LOGINเดินทางออกมาจากปักกิ่งไม่ไกลเท่าไหร่นักก็ถึงเมืองเทียนจิน ที่ไม่เจริญเท่าปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงแต่ก็พัฒนาจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกบ้างแล้ว รถจิ๊ปคันใหญ่แล่นออกจากตัวเมืองไปสู่ถนนลูกรังขรุขระ ฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายชวนให้เหนียวตัวไปหมด
นั่งรถต่อไปอีกสิบสี่กิโลเมตรก็ถึงหมู่บ้านทูวาซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนจากที่โล่งกว้างและทางเปลี่ยวมาเป็นหมูบ้านขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลายามเย็นแล้ว ควันไฟจากการปรุงอาหารลอยฟุ้งขึ้นเป็นจุด ๆ เพลงปลุกใจรักชาติดังมาจากวิทยุกระจายเสียงของพรรคในหมู่บ้านตามเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้
แสงไฟยามเย็นส่องสว่างตามบ้านและถนน ผู้คนที่เพิ่งกลับจากการทำงานในไร่เดินอยู่บนท้องถนนประปราย ยังมีจักรยานหลายคันที่เพิ่งกลับมาจากท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลอีกด้วย บ้านแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว บางหลังยังเป็นบ้านดินมุงฟางอยู่ด้วยซ้ำ อาคารพาณิชที่เป็นห้องแถวมีอยู่ไม่กี่หลัง
ชาวบ้านได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก็พากันยื่นหน้าออกมาดูด้วยความสนอกสนใจ พลันเห็นรถยนต์คนโตจากในเมืองก็ซุบซิบกันใหญ่
บ้านของซ่งหมิงอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวมีลานดินหน้าบ้าน แม้จะดูรกร้างเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแต่ก็สะอาดสะอ้าน ซ่งหมิงเล่าว่าบ้านหลังนี้มีเพียงเขา คุณยายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวเสียไปตั้งแต่หลายปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้งานที่บ้านตระกูลว่าน จึงไม่ได้กลับมาบ้านเดิมอีกเลย
คนขับรถรับจ้างบอกลาพวกเขา ก่อนจะเดินทางกลับ สองสามีภรรยาป้ายแดงพากันเดินเข้าบ้าน ข้าวของที่ส่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางกองอยู่ในมุมหนึ่ง บางส่วนด้านในมีร่องรอยการผุพัง แต่ก็สภาพดีกว่าที่คิดสำหรับบ้านร้างไร้คนอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของห้องนอนใหญ่ที่ถูกทำความสะอาดเป็นพิเศษและเตรียมเครื่องนอนไว้เรียบร้อยแล้ว
ซ่งหมิงบอกว่าคงเป็นลุงเหอกับป้าโจวที่มาช่วยดูแลบ้านให้เดือนละครั้งเป็นคนเตรียมไว้ให้ เพราะเขาส่งจดหมายมาบอกพวกเขาแล้วว่ากำลังจะกลับมาอยู่บ้านเดิม
“อาหมิง อาหมิง !” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซ่งหมิงและว่านอันอันที่เพิ่งสำรวจบ้านเสร็จจึงเดินออกไปดู
