เสิ่นชิงซูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในปีที่เธออายุสามสิบปี เธอจะกลายเป็นเป้าหมายอันดับแรกของบรรดาผู้ชายที่มาจากต่างเมืองแล้วอยากจะยกระดับตัวเอง หรือไม่ก็พวกผู้ชายที่คิดจะเกาะผู้หญิงกินไปแล้วในตอนนี้ เธอออกมาสูดอากาศที่ระเบียงข้างนอกตามลำพังจั๋วเหยียนชิงเดินออกมา ในมือถือเค้กครีมก้อนหนึ่งเขาไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ในวงการบันเทิงแล้ว เขาเดบิวต์มาสามปี เคยรับบทพระเอกในละครย้อนยุคแนวไอดอลมาสองสามเรื่อง แต่ก็ไม่ค่อยมีกระแส ตลอดสามปีมานี้จึงอยู่ในสถานะที่ไม่ดังไม่ดับ จนถึงปีนี้ เขาก็ถูกบริษัทลดบทบาทลงไปโดยสิ้นเชิงแล้วงานเลี้ยงคืนนี้เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะแฝงตัวเข้ามา ก็เพื่อที่จะสร้างตัวตนให้เป็นที่จดจำต่อหน้าเสิ่นชิงซู“ประธานเสิ่นครับ นี่เค้กครีมมัตจะ ผมจำได้ว่าคุณชอบกินอันนี้”น้ำเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายดังขึ้นจากข้างหลัง เสิ่นชิงซูจึงหันกลับไปเธอปรายตามองเค้กมัตจะที่ยื่นมาตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองจั๋วเหยียนชิงผู้ชายตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาและส่วนสูงที่จัดว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการบันเทิง เขามีดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักลึกซึ้ง เหมาะกับการรับบทพระรองผู้แสนดีเป็นอย่า
พอเสิ่นชิงซูหันกลับไปมอง เงาร่างนั้นก็หายไปแล้วบางที เธออาจจะตาฝาดไปเธอละสายตากลับมา แล้วหันหลังเดินไปยังโซนสัมภาษณ์เสิ่นชิงซูกับเจียงหมี่รั่วถูกจัดให้สัมภาษณ์พร้อมกันมีนักข่าวตั้งคำถาม“ประธานเสิ่นครับ ได้ยินมาว่าหลังปีใหม่คุณเจียงจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ไม่ทราบว่าคุณสนับสนุนเธอเป็นการส่วนตัวเลยหรือเปล่าครับ?”“ค่ะ” เสิ่นชิงซูเผชิญหน้ากับกล้องอย่างสง่างาม ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบ “การที่ผู้หญิงได้เรียนหนังสือเยอะ ๆ เป็นเรื่องที่ดีค่ะ”“แต่ว่าคุณเจียงเพิ่งจะได้รับรางวัลราชินีภาพยนตร์ แต่ตอนนี้กลับจะพักงานในวงการเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณไม่รู้สึกเสียดายบ้างเหรอครับ?”เสิ่นชิงซูยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “รั่วหมี่ยังเด็กค่ะ เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีและขยันมาก ฉันเชื่อว่าไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหน รั่วหมี่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมค่ะ”นักข่าวถามต่อ “แต่ว่าฮ่วนซิงได้มอบทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมให้คุณเจียง ตอนนี้คุณเจียงก็เพิ่งจะดังขึ้นมา แต่กลับเลือกที่จะไปเรียนต่อในช่วงเวลานี้ แบบนี้ฮ่วนซิงก็ขาดทุนแย่สิครับ?”เสิ่นชิงซูมองไปยังนักข่าวชายที่ตั้งคำถาม เธอยังคงยิ้มอยู่ เพียงแต่รอยยิ้ม
