หลังจากใช้ชีวิตกับการเรียนมาตลอดหนึ่งเทอมในที่สุดก็ปิดเทอมเสียที แม้จะเป็นปิดเทอมเล็กแค่สองสัปดาห์ ก็พอให้น่านน้ำได้พักหายใจไม่อึดอัดกับสายตาของเด็กในห้องได้สักพัก
คีนกับเคนเลือกที่จะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนตามประสา ส่วนคุณรังสรรค์กับคุณหญิงกนกอรท่านทั้งสองต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำอย่างคนไม่มีวันหยุด วันนี้จึงเป็นวันที่เขาต้องอยู่บ้านกับสาวใช้อีกเช่นเคย เรียกว่าชินไปแล้วจนไม่รู้สึกเหงาสักเท่าไร
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจคือคินทร์กลับบ้านก่อนเวลา ทั้งที่เพิ่งออกไปจากบ้านได้แค่ชั่วโมงเดียว ไม่รู้ว่าจริง ๆ ไปถึงบริษัทหรือยังด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มมองไปยังร่างสูงที่กำลังเดินตรงมาหาตนเอง ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นมองด้วยความสงสัย
“ไปเที่ยวกันไหม”
“ครับ? เฮียไม่ต้องไปทำงานเหรอ”
“วันนี้ป๊าให้เฮียหยุดพัก พอดีกับที่รู้ว่าน่านอยู่คนเดียว เฮียเลยจะพาไปเที่ยว อยู่แต่บ้านคนเดียวทุกวันเหงาแย่”
ไม่ใช่คินทร์ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องอยู่คนเดียวทุกครั้งที่ทุกคนออกไปกันหมด ทว่าเขาเองก็มีงานต้องเลยทำเหมือนไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมาเขาคอยสังเกตอยู่ตลอด
น่านน้ำไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากจนเกินไป เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจที่จะเข้าหา เพื่อไม่ทำให้อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ และเขาก็คิดว่ากำแพงในใจของน่านน้ำลดลงบ้างแล้ว
“แต่เฮียควรได้พัก..” เอ่ยพูดออกไปไม่เต็มเสียงนัก นึกเกรงใจที่เห็นเฮียคินทร์มาให้ความสนใจกับเรื่องที่เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย อีกอย่างคนพี่ก็ทำงานทุกวันแทบไม่ได้พัก วันนี้อุตส่าห์ได้พักทั้งทีก็ควรจะได้พักผ่อนจริง ๆ ไม่ใช่มาพาเขาไปเที่ยว
“ได้ไปเที่ยวก็ถือว่าได้พักผ่อนแล้วเหมือนกัน วัน ๆ เฮียเอาแต่ทำงาน ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงจะดีไม่ใช่หรือไง”
“…”
“หรือถ้าน่านไม่อยากไป บอกเฮียตรง ๆ ได้เลย เฮียไม่ว่าอะไร”
คนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ไม่ได้ประชดประชันหรือเคืองใจแม้แต่น้อย สิทธิ์การตัดสินใจเป็นของน่านน้ำ คินทร์เลือกที่จะเคารพมันขอแค่พูดออกมา
“น่านอยากไป.. แต่น่านกลัวจะรบกวนเฮีย”
“จะรบกวนได้ยังไง ในเมื่อเฮียเป็นคนชวนน่านด้วยตัวเอง”
ฝ่ามือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำขลับค่อย ๆ ลูบอย่างเบามือ เด็กคนนี้ช่างเป็นคนคิดมาก แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
“แต่ใจจริงเฮียก็อยากให้น่านรบกวนเฮียบ้าง.. แบบนั้นมันคงจะดี”
“…”
น่านน้ำไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนจะสื่อ ใครที่ไหนจะอยากให้คนอื่นรบกวนตัวเอง นอกเสียจากเลี่ยงไม่ได้กับไม่กล้าปฏิเสธ
แม้ตอนนี้เขาจะอายุสิบเจ็ดแล้ว แต่บางเรื่องเขาก็ยังตอบสิ่งที่ตัวเองสงสัยไม่ได้ ยังคงเป็นเด็กไร้เดียงสาอยู่ไม่น้อย
“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยไหม อีกเดี๋ยวจะได้ไปกันเลย”
“ครับ” ตอบรับพลางพยักหน้าเบา ๆ
พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะนี่คงเป็นการเที่ยวครั้งแรกในรอบหนึ่งปีนับตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียไป แม้จะยังไม่รู้ว่าคินทร์จะพาไปที่ไหนก็ต่าง
ร่างเล็กเปลี่ยนไปใส่ชุดสบายทว่ายังดูดีเหมาะสมกับวัย เป็นกางเกงยีนขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อยคู่กับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนโอเวอร์ไซซ์ใหญ่กว่าตัวไม่มากนัก
คินทร์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมยกยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม แบบนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เขาสามารถชวนน่านน้ำออกไปเที่ยวได้
จริง ๆ ก็อยากพาน้องชายอีกทั้งสองคนไปด้วย แต่คีนกับเคนปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะไม่ว่างกำลังไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน คินทร์เลยไม่ได้เลือกที่จะเซ้าซี้ต่อ
เว้นก็แต่น่านน้ำที่ไม่ว่ากลับบ้านมาตอนไหนก็มักจะเห็นเจ้าตัวนั่งเหงา ๆ อยู่ที่สวนหลังบ้านคนเดียว ซึ่งได้มีการ Renovate ใหม่โดยน่านน้ำเอง ขออนุญาตคุณหญิงกนกอรเป็นที่เรียบร้อย
บริเวณสวนหลังบ้านที่เคยมีดอกไม้นานาพรรณวางเรียงรายไม่ได้จัดเป็นระเบียบ เพียงแค่ดูแลใส่ปุ๋ยรดน้ำไปวัน ๆ ต่างจากตอนนี้ที่น่านน้ำสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ดูแลจัดการด้วยตัวเอง ทำให้บริเวณในสวนน่าอยู่มากขึ้น รอบ ๆ มีดอกไม้ถูกจัดเรียงสวยงาม ต้นไหนที่อยู่ในกระถางนานเกินไปก็ถูกปลูกลงดินตามเห็นสมควร
คุณรังสรรค์ยังใจดีสั่งคนทำชิงช้าไม้มาไว้ในสวนให้น่านน้ำได้นั่งเล่น ส่วนโต๊ะหินอ่อนชุดเก่าก็ถูกรื้อเป็นชุดใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับสวนที่น่านน้ำจัดแต่ง
ทั้งหมดนี้น่านน้ำไม่ได้ขอ แต่เป็นความกรุณาของคุณท่านทั้งสองที่ใจดีกับเขามาก ๆ ก็เท่านั้น
หากวันไหนหาน่านน้ำในบ้านไม่เจอคินทร์ก็รู้ได้ทันทีว่าคนน้องมานั่งเล่นอยู่ในสวน อย่างเช่นวันนี้ที่กลับมาถึงบ้านเขาก็ตรงปรี่มาหาน่านน้ำที่สวนทันทีโดยไม่ต้องเข้าไปหาในบ้านก่อน
“พร้อมไหมครับ”
“พร้อมครับ” ความตื่นเต้นถูกเก็บเอาไว้ไม่มิด หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นรัวเมื่อคิดถึงการเดินทางไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง
“งั้นไปกันเถอะ เฮียหาไว้แล้วว่าจะพาน่านไปที่ไหน”
ที่ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป การเดินทางก็ไม่ลำบากสักเท่าไร แถมยังขึ้นชื่อสำหรับนักท่องเที่ยว วันนี้คินทร์เลยคิดว่าไปที่นั่นน่าจะดี
ออกเดินทางมาได้ไม่ไกลรถหรูก็เลี้ยวเข้าปั๊มแวะเติมน้ำมันให้เต็มถัง อีกทั้งจอดรถพาน่านน้ำลงไปหาขนมไว้กินระหว่างเดินทางอีกด้วย
“อยากกินอะไรหยิบได้เลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
คินทร์ยกยิ้มมุมปากพลางเดินถือตะกร้าใส่ของตามหลังเด็กหนุ่มไม่ใกล้ไม่ไกล น่านน้ำเลือกหนิบขนมที่ตัวเองอยากทานเพียงสองสามอย่าง ทว่าตอนจ่ายเงินขนมที่เขาไม่ได้เลือกกลับเต็มตะกร้า ไม่รู้ว่าคนพี่หยิบใส่มาตอนไหน
กลับขึ้นมาบนรถขนมถุงใหญ่ถูกวางลงบนตักน่านน้ำ ก่อนที่เจ้าของรถจะเอื้อมมือมาดึงสายเข็มขัดนิรภัยรัดให้คนข้าง ๆ เพื่อความปลอดภัย
น่านน้ำไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากมาย จะเรียกว่าชินไปแล้วก็ได้ การเอาใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาได้รับมาตลอดตั้งแต่อยู่กับคินทร์
ทั้งยังรับรู้ได้ว่าตัวเขาเองไม่เกร็งเวลาอยู่ใกล้คนพี่เท่าเมื่อก่อน แม้จะยังพูดน้อยและขี้เกรงใจเหมือนเก่า ทว่าความสบายใจที่มีเวลาอยู่ด้วยกันมันเพิ่มขึ้น