เป็นชายอายุประมาณห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งยืนคู่กับผู้หญิงที่น่าจะเป็นภรรยาสวมเสื้อกั๊กสำลีบุนวมบาง ๆ เพราะแถบนี้มักมีลมหนาวหลงฤดูพัดมาบ่อย ๆ อากาศตอนใกล้ค่ำของช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้จึงค่อนข้างเย็น
“ลุงเหอ ป้าโจว” ซ่งหมิงกล่าวทักทายด้วยความสุภาพยิ้มแย้ม ว่านอันอันเองก็ทักทายตามสามี
“ไม่เจอกันนานโตขึ้นเยอะจริง ๆ เลยนะ ยังรู้จักพาเมียสวย ๆ กลับบ้านเราแล้ว ฮ่า ๆ”
“แล้วนี่ดูบ้านแล้วเป็นยังไงบ้างจ้ะ พอจะนอนได้ไหม ถ้าอยู่ไม่ไหวมาพักที่บ้านพวกเราก่อนได้นะ” ป้าโจวเสนออย่างใจดี
ซ่งหมิงหันมองบ้านผุ ๆ ของตนเองแล้วตัดสินใจ
“สำหรับผมสบายมากครับ แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากผมก็ขอฝากภรรยาไว้ที่บ้านป้าโจวสักคืนหนึ่งได้ไหมครับ”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบตกลง ว่านอันอันก็จับมือเขาบีบแน่นส่งยิ้มไม่ถึงดวงตาให้เสียก่อน
“หมายความว่าไงคะสามี เข้าหอคืนแรกก็จะโยนฉันไปนอกห้องแล้วเหรอ ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่รอยรั่วในบ้านมีมาก ผมกลัวว่าคุณจะหนาว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะซ่อมบ้านให้เรียบร้อยแล้วรีบไปรับคุณกลับมานะครับ”
“ไม่เอา ฉันจะอยู่ที่นี่ด้วย”
“แต่ว่า...”
“เอ๊ะ !” ว่านอันอันส่งเสียงขัดถลึงตาใส่จนซ่งหมิงไม่กล้าเถียงต่อ ในใจแอบสงบลงเล็กน้อย
นี่สิถึงจะคล้ายคุณหนูอันอันที่เขารู้จัก อาการสงบเสงี่ยมนิ่งเฉยราวคนผ่านเรื่องราวมามากมายตลอดเวลาที่เดินทางมาทำเขาไม่ชินเอาเสียเลย
“เอาหน่า ๆ เมียแกก็แค่อยากนอนกับแก จะเป็นอะไรไปเล่าอาหมิง เป็นคนหนุ่มสาวกอดกันไปกอดกันมาเดี๋ยวก็ไม่หนาวแล้วล่ะ” ป้าโจวพูดล้อเลียนจนสองหนุ่มสาวหน้าร้อนผ่าว ลุงเหอหัวเราะตามก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน
“ที่มานี่ก็จะชวนไปกินข้าว เย็นย่ำขนาดนี้แล้วไปหาของกินที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะ วันนี้ก็ไปกินข้าวเย็นกับพวกลุงก่อนเถอะ”
“แล้วไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันนะ ยายซ่งน่ะเป็นผู้มีพระคุณของพวกฉัน ก่อนจะเสียฝากฝังอาหมิงไว้มากมาย รีบเก็บของแล้วตามไปที่บ้านเร็ว ๆ ล่ะ”
ไม่รอฟังคำตอบสองสามีภรรยาเพื่อนบ้านก็เดินจากไปแล้ว ซ่งหมิงและว่านอันอันจึงกลับไปสวมเสื้อคลุมกันลมเพิ่มอีกชั้นก่อนจะไปที่บ้านเหอ อาหารสี่อย่างถูกเตรียมไว้ต้อนรับ มีทั้งหมูผัดพริก น้ำแกงหัวไชเท้า ผักดองและหมันโถวขาว
ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง นี่เป็นมื้ออาหารที่ทำให้ว่านอันอันรู้สึกอิ่มเอมที่สุด น้ำแกงจืด ๆ รสชาติธรรมดากลับอุ่นวาบไปยังกระเพาะและหัวใจของเธอ เป็นมื้อแรกที่ไม่สะดวกสบายแต่กลับโอบล้อมไปด้วยความสบายใจ
และเป็นมื้อแรกที่เธอและซ่งหมิงได้ทานอาหารด้วยกัน
“เอาสิ !! แน่จริงก็ไปฟ้องเลย ถ้าพวกเราทั้งหมู่บ้านร่วมมือกันให้ปากคำกับทางการไปในทางเดียวกัน ว่าพวกแกเข้ามาข่มขู่รีดไถชาวบ้าน คอยดูซิ ใครมันจะเป็นฝ่ายชนะ !!”คำพูดจากเถ้าแก่เนี้ยว่านทำให้ชาวบ้านเบื้องหลังที่แอบหวั่นใจตาสว่าง มีความมั่นใจขึ้นมาแปดส่วนเลยทีเดียว“ออกไปจากหมู่บ้านเรา !!”“ออกไปคนน่ารังเกียจ !”“ออกไป !“ออกไป !”เสียงร้องโห่ไล่ทำให้สองสามีภรรยาเริ่มมีสีหน้าเหมือนกลืนยาขม“ไหนใครรังแกเถ้าแก่เนี้ย !!!” เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนร้องดังจากชายฉกรรจ์มากมายดังมาทางนี้เป็นเหล่าช่างไม้จากซานเหอมู่เย่พากันเคลื่อนทัพมา แต่ละคนผูกผ้าโพกหัว ถือไม้มาคนละท่อนราวจะออกรบ“พวกเรามาแล้วค่ะ !!”เหล่าพนักงานโรงงานเย็บผ้าและโรงงานขนมถั่วก็พากันมา ดูไกล ๆ เหมือนจะมีคนถือเข็มกับตะกร้าใส่ถั่วมาด้วย อืม... อาวุธครบมือจริง ๆภาพนี่ทำให้ว่านอันอันอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แนะนำด้วยความจริงใจ ถ้าพวกเธอสองคนยังไม่ไปอีก ตายอยู่ที่นี่ไม่มีใครเอาศพไปส่งเมืองหลวงนะ” ท่าทางยิ้มยียวนของว่านอันอันทำให้อีกฝ่ายโกรธจนควันออกหู
“ถ้าที่นั่นดีขนาดนั้น แล้วจะถ่อมาเสนอหน้าถึงที่นี่ทำไมล่ะคุณนายเย่”ว่านอันอันกอดอกก้าวมาเผชิญศัตรู ตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน“ว่านอันอัน !” อีกฝ่ายแผดเสียงเกรี้ยวกราดควบคุมอารมณ์ไม่ได้“ฉันรู้จักชื่อตัวเองดี ไม่ต้องเรียก ทางที่ดีมาทางไหนพวกเธอกลับไปทางนั้นเลยดีกว่า ฉันไม่รับแขก”เย่ฟางตงเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงรั้งแขนว่านชิงชิงเอาไว้ข้างหลัง แล้วก้าวมาด้านหน้าเดินเข้าไปใกล้ว่านอันอันด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พยายามคลี่คลายความตึงเครียด“ใจเย็น ๆ ก่อนอันอัน พี่กับชิงชิงแค่มาเยี่ยมเฉย ๆ เห็นพวกเธอหายไปเลย ไม่กลับบ้านสักครั้ง คุณพ่อเองก็เป็นห่วง ฝากพวกเรามาช่วยถามไถ่”ว่านอันอันย้ายสายตากลับไปมองใบหน้าแสนคุ้นเคยที่อ่อนเยาว์กว่าในความทรงจำ ครั้งก่อนที่พบหน้าเป็นวันแรกที่เธอเพิ่งย้อนอดีตกลับมา มีเรื่องวุ่นวายในหัวไปหมดเลยไม่ทันได้รู้สึกอะไร แต่คราวนี้สีหน้าจอมปลอมของเย่ฟางตงกลับขุดความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตของเธอกลับขึ้นมาเสียได้‘อันอันกินนี่สิ ดีต่อผิวพรรณนะ’‘เธออยากได้กระเป๋านี่ไม่ใช่เหรอ พี
หลังจากอ้างว่าไม่ว่างมานาน ในที่สุดเย่ฟางตงก็พาว่านชิงชิงเดินทางมาไกลถึงหมู่บ้านทูวา แม้จะโดยสารมาด้วยรถยนต์นั่งสบายของสามีแต่ว่านชิงชิงก็บ่นไม่หยุดตลอดทาง ทำเอาเย่ฟางตงใกล้หมดความอดทนเต็มที“โอ๊ย ! เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย ร้อนก็ร้อน ยังโคลงเคลงไปมาอีก !”เสียงแหลม ๆ นั้นเหวี่ยงวีนหงุดหงิดเต็มที่“เธอเป็นคนร้องจะมาเองไม่ใช่หรือไง ?”“อะไร นี่พี่เย่จะโทษฉันเหรอ”“เฮ้อ”เมื่อเจอประโยคชวนทะเลาะน่ารำคาญอันดับหนึ่งเย่ฟางตงก็ยอมแพ้ ขับรถไปเงียบ ๆ ยิ่งมองใบหน้าของว่านชิงชิงยิ่งอารมณ์ไม่ดี ยาเสพติดที่เขาแอบใส่ในชามน้ำแกงให้ภรรยากินเกือบทุกวัน ทำให้คุณหนูผู้งดงามผิวแห้งกร้านมาก ใต้ตายังคล้ำดำ ริมฝีปากแห้งผากถึงขนาดที่ทาลิปสติกสีสดปกปิดแล้วก็ยังไม่น่ามองถึงจะเสียดายใบหน้าเดิมของว่านชิงชิงอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องทำเพื่อให้เธออยู่ในกำมือ ถึงเวลาใช้งานจะได้ควบคุมง่าย ๆ หน่อยเดินทางกันอยู่อีกนานทั้งสองก็มาถึงหมู่บ้านทูวาในช่วงบ่ายสามโมง รถยนต์หรูของคนแปลกหน้าที่แล่นเข้ามาในหมู่บ้านทำให้ใครต่อใครชี้ชวนมองตาม“นั่นรถใครน่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อน”
กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นเวลาก็ไหลไปจรดเย็น ร้านต้นไม้มาส่งของพอดี หลังถูกตกแต่งด้วยพืชใบเขียวร่มรื่นร้านฉาหยูเถียนก็ดูน่านั่งผ่อนคลายขึ้นมาทันที“อันอันครับ” เสียงทุ้มคุ้นของสามีทำให้ว่านอันอันหันไปมองด้วยรอยยิ้มกว้างซ่งหมิงมาพร้อมป้ายชื่อร้านสองป้าย พวกเขาช่วยกันแขวนแล้วคลุมผ้าสีแดงไว้ รอวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการหลังเสร็จสิ้นภารกิจวันนี้สองร่างใหญ่เล็กก็เดินเคียงข้างกันชมทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำ“เฮ้อ ยุ่งสุด ๆ ไปเลยค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่แทบไม่ได้พักหายใจดี ๆ“เหนื่อยไหมครับ” ซ่งหมิงโอบไหล่บางเกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงอย่างอ่อนโยน“ไม่เหนื่อยค่ะ สนุกมาก รู้สึกว่าการตัดสินใจออกจากเมืองปักกิ่งมาเป็นเรื่องถูกต้องที่สุดเลยค่ะ” เธอเอ่ยความในใจพร้อมรอยยิ้มหวาน“จริงสิ อันอันรู้หรือยังครับ งานเทศกาลฤดูร้อนปีนี้เพราะถนนย่านการค้าหลักมีสะพานถล่ม ทางรัฐจึงย้ายที่จัดมาเป็นถนนเส้นนี้” ซ่งหมิงนึกได้ถึงข่าวน่าตื่นเต้นก็รีบบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย“ประกาศแล้วเหรอคะ ?” ว่านอันอันตื่นเต้นตาม แม้จะรู้อยู่แล้ว
วันต่อมาว่านอันอันกับซ่งหมิงก็เริ่มงานแต่เช้า โดยงานแรกคือ... การให้อาหารเจ้าเสี่ยวฮวา แมวส้มตัวน้อยที่ตอนนี้กลายพันธุ์เป็นลูกหมูน้อยตัวกลมดิกไปแล้ว มันคลอเคลียเจ้าของอยู่นาน ร้องตามเหมียว ๆ ไม่หยุด จนว่านอันอันใจอ่อนพามันไปเดินเล่นที่โรงเย็บผ้าด้วยซ่งหมิงนั้นแยกไปโรงไม้เพื่อสั่งงานการสร้างโรงงานผลิตขนมหวานจากถั่วลิสงข้าง ๆ โรงงานตัดเย็บ ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ ที่หัวหน้าหมู่บ้านเสนอให้เอง เหล่าช่างไม้ที่ถนัดการก่อสร้างจึงรวมตัวกันแบกอุปกรณ์ข้าวของไปยังจุดก่อสร้างอย่างขยันขันแข็งสิ่งแรกที่ถูกสร้างคือเพิงเก็บถั่วลิสงขนาดใหญ่สามหลัง สำหรับถั่วลิสงที่จะเปิดรับซื้อวันนี้ งานก่อสร้างทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันว่านอันอันก็กำลังอธิบายชุดคอลเล็กชันแรกที่จะเปิดตัวในวันงานเทศกาลนี้กับทุกคน เธอคิดค้นรูปแบบที่เหมาะสมกับหน้าร้อนมาโดยเฉพาะ ซึ่งว่านอันอันตั้งใจว่าห้องเสื้อเสียนฮวานี้จะกลายเป็นยี่ห้อหรูที่คุณหญิงคุณนายจับตามองจุดเด่นของยี่ห้อคือดอกไม้แสนพิเศษที่มีจำกัด เธอตั้งใจจะใช้ดอกไม้แต่ละฤดูเป็นลวดลายเฉพาะเพื่อสื่อความหมาย และลวดลายบนผ้าพิมพ
“แล้วฉันจะทำมาหากินอะไรต่อได้ ฮือออ”“ไม่มีที่ทำงานแล้ว ไม่มีงานแล้ว ไม่มีเงินแล้ว ฮืออ”“แล้วลูกสาวฉันที่ป่วยอยู่จะเอาเงินที่ไหนไปรักษา”“ถั่วที่กองอยู่ในลานบ้านฉันมีมากเป็นภูเขา แบบนี้ทุนที่ปลูกไปจะเป็นยังไง !”“จบแล้ว ! จบสิ้นแล้ว ! โฮ !”บรรยากาศสิ้นหวังหดหู่เศร้าใจปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน หลินเฉินเองก็พลอยรู้สึกแก่ขึ้นไปสิบปีด้วยเหมือนกัน ในหัวไร้ทางออกได้แต่เดินปลอบใจถามไถ่ความเป็นอยู่ไปทีละหลัง เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังออกมาจนฟ้าแทบถล่ม บางคนจากความเศร้ากลายเป็นความโกรธ พากันหอบถั่วลิสงที่ปลูกมาไปเผาอยู่หน้าโรงงานตามขบวนประท้วงสุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุมตัวไป หัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับคำเตือนมาจึงรีบเรียกประชุมหมู่บ้านด่วน ว่านอันอันและซ่งหมิงเองก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน จึงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดหลังจากที่ทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน ผู้คนในหมู่บ้านทูวาก็เพิ่งสังเกตว่าในหมู่บ้านมีสมาชิกใหม่ ๆ เพิ่มมาเยอะมาก จนแทบล้นศาลาประชุม ผู้นำหมู่บ้านหลิวเห็นทุกคนมาเกือบครบแล้วก็เริ่มพูดขึ้น“เรื่องโรงงานน้ำมันถั่วในครั้งนี้เป็นเหตุร้ายค





![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