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นชิงซูก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยหิมะตกอีกแล้ว เกล็ดหิมะที่นุ่มฟูราวปุยนุ่นโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า“เสี่ยวเนี่ยนอันชอบหิมะตกมากเหรอ?”“พ่อเคยสัญญากับผมไว้ครับ” เสียงของเสี่ยวเนี่ยนอันแผ่วเบามาก “พ่อบอกว่าพอถึงฤดูหนาวที่หิมะตก พ่อจะพาผมไปปั้นตุ๊กตาหิมะ เล่นปาหิมะด้วยกัน”เสิ่นชิงซูชะงักไป“แม่ครับ” เสี่ยวเนี่ยนอันหันมามองเสิ่นชิงซู “พ่อจะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”เสิ่นชิงซูมองดวงตาสีดำขลับของลูกชาย ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีหัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกำเอาไว้แน่นเธอรู้ว่าเสี่ยวเนี่ยนอันเป็นเด็กที่อ่อนไหว เขาคงจะสัมผัสได้ว่าฟู่ซือเหยียนไม่อยู่แล้วเสี่ยวเนี่ยนอันพูด “จริง ๆ แล้วผมรู้ว่าพ่อป่วยครับ พ่อบอกว่าจะไปหาเงินที่ต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้วพ่ออยากจะไปรักษาตัวต่างหาก พ่อก็เลยส่งผมมาอยู่กับแม่”ปลายจมูกของเสิ่นชิงซูแสบร้อนขึ้นมา “หนูรู้ได้ยังไง? พ่อบอกหนูเหรอ?”เสี่ยวเนี่ยนอันส่ายหน้า “ตอนกลางคืนพ่อลุกขึ้นมาไอบ่อย ๆ อาฉินก็มาหาบ่อย ๆ ทุกครั้งจะถือกล่องยามาด้วย แม่ครับ พวกเขาไม่ต้องบอกผมหรอกครับ ผมรู้ว่าพ่อป่วย”เสิ่นชิงซูอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ดึ
“ไม่ค่ะ” น้ำเสียงของเสิ่นชิงซูสงบนิ่ง “การที่หนูจะหาใครหรือไม่หาใคร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาค่ะ”ไป๋เจี้ยนเหวินมองเธอ พยายามหาร่องรอยของการโกหกจากใบหน้าของเธอแต่ก็ไม่มีเสิ่นชิงซูสงบนิ่งมากไป๋เจี้ยนเหวินถอนหายใจ “แต่ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ฉันกับพ่อบุญธรรมของเธอก็ต้องเป็นห่วงสิ กังวลว่าเธอจะจมอยู่กับการจากไปของฟู่ซือเหยียนจนปล่อยวางไม่ได้”“แม่บุญธรรมคะ ต่อให้ตอนนี้ฟู่ซือเหยียนยังมีชีวิตอยู่ หนูก็ไม่มีวันคืนดีกับเขาค่ะ” เสิ่นชิงซูจ้องมองของเหลวในแก้ว “เพียงแต่ เขาตายไปแล้ว ในใจของหนูก็อดเสียดายไม่ได้อยู่บ้าง แต่มันไม่เกี่ยวกับความรัก แค่รู้สึกว่าเขาไม่ควรจะจากไปแบบนี้...”“อาซู จริง ๆ แล้วการที่เธอรู้สึกเสียดายมันก็เป็นเรื่องปกตินะ ไม่ต้องพูดถึงเธอเลย ขนาดฉันตอนนี้พอนึกถึงฟู่ซือเหยียน แล้วมองไปที่เด็กสองคนนั้น ในใจฉันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกอยู่เสมอ”“แต่หนูไม่ได้กำลังไว้ทุกข์ให้ฟู่ซือเหยียน แค่เสียดายค่ะ” เสิ่นชิงซูก้มหน้าลงมองไวน์แดงในแก้ว “แต่ความเสียดายนี้ไม่เกี่ยวกับความรัก ส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกน่าเสียดายมากกว่า ชีวิตแต่งงานเก้าปีระหว่างหนูกับเขาจริง ๆ แล้วก็ไม่ไ
ครอบครัวที่บ้านอวิ๋นกุยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศคึกคักเสมอ แต่ในใจของไป๋เจี้ยนเหวินก็ยังคงเป็นห่วงเสิ่นชิงซูอยู่ตลอดเวลาถึงแม้เธอจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเสิ่นชิงซู แต่ตอนนี้เธอกลับเป็นห่วงชีวิตครึ่งหลังของเสิ่นชิงซูมากกว่าเจียงเยว่หลานเสียอีกตอนนี้เจียงเยว่หลานมีนิสัยเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เธอพึ่งพาเสิ่นชิงซูเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะความทรงจำยังไม่ฟื้นคืนกลับมาเท่าไหร่ สภาพจิตใจของเธอยังคงดูเด็กไปหน่อย สำหรับเสิ่นชิงซูซึ่งเป็นลูกสาวที่กลายเป็นแม่คนแล้ว เธอกลับไม่ได้เป็นห่วงเลยดึกแล้ว ทุกคนทยอยกลับเข้าห้องไปพักผ่อนเสิ่นชิงซูกล่อมลูก ๆ ทั้งสองคนจนหลับไปประตูห้องถูกเคาะเบา ๆเสิ่นชิงซูลุกขึ้นไปเปิดประตูไป๋เจี้ยนเหวินยืนมองเธออยู่หน้าประตูแล้วถามด้วยเสียงกระซิบ “เด็ก ๆ หลับกันหมดแล้วใช่ไหม?”“เพิ่งหลับไปค่ะ” เสิ่นชิงซูเดินออกมา ควงแขนไป๋เจี้ยนเหวิน “แม่บุญธรรมคะ แม่นอนไม่หลับเหรอคะ?”ไป๋เจี้ยนเหวินมองเธอด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความรัก “ไม่ได้เจอเธอนานมากแล้ว อยากเปิดใจคุยกับเธอหน่อย”น้ำเสียงของเสิ่นชิงซูอ่อนโยน “งั้นเรามาดื่มกันหน่อยดีไหมคะ?”ไป๋เจี้ยนเหวินดื่มไ
ในสนามบิน เสิ่นชิงซูรับผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไป๋เจี้ยนเหวินพินิจมองเสิ่นชิงซู “ดูหน้าซีด ๆ ของเธอนี่สิ ไม่ได้พักผ่อนกินข้าวดี ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”เสิ่นชิงซูทำหน้าจนใจ “แม่บุญธรรมคะ เป็นเพราะอากาศหนาวต่างหากค่ะ”“ฉันว่าเธอผอมลงนะ เดี๋ยวนี้ยุ่งกับงานก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉันได้ยินเสี่ยวเวินบอกว่า สัปดาห์ที่แล้วเธอยังไปเปิดสตูดิโอวาดภาพอีก เธอต้องบริหารบริษัท ต้องดูแลสตูดิโอ ตอนนี้ยังมีสตูดิโอวาดภาพเพิ่มมาอีก อาซู ตอนนี้เธอก็ไม่ได้ขาดเงินใช้ ทำไมต้องทุ่มเทขนาดนี้ด้วย!”“เสี่ยวเวินก็ชอบพูดใส่สีตีไข่ไปเรื่อยค่ะ” เสิ่นชิงซูควงแขนไป๋เจี้ยนเหวินพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม่บุญธรรมคะ ตอนนี้สิ่งที่หนูทำอยู่ล้วนเป็นสิ่งที่หนูชอบ หนูใช้ชีวิตทุกวันอย่างเต็มที่ เป็นชีวิตในแบบที่หนูต้องการ นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอคะ?”ไป๋เจี้ยนเหวินเถียงสู้เธอไม่ได้ ทำได้เพียงย้ำแล้วย้ำอีก “ทำงานและพักผ่อนให้สมดุลนะ อย่าทำงานหนักจนร่างกายที่อุตส่าห์ฟื้นฟูมาอย่างดีตลอดสี่ปีที่เขตเมืองเก่าต้องมาทรุดอีก!”เสิ่นชิงซูยิ้มแล้วพยักหน้า “หนูรู้ลิมิตตัวเองค่ะ”พอกลับจากสนามบินมาถึงบ้านอวิ๋นกุย เข้ามาในบ้านปุ๊บ เสี่ยวอันหนิงก