เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน ยืนเหม่อมองร่างของเด็กน้อยในชุดนอนที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ในอ้อมแขนเล็กๆ ของเขากอดเจ้างูทะเล หรือเรือบังคับวิทยุลำใหญ่ที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญเมื่อเช้านี้เอาไว้แน่น เสียงหายใจของเจโคบีเป็นจังหวะแผ่วเบาสม่ำเสมอ ภาพที่มองเห็นทำให้มหาเศรษฐีผู้สูงวัยต้องอดยิ้มไม่ได้
ยิ่งโลกของผู้ใหญ่สับสนวุ่นวายมากแค่ไหน ความไร้เดียงสาของเด็กๆ ก็ยิ่งเปรียบเสมือนแสงไฟอันอบอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมใจในค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาวมากเท่านั้น
“เจค็อบเอ๊ย... ทำไมถึงได้อาภัพอย่างนี้นะ”
เคนเน็ธถอนหายใจแรงๆ มือหยาบย่นเอื้อมลงไปลูบเรือนผมหยักศกที่ปลกอยู่บนหน้าผากเบาๆ ขนตางอนเป็นแผงหนาพริ้มสนิท เมื่อรวมกับรูปหน้ารียาวขาวสะอ้านและเส้นผมสีดำเป็นเงา เด็กน้อยก็คือความงดงามที่เกิดจากส่วนผสมอันลงตัวระหว่างชาวเอเชียและชาวยุโรปอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่ายังไงปู่จะเลี้ยงเจ้าเอง เจค็อบ... ปู่จะไม่ยอมให้ใครมาพรากเจ้าไปจากอกปู่เป็นอันขาด ปู่สัญญา...”
ท่ามกลางความมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากภายนอกลอดผ่านประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ เคนเน็ธยืนเพ่งมองใบหน้าของเจโคบีอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่มือทั้งคู่จะค่อยๆ ดึงผ้าห่มที่หลุดร่นลงจากร่างให้กลับขึ้นไปคลุมบนหน้าอกของเด็กชายอีกครั้ง
เมื่อมั่นใจว่าความหนาวเย็นของอากาศไม่สามารถแผ้วพานหลานชายสุดที่รักได้แล้ว มหาเศรษฐีเฒ่าก็ก้มลงจูบพวงแก้มนุ่มด้วยความรักใคร่ แต่ก็ยังระมัดระวังไม่ให้เป็นการรบกวนการนอนหลับ ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างช้าๆ
***
“บัดซบเอ๊ย!” อัลเบิร์ตสบถลั่น มองลอดหน้าต่างรถไปอย่างไม่มีจุดหมายขณะที่รถสปอร์ตสีดำของเขากำลังวิ่งเข้าสู่เขตเมือง ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาลและเคียดแค้น “ไอ้แก่! อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้วแท้ๆ เงินแค่แสนสองแสนยังจะหวงเอาไว้อีก!”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ... อีกไม่นานมรดกนับพันล้านปอนด์ของบิดาก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่วันยังค่ำไม่ใช่หรือ กับอีแค่เศษเงินแสนทำไมไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้เขาได้ใช้บ้าง...
อย่าบอกนะว่าเคนเน็ธตั้งใจจะตัดเขาออกจากกองมรดกจริงๆ...
เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของตาเฒ่านั่นนะ...
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเคนเน็ธคิดจะยกทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้เป็นของเจโคบีคนเดียวอย่างนั้นน่ะหรือ... ไม่จริงใช่ไหม...
ยิ่งใกล้ถึงแมนชั่น จิตใจเขาก็ยิ่งกังวลและสับสน สถานการณ์มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่ามหาเศรษฐีเฒ่าเลือกเจโคบีบุตรชายของเขามากกว่า นั่นก็หมายความว่า ถึงอัลเบิร์ตและภรรยาจะเรียกเงินก้อนใหญ่ได้ตามแผนการ แต่ท้ายที่สุดมรดกตระกูลชาร์ลสตันจะไม่มีวันตกมาถึงเขาอย่างแน่นอน
“ไอ้ลูกระยำ!” คิดมาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ทุบกำปั้นลงบนแตรรถอย่างลืมตัว “มันจะเกิดมาทำซากอะไรวะ!” เขายังก่นด่าไม่หยุด รถสปอร์ตคันงามชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงหน้าแมนชั่นมุมหนึ่งของจตุรัสพิกคาดิลลีเซอร์คัสอันเป็นที่หมาย แน่ล่ะว่าถ้าหากเขายังหาเงินมาจ่ายหนี้ไม่ได้ ในอีกไม่ช้ารถสปอร์ตบูกาต์ติ (2) คันนี้ก็คงไม่แคล้วต้องเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นไม่ต่างจากแมนชั่นสี่ชั้นเบื้องหน้า
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในที่พักอันหรูหรา อัลเบิร์ตก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อพบว่าภรรยาชาวจีนนั่งรอท่าอยู่แล้วบนโซฟายาวทรงวิกตอเรียในห้องโถงสำหรับรับแขก รอยยิ้มของหญิงสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ขณะที่ตัวเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินขึ้นสู่แท่นประหาร
“ว่ายังไงอัลเบิร์ต พ่อคุณให้เงินมาเท่าไหร่...”
