางยิ้มขำมารดาที่ไม่รู้จักคำที่นางพูดโพล่งออกมาอย่างลืมตัว นางพยายามแล้วแต่ก็ติดพูดคำปัจจุบันในชาติก่อนมาด้วย
“เอาเป็นว่าท่านน้าลองเรียกข้าว่าหยุนเฟย ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“คือว่า….”
ท่านราชครูหันไปยิ้มและพยักหน้าให้นางเพราะก่อนที่พวกนางจะมาหยุนเฟยนั่งเล่าให้เขาฟังมาก่อนแล้วว่าฮูหยินทำไก่ตุ๋นโสมไปให้นางที่ห้องและพวกนางก็กินข้าวร่วมกันเขาจึงดีใจที่บุตรสาวเริ่มคิดได้แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ นั่นมา
“หยุน…หยุนเฟย”
“อาเม่ย ดูท่านแม่เจ้าสิร้องไห้อีกแล้วเช็ดน้ำตาให้นางเร็วเข้า”
“คุณหนูใหญ่ ท่านเรียกข้าว่า….”
“เจ้ามิใช่น้องข้าหรือหลีเม่ย ข้าเรียกเจ้าอาเม่ย ได้หรือไม่”
“นั่น…ข้า…”
“เจ้าไม่อนุญาตหรือ ข้าขอโทษ ๆ งั้นข้าจะเรียกเจ้าเช่นเดิม”
“ได้เจ้าค่ะ ได้!!”
“เสียงดังทำไม เจ้าตื่นเต้นอะไรเด็กน้อย ท่านพ่อดูนางสิเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ เอาละ ๆ น้องก็ตกใจน่ะสิ ปกติเจ้าเอาแต่ดุนางนี่นา เอาละหลีเม่ย พี่เจ้าเรียกว่าอาเม่ยก็ดีเช่นกัน พ่อเองบางทีก็เรียกเจ้าเช่นนั้นเช่นกัน”
“เช่นนั้น….เช่นนั้นข้า…ขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เกิดความเงียบขึ้นเมื่อหลีเม่ยเอ่ยถามนางเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านราชครูหันไปมองหยุนเฟยและแอบหวั่นใจ ฮูหยินหลานนั่งตัวสั่นไปทั้งตัว
มีเพียงหยุนเฟยที่ยังยิ้มไม่หุบพร้อมกับหันมาลูบหัวหลีเม่ยด้วยความเอ็นดูตามประสาคุณครูอนุบาลที่เห็นเด็กเติบโตและนางเองก็รักเด็กเอามาก ๆ
“ได้เลย ก็ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านี่ ใครให้ข้ามีน้องที่น่ารักเช่นนี้กันนะ แต่ว่านะอาเม่ยเจ้าน่ะน่าจะผอมเกินไป ข้าคิดว่าจะต้องปรับเรื่องอาหารและโภชนาการของที่จวนเราเสียใหม่ เจ้าจะได้โตและสูงตามมาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น”
ทั้งราชครูที่ถือว่ามีความรู้ก็เผลอหันไปมองนางที่พูดคำแปลก ๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นางใช้คำศัพท์ที่ยากเกินกว่าที่คนธรรมดาเช่นหลานฮูหยินกับหลีเม่ยจะเข้าใจจนเขาเริ่มนึกสงสัยว่าที่ผ่านมาหยุนเฟยซ่อนความลับเรื่องความรู้ของนางเอาไว้หรือไม่
“เหตุใดพวกท่านมองหน้าข้าเช่นนั้นเล่า ข้าพูดเรื่องจริงนะท่านดูสิ ที่จริงอาเม่ยอายุสิบหกที่จริงน่าจะต้องอวบกว่านี้อีกนิดและน่าจะสูงได้เท่าข้าเลย ท่านน้าท่านเองก็ทำอาหารอร่อย เอาเป็นว่าหลังจากนี้เราคงต้องเริ่มปรับเรื่องนี้ก่อน อาเม่ย เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่ชอบกินผักน่ะ”
“ข้า…กินได้นะเจ้าคะ เป็นบางอย่าง”
“ว่าแล้วเชียว ไม่ได้นะวัยเช่นเจ้ากำลังเป็นวัยกำลังเจริญเติบโตดังนั้นอาหารที่มีประโยชน์ทั้งโปรตีน วิตามิน คาร์โบไฮเดรตต้องครบ ธาตุเหล็กก็สำคัญมากเจ้าจะได้แข็งแรง”
“เอ่อ…คุณหนู..เอ่อ หยุนเฟย ที่เจ้าพูดมา มันคือชื่อของอาหาร หรือว่า….”
หยุนเฟยหลับตาพร้อมกับไล่ความคิดออกไป นางเผลอพูดแบบนี้ออกไปอีกแล้ว นางหันมายิ้มให้หลานอี้เหนียง
“ท่านน้าอย่าได้ใส่ใจข้าเลยเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะมาเริ่มจัดการเรื่องอาหารของในจวนใหม่ทั้งหมด และเจ้าอาเม่ย อย่าได้คิดหนีเชียว”
“พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้ท่านพูดราวกับอาจารย์ตามสำนักศึกษาเลยเจ้าคะ”
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว