หลังจากเดินเล่นมาเกือบครึ่งชั่วโมง น่านน้ำก็เลือกที่จะขับรถเล่นต่อ โดยที่ตัวเองเป็นคนซ้อนและคินทร์เป็นคนขับ สองข้างทางเป็นต้นไม้และพื้นหญ้าเนื่องจากเป็นภูเขา
ก่อนจะขับมาจอดที่จุดชมวิว ครั้นมองไปข้างหน้าจะเห็นทะเลกว้าง และหาดทรายที่ตัวเองเดินเล่นก่อนหน้านี้
“ไปนั่งตรงนั้นได้ไหมครับ” นิ้วเรียวชี้ไปที่พื้นหญ้าตรงเนิน พลางหันมาทำตาเป็นประกาย
“ครับ” แแล้วคินทร์จะปฏิเสธได้อย่างไร
บนภูเขาหญ้าเป็นจุดชมวิวที่เห็นทิวทัศน์ทะเลได้กว้างที่สุด ลมพัดโชยมาเป็นระลอกสม่ำเสมอ เด็กหนุ่มนั่งมองไปยังเบื้องหน้าเงียบ ๆ เช่นเดียวกับคินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
เวลาผ่านมาหลายนาทีน่านน้ำยังไม่คิดจะลุกออกไปจากตรงนี้ เขาไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้มานานมากแล้ว
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เฮียอยากแก้ไขเรื่องอะไรในอดีตหรือเปล่าครับ”
จู่ ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย น่านน้ำเพียงรอฟังคำตอบโดยที่ไม่หันมามอง คินทร์ถอนหายใจเล็กน้อย พลางครุ่นคิดคำตอบในสิ่งที่อีกคนถาม
“อืม.. ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เฮียก็คงจะให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เพราะมันคือบทเรียนที่ทำให้เฮียโตขึ้นเป็นเฮียในทุกวันนี้ หากทุกอย่างสมบูรณ์ไปซะหมดมันก็คงไม่ใช่ชีวิต”
มีหลาย ๆ อย่างที่เขาเคยทำผิดไป ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจล้วนแล้วแต่เป็นบทเรียนสอนให้เขาเติบโตขึ้น พัฒนาตนเองไม่ให้ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม หากไม่ผ่านสิ่งนั้นมาเขาก็อาจจะทำผิดในสักวัน เพราะฉะนั้นคินทร์ไม่คิดที่จะแก้ไขเรื่องราวในอดีตแม้จะย้อนเวลากลับไปได้
ทว่ากลับกันน่านน้ำไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาอยากที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดี
“ดีจังเลยครับ.. เพราะถ้าเป็นน่าน น่านคงจะแก้ไขทุกอย่างให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด หากย้อนเวลากลับไปได้น่านจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่กับน่าน”
“ไม่มีชีวิตของใครสมบูรณ์แบบที่สุดหรอก”
น่านน้ำยังต้องเรียนรู้ชีวิตบนโลกนี้อีกเยอะแยะมากมาย การเติบโตขึ้นในแต่ละวัน เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะช่วยขัดเกลาและสั่งสอนให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้น
“ที่ผ่านมาน่านเคยคิดว่าน่านอยู่คนเดียวได้.. แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าน่านอยากอยู่คนเดียว” เป็นครั้งแรกที่เขาพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่รู้เพราะบรรยากาศพาไป หรือเพราะเขาไม่อึดอัดใจที่จะเล่าเรื่องราวให้อีกคนฟัง “น่านคิดถึงตอนที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ คิดถึงตอนที่ตัวเองมีความสุข”
“เฮียเข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มอ่อนนุ่มเอ่ยพูดพลางวางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่มข้างกาย ดวงตากลมเอ่อคลอน้ำตาเมื่อพูดถึงบิดามารดาที่เสีย “ต่อไปนี้เฮียจะไม่ปล่อยให้น่านต้องอยู่คนเดียว แม้ว่าจะแทนที่คุณพ่อคุณแม่น่านไม่ได้ แต่เฮียขอสัญญาว่าเฮียจะทำทุกอย่างเพื่อให้น่านกลับมามีความสุข”
“…”
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าน่านเก่งมากที่ผ่านมันมาได้ด้วยตัวคนเดียว”
“…”
“ตอนนี้น่านมีเฮียแล้ว เฮียจะพาน่านก้าวผ่านทุก ๆ อย่างไปเอง”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ กำแพงที่ก่อสูงพังทลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ คำพูดของคินทร์ทำให้เขาเชื่อได้โดยไม่มีข้อแม้ ความจริงใจที่สื่อผ่านทางสายตา น้ำเสียงอ่อนโยน และสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นที่เช็ดหยดน้ำตาให้ ทำให้น่านน้ำรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียว แต่ยังมีใครอีกคนที่พร้อมจะอยู่ข้าง ๆ
ชีวิตลูกคนเดียวอย่างเขาพอได้สัมผัสกับคำว่าพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง..
คินทร์ยกยิ้มให้ก่อนจะโคลงศีรษะทุยเบา ๆ เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้อีกคนเศร้าไปมากกว่านี้
“ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เสร็จแล้วจะได้มีเวลาเดินเล่นก่อนกลับฝั่ง”
“ครับ”
.
.
หลังจากเที่ยวเล่นบนเกาะมาครึ่งวันก็ถึงเวลาต้องกลับฝั่ง เพราะไม่ได้เตรียมตัวจะมาค้างคืนที่นี่ อีกอย่างเขาไม่ได้บอกพ่อกับแม่ไว้ก่อน เกรงว่าทานกลับมาไม่เจอคงจะเป็นห่วง
ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงฝั่งโดยสวัสดิภาพ หากเดินทางกลับกรุงเทพฯ คงใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตอนนี้หกโมงเย็นแล้วคาดว่าถึงบ้านคงจะค่ำพอดี
ระหว่างที่คินทร์กำลังจะพาน่านน้ำเดินกลับมาที่รถ ทว่าฝนกลับตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว แม้ก่อนหน้านี้จะตั้งเค้ามืดจนพอสังเกตได้ คิดว่าคงจะไม่ตกสุดท้ายก็เดาผิด
“เฮียว่าเราคงต้องวิ่ง—”
ในตอนแรกคินทร์กำลังมองไปรอบ ๆ เพื่อคาดการณ์ว่าฝนมีท่าทีจะซาหรือเปล่า แต่ดูแล้วคงไม่ หากยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปก็คงเปียกสู้วิ่งไปให้ถึงรถเลยก็คงจะค่าเท่ากัน
แต่ทว่าเมื่อหันกลับมาหาเด็กที่ยืนอยู่ด้านหลังคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
น่านน้ำทรุดตัวลงนั่งยองปิดหูตัวเองแน่น เนื้อตัวสั่นเทาคล้ายกับคนหวาดกลัว แม้ไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาจากปาก แต่น้ำตากลับเอ่อนองหน้า
“น่าน..” ร่างสูงย่อตัวลงตรงหน้าน่านน้ำ จับไหล่ทั้งสองข้างเพื่อเรียกคนที่คล้ายจะไม่มีสติ “น่านเป็นอะไร”
“ฮึก!” เปลือกตาสีมุกข่มลงปิดตาแน่น ภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาในหัวเป็นฉาก ๆ รู้สึกเจ็บจุกในอก ปั่นป่วนในท้องจนอยากจะอ้วก
“น่านครับ.. น่านน้ำมองหน้าเฮีย” คินทร์พร่ำพูดให้อีกฝ่ายตั้งสติ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล “ไปที่รถกันนะ แค่นิดเดียวเฮียจะพาน่านไปเอง”
ร่างสูงถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกคลุมหัวให้กับคนน้องโดยที่ท่อนบนของตัวเองเหลือแค่เสื้อกล้ามสีขาวตัวเดียว
เมื่อเห็นสภาพน่านน้ำแล้วคงลุกขึ้นเดินไม่ไหว จึงถือวิสาสะอุ้มร่างเล็กไว้ชิดอก วิ่งไปที่รถโดยเร็วที่สุด
คินทร์วางน่านน้ำลงบนเบาะรีบปิดประตูก่อนจะอ้อมไปขึ้นรถ เขาพอจะดูออกว่าอาการตอนนี้ของน่านน้ำเป็นอะไร ซึ่งไม่ค่อยสู้ดีนัก เจ้าของรถหยิบหูฟังราคาแพงที่มีติดรถออกมาใส่ให้กับน้อง เปิดเพลงจากมือถือให้ดังพอที่จะกลบเสียงฝนด้านนอก
ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมเปียกชื้นแผ่วเบา ทั้งยังเกลี่ยนิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกให้ ทำอยู่แบบนี้ซ้ำ ๆ จนร่างเล็กเริ่มดีขึ้น เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อครู่กลับมาเกือบปกติ มีเพียงเสียงหอบหายใจคล้ายคนกลั้นหายใจมานาน
ทั้งสองคนอยู่ในรถด้วยกันจนฝนเริ่มซ่า ท้องฟ้ามืดดำปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ มีเพียงแสงไฟจากเสาต้นสูงที่ช่วยส่องสว่างให้พอเห็นรอบ ๆ อยู่บ้าง
น่านน้ำช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือเย็นสัมผัสแก้มเนียนแผ่วเบาราวกับปลอบโยนเขาถึงที่สุด ความเป็นห่วงส่งผ่านสายตามาอย่างชัดเจน ก่อนจะได้ยินคำพูดจากคนตรงหน้าในจังหวะที่เพลงหยุดพอดิบพอดี
“ไม่เป็นไรนะ.. ไม่เป็นไร เฮียอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
ดวงตากลมโตจ้องมองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา เอียงหน้าซบฝ่ามือเฮียคินทร์ ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกระลอก
จนเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีร่างเล็กก็หลับไป คินทร์เอี้ยวตัวไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กบริเวณเบาะหลังมาคลุมตัวให้น้อง ทั้งยังเบาแอร์ลงเพราะเกรงว่าคงจะหนาว
ตลอดทางมีฝนตกไม่ขาดสาย หนักบ้างเบาบ้าง คินทร์เลยโทรบอกที่บ้านว่าคงนอนค้างที่นี่สักคืน หากให้ขับรถกลับไปเขาก็ไม่อยากจะเสี่ยง ถ้าระหว่างทางฝนตกหนักอีกกลัวน่านน้ำจะเป็นอย่างเช่นก่อนหน้านี้
สุดท้ายขับรถหาโรงแรมที่ยังมีห้องว่างเหลืออยู่ เขาไม่ปลุกให้น่านน้ำตื่น แต่เลือกที่จะอุ้มขึ้นไปบนห้อง ปล่อยให้ได้นอนพัก ดีที่โรงแรมมีชุดนอนให้ คินทร์ถือวิสาสะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น่านน้ำเพราะกลัวจะเป็นหวัดหากปล่อยให้นอนทั้งที่ชุดยังเปียกอยู่แบบนี้
ทั้งยังหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังและเบาที่สุด ไม่อยากรบกวนน่านน้ำไปมากกว่านี้ ววันนี้คงจะเพลียมาแล้ว
จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้ ก่อนจะปิดไฟพลางเดินไปนอนอีกเตียง ยังดีหน่อยที่ได้ห้องเตียงคู่มาอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปนอนเบียดคนน้อง
…
แสงแดดลอดผ่านม่านหน้าต่างยามเช้า ปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้เมื่อวานนี้ส่งผลให้รู้สึกปวดจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอครับน่าน เป็นยังไงบ้างปวดหัวไหม?”
เมื่อคืนนี้หลังจากหลับไปได้สักพัก เสียงพึมพำดังขึ้นเป็นระยะ คินทร์เปิดไฟข้าง ๆ เตียงถึงได้รู้ว่าน่านน้ำนอนละเมอร้องไห้ ทั้งยังมีพิษไข้อ่อน ๆ
จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ขึ้นไปนอนเบียดสุดท้ายต้องไปนอนกอดปลอบเด็กขวัญเสียเอาไว้ทั้งคืน
“นิดหน่อยครับ”
“ลุกไปล้างหน้าล้างตาไหวหรือเปล่า เฮียซื้อข้าวซื้อยามาให้กินสักหน่อยแล้วเราจะได้เดินทางกลับกัน”
“ไหวครับ”
เอ่ยตอบก่อนจะพยายามตั้งสติหย่อนขาลงจากเตียงเพื่อเข้าห้องน้ำ โดยมีสายตาของคินทร์คอยมองอยู่ตลอด
ใช้เวลาจัดการตัวเองครู่หนึ่งก็ออกมานั่งที่โต๊ะเล็ก ๆ มุมห้อง ทานข้าวทานยาที่คนพี่เตรียมไว้ให้
หลังกินข้าวเสร็จคินทร์รอให้น่านน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา ก่อนจะพากันลงไปที่รถ
“ถ้ายังง่วงจะนอนต่อก็ได้นะ ถึงบ้านแล้วเฮียค่อยเรียก”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอนศีรษะพิงเบา อีกทั้งเจ้าของรถยังปรับเบาะให้เอนไปเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นน่านน้ำก็หลับไปเป็นที่เรียบร้อย อาจเป็นเพราะพิษไข้ทำให้รู้สึกเพลีย คินทร์ชำเลืองมองอยู่เป็นระยะคอยสังเกตอาการ จนถึงบ้านตอนเที่ยงตรงพอดี
น่านน้ำตื่นขึ้นมาก็ถูกคีนจู่โจมเข้ามากอดด้วยความเคยชิน ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวและผิวเนื้อร้อน พลันใบหน้าฉายแววเป็นห่วงขึ้นชัดเจน
“พี่น่านไม่สบายเหรอ?” เสียงเพิ่งแตกหนุ่มเอ่ยถามพร้อมอังมือไปที่หน้าผากคนพี่
“ใช่ น่านน้ำไม่ค่อยสบายคีนปล่อยให้พี่เขาไปพักได้แล้ว”
“เดี๋ยวคีนดูแลเอง”
น่านน้ำไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สำหรับสองพี่น้องมองเห็นเขาอายุเท่าไร ถึงทำเหมือนเขาดูแลตัวเองไม่ได้ คอยประคบประหงมอย่างดี
“พาน่านขึ้นห้องไปก่อน เฮียจะเอายาไปให้”
คนที่เหมือนไม่สนใจใครกลับเสนอตัวขึ้นหลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน เคนไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่เดินไปหยิบยาในตู้ยาสามัญ เช่นเดียวกับคีนที่คอยประคองร่างคนพี่ที่ตัวเล็กกว่าขึ้นห้อง
คินทร์ไม่ได้ขัดความตั้งใจของน้องชาย เห็นทั้งสองคนดูแลเอาใจใส่น่านน้ำก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยคงทำให้น่านน้ำมั่นใจขึ้นมาได้อีกสักนิดว่าไม่ได้ตัวคนเดียว
ร่างสูงกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วถึงได้เดินไปห้องน่านน้ำ เคนยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมองน้องเล็กเช็ดตัวให้คนป่วยหลังกินยาน่านน้ำก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“เฮียไม่ต้องไปทำงานหรือไง” เคนเอ่ยถามพี่ชายที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ตนเอง
“พรุ่งนี้ถึงจะไป”
รังสรรค์เห็นว่านาน ๆ ทีคินทร์จะได้ไปพักผ่อนจึงให้หยุดเพิ่มอีกวัน เพราะก่อนหน้านี้ลูกชายคนโตเพิ่งปิดไปดูกิจการของลูกค้าที่ต่างประเทศมาหลายวัน
เคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปก่อน”
ไม่รอให้อีกคนพูดอะไรต่อก็เดินออกไปเลย ชินเสียแล้วกับท่าทางนิ่ง ๆ ของน้องชายคนนี้
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