“กินขนมไหมครับ น่านแกะให้”
“ไม่เป็นไรครับ น่านกินเถอะ”
คนขับหันมาส่งยิ้มให้เพียงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองทางอย่างตั้งใจอีกครั้ง
เด็กหนุ่มแกะซองขนมอย่างเบามือเพราะกลัวว่าเศษของมันจะร่วงหล่นในรถ แผ่นมันฝรั่งรสดังเดิมถูกหยิบขึ้นก่อนจะส่งไปจ่อที่ปากของคนอายุมากกว่า ดวงตาคมเหลือบมองพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“กินสักหน่อยสิครับ” เอ่ยพูดเสียงอ้อมแอ้มน่าเอ็นดูจนทำคนฟังอดยิ้มไม่ได้
คินทร์อ้าปากรับขนมที่น่านน้ำอุตส่าห์ป้อนเข้าปากโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ทานขนมจำพวกนี้
เมื่อเห็นคนพี่ยอมทานขนมที่ตัวเองป้อนก็เผลอยกยิ้มขึ้นบาง ๆ ก่อนจะหยิบขนมใส่ปากตัวเอง สลับกับป้อนอีกคนไปด้วย
ไม่มีเสียงพูดคุยกันระหว่างทั้งสองคน มีเพียงเสียงถุงขนมและความกรุบกรอบของแผ่นมันฝรั่งที่ดังขึ้นเมื่อถูกขบเคี้ยวภายในปาก
รถยนต์เลี้ยวมาจอดที่อาคารโดยจะมีการเก็บค่าบริการเป็นชั่วโมง หลังจากนั้นคินทร์เหมาเรือสปีดโบตเพื่อข้ามไปที่เกาะล้าน โดยการเดินทางมีแค่สองคนเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นส่วนตัวมาก ๆ อีกอย่างการเดินทางก็เร็วกว่าเรือโดยสาร
เป็นครั้งแรกของน่านน้ำที่ได้นั่งเรือ รู้สึกประหม่าไม่น้อยระหว่างที่รอเรือออกจากฝั่ง เจ้าตัวนั่งนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน
“กลัวเหรอ?” ครั้นสังเกตเห็นใบหน้าหวานซีดเผือดจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ครับ น่านไม่เคยนั่งเรือมาก่อน”
“อีกเดี๋ยวเรือออกแล้วใส่เสื้อชูชีพไว้ พอได้ชมวิวรับลมเย็น ๆ ก็ไม่น่ากลัวแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยบอกกันอย่างใจเย็นทำให้น่านน้ำเชื่อสุดใจว่าเขาจะกลัวน้อยลงจริง ๆ อย่างที่เฮียคินทร์บอก
คนอายุมากกว่าหยิบเสื้อชูชีพใส่ให้เรียบร้อย พลางลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา เหมือนจะคลายความกังวลลงไปบ้างแล้ว
ทันทีที่เรือเริ่มออกตัวเด็กหนุ่มขยับกายนั่งชิดคนพี่ด้วยความตกใจ พลันความเร็วเพิ่มขึ้นใบหน้าได้รับลมเย็น ๆ อย่างที่คินทร์บอกน่านน้ำก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ
ดวงตากลมโตทอดมองไปยังเกาะที่เล็ก ๆ เบื้องหน้าที่เขากำลังจะไปเยือนด้วยความตื่นเต้น ความกลัวก่อนหน้านี้ราวกับถูกแรงลมกระชากให้หลุดลอยหายไป
“ยังกลัวอยู่ไหม”
“ไม่ครับ” ดวงหน้าหวานส่ายไปมา ดวงตาเป็นประกายบ่งบอกว่าตอนนี้เขาชอบมันมากกว่าจะมานั่งกลัว “เรากำลังจะไปที่เกาะตรงนั้นใช่ไหมครับเฮีย”
“ครับ”
“ไปถึงแล้วน่านขอเล่นน้ำได้หรือเปล่า”
“แต่เราไม่เอาชุดมาเปลี่ยน” ครั้นพูดออกไปอย่างนั้นก็คินทร์ก็สังเกตเห็นว่าน่านน้ำหน้าหงอยลงเพียงเสี้ยววิก่อนจะกลับมาเป็นตัวปกติตามเดิม “แต่ถ้าน่านอยากเล่นเราค่อยหาซื้อเสื้อผ้าที่ร้านแถวนั้นก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ แค่ขอเดินเล่นก็พอ”
น่านน้ำไม่อยากทำให้อีกคนต้องมาลำบากเพราะตัวเอง แค่พาเขามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาไกลขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาเที่ยวทะเล พอจะมีโอกาสคุณพ่อก็ติดงาน จะให้มากับคุณแม่สองคนเขาก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้มาด้วยกันอีก คิดแล้วก็น่าเศร้า ทว่าวันนี้เขาไม่อยากแสดงมุมอ่อนแอหม่นหมองออกมามากนัก เฮียคินทร์อุตส่าห์สละเวลาพักผ่อนของตัวเองพาเขามาเที่ยวทั้งที
ฮึบไว้นะน่านน้ำ!
ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาทีเรือก็มาจอดเทียบท่าเรือ เขาเหมาเรือไว้แค่วันเดียว มีเวลาให้เขาได้เที่ยวเล่นหลายชั่วโมงก่อนจะกลับฝั่ง
ร่างเล็กถูกอุ้มลงจากเรือโดยคนพี่ลงไปก่อน ด้วยความสูงและขนาดตัวที่ต่างกันการยกเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดลงจากเรือเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับคินทร์
“ขอบคุณครับเฮียคินทร์”
เอ่ยขอบคุณทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้นน้ำ คินทร์หันไปคุยกับคนขับเรือครู่หนึ่งก่อนจะหันมาพูดกับน่านน้ำ
“อยากไปทำอะไรก่อนดี เดินเล่น กินข้าว หรือขับรถชมวิว”
“เฮียหิวไหมครับ” ครั้นจะตัดสินใจอะไรก็ถามอีกฝ่ายก่อน
“ยังไม่ค่อยหิว น่านหิวหรือเปล่า เฮียหาร้านอาหารไว้แล้วถ้าหิวเฮียจะพาไป”
เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “น่านอยากเดินเล่นก่อนได้ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นส่งรองเท้ามาเฮียจะถือให้ ไม่อยากนั้นมันจะเปียกเอา”
ดวงตากลมเบิกกว้างส่ายหน้าไปมาพัลวัน จะให้คนพี่ถือรองเท้าให้ได้ยังไงกัน นี่มันของของเขาเขาควรถือมันเอาไว้เอง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวน่านจะระวังไม่ให้มันเปียก”
“เอามาเถอะ น่านจะได้เดินเล่นอย่างสะดวก”
คินทร์ไม่รอให้น่านน้ำได้ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง แย่งรองเท้าในมือเล็กมาถือไว้ให้เสียเอง
“ขะ ขอบคุณครับ” เมื่อรู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ก็รีบค้อมหัวขอบคุณ พร้อมกับได้รอยยิ้มคุ้นตากลับมา
“เดินไปสิครับ”
เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินเลียบไปตามชายหาด เมื่อครู่อาจจะยังเกร็งทว่าเมื่อผ่านไปสักพัก บรรยากาศและธรรมชาติรอบตัวทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น เดินไปทางนั้นทีทางนี้ที เท้าเล็กหยุดนิ่งรอให้คลื่นซัดกระทบโดนพลางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวเบา ๆ อย่างชอบใจ
ร่างสูงเดินตามไม่ใกล้ไม่ไกล มองน่านน้ำไม่ละสายตาทั้งยังยกยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ครั้งแรกจริง ๆ ที่เขาได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้จากน่านน้ำ มันดูมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเขาเห็นเพียงดวงตาเศร้าสร้อย และใบหน้าหม่นหมอง คล้ายกับคนที่แบกเรื่องราวเจ็บปวดในใจมากมาย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คงจะเป็นอย่างนั้น
รู้สึกว่าการยืนมองน่านน้ำไปเรื่อยมันเพลินตามากจริง ๆ รู้ตัวอีกทีก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็กระหน่ำเต้นขึ้นมาจนคินทร์ต้องตั้งสติเบือนหน้าไปมองทางอื่น
ไม่ได้.. เขาจะมีความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้..
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