“เอ่อ...” ชายหนุ่มอึกอักไม่กล้าตอบ
“เงียบอยู่ทำไมล่ะ ฉันถามว่าไอ้แก่นั่นมันให้คุณมาเท่าไหร่!” โรสเปลี่ยนเป็นตะคอกถาม
“มันไม่ยอมให้...” ก่อนที่ภรรยาสาวจะสาดความเกรี้ยวกราดใส่หน้า เขาก็รีบอธิบายต่ออย่างร้อนรน “ผม... ผมทำตามที่คุณบอกทุกอย่างแล้วนะโรส แต่ไอ้แก่เคนเน็ธถึงกับเอาขวดเหล้าปาใส่หน้าผม มันยังท้าให้เราหาทนายไปสู้เรื่องสิทธิ์ในตัวไอ้เด็กเปรตนั่น...” พูดจบอัลเบิร์ตต้องหลับตาปี๋ คาดว่าจะมีเสียงกรีดร้องของโรสดังตามมา
แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงบ ไม่มีถ้อยคำใดๆ หลุดลอดจากปากภรรยาชาวจีนของเขาทั้งสิ้น...
ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปทางตำแหน่งโซฟาที่โรสนั่งอยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจที่หญิงสาวยังคงนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่อย่างเดิม ใบหน้าที่งดงามและร้ายกาจไม่ได้มีทีท่าโกรธแค้นอย่างที่ควรเป็น แต่ดูเหมือนเธอกำลังนิ่งใช้ความคิดอยู่
“เจค็อบเป็นจุดอ่อนของพ่ออย่างที่คุณบอกจริงๆ โรส” อัลเบิร์ตตัดสินใจทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนั้น “แต่พ่อไม่ยอมให้เงิน แล้วก็ไม่ยอมคืนไอ้เด็กเวรนั่นให้เราเด็ดขาด... แล้วเราจะทำยังไงต่อกันดีล่ะที่รัก ถ้าจะใช้เจค็อบรีดเงินจากพ่อจริงๆ ล่ะก็ เราก็ต้องหาทนายไปสู้ในชั้นศาลนะ แต่ผม... ผมว่าเราแพ้แน่ๆ”
หญิงสาวหรี่ตาอย่างใช้ความคิด ริมฝีปากที่เคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงเลือดเหยียดยิ้มเย้ยหยัน
“ไอ้แก่ดื้อด้าน... ในเมื่อขอกันดีๆ ไม่ยอมให้ เห็นทีจะต้องให้มันเสียน้ำตากันก่อนกระมัง...” โรสบ่นพึมพำ “มันไม่ยอมคืนไอ้เด็กผีนั่นให้เรา เราก็ใช้วิธีลักพาตัวมาเสียสิ จะไปยากอะไร...”
ทันทีที่ประตูห้องชั้นบนสุดของตึกหน้าเปิดออก อัลเฟรโดก็ดึงแขนนรินทร์นารถซึ่งมีท่าทีไม่เต็มใจ ให้เดินตามเข้าไปจนถึงชุดโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนด้านใน ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นการบังคับกลายๆ ให้เธอนั่งตามตั้งแต่เขาพาตัวเธอและเจโคบีกลับมาถึงคฤหาสน์ทะเลทราย ชายหนุ่มก็เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทำให้ในใจของนรินทร์นารถเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวว่าหลังนี้เขาจะควบคุมตัวเธอเอาไว้แต่ในตึกหลังโดยไม่อนุญาตให้เจอกับเจโคบีเพื่อป้องกันไม่ให้เธอมีโอกาสพาเด็กชายหนีไปอีก“คุณอัลเฟรโดคะ...” หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟายาวที่อยู่เยื้องกัน ถึงจะยังหวั่นๆ กับความผิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจเอ่ยปาก ดีกว่าต้องทนอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างนี้ต่อไป “ฉันรู้ว่าทำให้คุณโกรธ... แต่ว่าฉัน...” เธอเคยบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าเธอจำเป็นต้องพาเจโคบีกลับไปคืนให้เคนเน็ธ“ฉันไม่ได้โกรธเธอ...” ชายหนุ่มพูดขัดคอด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาไม่ถูก“แล้วคุณ... พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ...”นรินทร์นารถไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ไม่คิดว่าอัลเฟรโดจะพาเธอขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อลงโทษด้วยการร่วมรักอย่างโหดเหี้ยมอำมห
“นะ...นี่ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่!” เขาตะคอกอย่างลืมตัว“ฉันทิ้งลูกชายเอาไว้ที่ตลาด... ให้ฉันไปรับตัวเขามาที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังให้ของคุณไม่ได้หรอกค่ะ...”ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งมายังใบหน้าของหญิงสาวชาวเอเชีย ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเธอเกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเพราะเสียดายตุ้มหูเพชรคู่นั้นขึ้นมา เขาก็ยังพอตัดใจได้ แต่เมื่อได้เห็นสร้อยเพชรที่น่าจะหนักมากกว่าสามสิบกะรัต สตินึกคิดและความยับยั้งชั่งใจก็ขาดผึง“อย่าต่อรองกับฉันดีกว่าน่า! หรืออยากจะให้ฉันเรียกตำรวจมาก่อน หา!”กัปตันเรือสินค้าวัยกลางคนปักใจเชื่อว่านรินทร์นารถจะต้องเป็นทาสหรือไม่ก็นางบำเรอของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีไปจากที่นี่พร้อมๆ กับของมีค่าที่เธอขโมยมา แล้วเรือของเขาก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยเธอได้... เพราะฉะนั้น อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะรีดเอาเครื่องเพชรของเธอมาได้มากกว่าแค่ตุ้มหูคู่นั้น จึงเจตนาข่มขู่ให้เธอหมดทางเลือก...“ฉัน... ฉันไม่ไปกับคุณแล้ว... ฉันจะกลับไปหาเจค็อบ...” หญิงสาวละล่ำละลัก สภาพการณ์ที่เห็นทำให้เธอเกิดไม่ไว้เขาขึ้นมาหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ถูกสองกุ๊ยชาวจีนลักพาตัวมาขังบนเรือประมง ถูกคนหัวล้านท่าทาง
ขณะที่ยืนลังเลตัดสินใจอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรที่ท่าเรือด้านใน จึงรีบหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวพบว่าเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ เขากำลังยืนชี้นิ้วตวาดคนงานที่ขนลังสินค้าอะไรสักอย่างขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งชายคนนั้นมีศีรษะล้านเลี่ยน หนวดเครารุงรัง ดูจากการแต่งตัวลำลองแบบชาวตะวันตกและท่าทางวางอำนาจกับเหล่าคนงานพื้นเมืองแล้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องเป็นกัปตันของเรือขนส่งสินค้าลำนั้นอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เธอมองเห็นจะบอกถึงความดุร้ายเจ้าอารมณ์ แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตานรินทร์นารถต้องเบิกกว้าง หัวใจเต้นระทึก ก็คือรูปร่างหน้าตาของเขา... มันเป็นลักษณะของชาวตะวันตกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดวงตาสีฟ้าอมเทา ผมสีทอง หรือผิวที่กลายเป็นสีแดงจัดเพราะถูกแดดเผา...“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า...” ด้วยเวลาแห่งความปลอดภัยที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากเสี่ยงดวงเดินเข้าไปทักเขาตรงๆ“มีอะไร” เขาถามเธอกลับแทนคำตอบ “เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังยุ่งอยู่ เธอมีธุระอะไรกับฉันก็รีบว่ามาเร็วๆ” น้ำเสียง
“เฮ้ย! อย่ามานอนแถวนี้ ลุกออกไปเร็วๆ เข้า ลุกๆ!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของชายแปลกหน้าชาวโมร็อกโกปลุกร่างสองร่างที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้ากระสอบผืนใหญ่ให้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ขณะที่เขาไม่สนใจปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ เดินเข้ามายกลังไม้เปล่าๆ สองสามใบที่ตั้งอยู่ข้างๆ เธอกลับออกไปถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาอาหรับที่เขาใช้ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาเมื่อสักครู่ เธอก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอและเจโคบีอยู่ที่นั่นต่อนรินทร์นารถรีบประคองเด็กชายยืนขึ้น เขายังมีสีหน้างัวเงีย แต่ก็ยอมลุกเดินตามเธอออกจากซอกอาคารแคบๆ แห่งนั้นโดยดีหญิงสาวเหลือบมองชายวัยกลางคนคนเดิมวางลังไม้ลงบนพื้นแล้วปูด้วยเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปยกเอาลังกระดาษใบใหญ่จากด้านในตัวอาคารมาวางตั้ง ก่อนที่จะหยิบอินทผลัมสุกหลายทะลายในลังออกมาวางเรียงรายบนนั้น“ยังจะมองอะไรอยู่อีก! ไปๆๆ! อย่ามายืนขวางหน้าร้าน” เขาเงยหน้าขึ้นพูดด้วยถ้อยคำที่เธอยังคงฟังไม่รู้เรื่องพลางโบกไม้โบกมือไล่ “แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หอบหิ้วลูกออกมาเร่ร่อนเป็นขอทานซะได้... ไม่ไหวจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้...” พ่อค้าผลไม้คนเดิมบ่นไล่หลังชายคนนั้นไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอและเจโคบี
เช้าตรู่วันนั้น ภายในตึกเล็กของคฤหาสน์ทะเลทรายก็เกิดความวุ่นวายโกลาหล เมื่อบุตรชายของอัลเฟรโดพบว่าน้องชายคนใหม่ของเขาเกิดหายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ตอนแรกอิสซามเข้าใจว่าเด็กชายคงจะตื่นและลงไปเดินเล่นที่สวนหน้าตึก แต่เมื่อถามจากปากยามซึ่งมีหน้าที่ดูแลประตู เขาจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน“ใครบอกแกว่าเมื่อคืนนี้อัลวาโรไม่สบาย อามีน” อิสซามตะคอกใส่ยามวัยกลางคนที่กำลังยืนก้มหน้างุด ข้างๆ ยังมียามหนุ่มอีกคนซึ่งมีสีหน้าหวาดหวั่นไม่ต่างกันถึงแม้จะมีวัยแค่สิบขวบ แต่เด็กชายผิวคล้ำหน้าตาคมเข้มก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อค้าอาวุธสงครามผู้ทรงอิทธิพล โดยเฉพาะสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดและบุคลิกเปี่ยมด้วยอำนาจที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ไม่มีใครในคฤหาสน์ของอัลเฟรโดมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง“สะ...สาวใช้ที่ราเนียส่งมาดูแลครับ คุณอิสซาม...” อามีนตอบตะกุกตะกัก“ไอ้โง่! บอกแค่นั้นแกก็ยอมให้เข้ามาในตึกแล้วหรือไง ถ้าทำงานได้แค่นี้ฉันบอกให้พ่อเลี้ยงหมายังจะดีซะกว่า”“ไอ้หนู เอ่อ คุณอัลวาโร... หายไปอย่างนั้นเหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ“ก็ใช่น่ะสิ รอให้พ่อ
“หนาวไหมจ๊ะ” นรินทร์นารถกระซิบถามเจ้าของร่างน้อยๆ ที่เดินอยู่เคียงข้างเด็กชายส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่การที่เขาคอยเป่าลมหายใจใส่อุ้งมือทั้งสองข้างตลอดเวลามันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจโคบีไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วงจริงอยู่ที่ทาร์ฟายาเป็นเมืองท่าติดทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลในตอนกลางวัน ทำให้มีอุณหภูมิเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังคงรายล้อมไปด้วยทะเลทราย เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศจึงเย็นจัดเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นทรายจะไม่สามารถกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้เหมือนพื้นดินหญิงสาวเปลื้องผ้าคลุมบนศีรษะ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาก่อนจะห่มผ้าผืนนั้นให้“ผมไม่หนาวหรอกฮะ... นีนาเอาเก็บไว้ห่มเองเถอะ...” ปากบอกอย่างนั้นแต่ฟันกระทบกันเสียงดังกึกกักพี่เลี้ยงสาวไม่ฟังคำพูดของเขา กระชับผืนผ้าให้แน่นแล้วยัดชายทั้งสองข้างใส่ไว้ในมือน้อยๆ“ห่มเอาไว้ จะได้ไม่เป็นหวัด...” ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาเบาๆ “เจค็อบเหนื่อยหรือยัง... อดทนอีกหน่อยนะจ๊ะ อีกไม่นานก็จะถึงในเมืองแล้ว...”“ทำไมเราไม่ไปตามถนนล่ะฮะ... ตอนที่มากับพวกโจรสลัดเราไม่เห็นต้องเดินบนทรายอย่างนี้เลย...”เจโคบีหันไปมองรอบๆ ตัวที่มีแต่ผืนทรายก