LOGINภายในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของหยางเสวี่ยอิงที่ดังคลอเคล้ากับเสียงลมหวีดหวิวภายนอก แสงตะเกียงที่ริบหรี่สาดส่องลงบนวัตถุในกล่องไม้ สะท้อนประกายแวววาวจางๆ
“คุณหนูใหญ่ ของล้ำค่าเช่นนี้...” หลานจิงพึมพำออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง “ด้วยของเหล่านี้ พวกเรา… พวกเราไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ!”
ทว่าหยางเสวี่ยอิงกลับไม่ได้ยินคำพูดของบ่าวคนสนิทเลยแม้แต่น้อย สองตาของนางจับจ้องอยู่ที่ของในกล่องราวกับต้องมนตร์สะกด นางค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาไปหยิบกำไลหยกขาวคู่หนึ่งขึ้นมา สัมผัสเย็นเยียบของเนื้อหยกทำให้ความทรงจำในอดีตพลันไหลบ่าเข้ามา
“เจี่ยเจียจำได้” นางกล่าวเสียงเครือ “นี่เป็นกำไลที่ท่านแม่ชอบสวมที่สุด ยามที่ท่านแม่สอนเจี่ยเจียปักผ้า เสียงหยกกระทบกันเบาๆ ยังคงก้องอยู่ในหูของเจี่ยเจียอยู่เลย”
นางวางกำไลลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบตั๋วเงินไม่กี่ฉบับขึ้นมาดู น้ำตาก็รินไหลออกมาอีกครั้ง “ท่านแม่แอบเก็บเงินเหล่านี้ไว้ ท่านเคยบอกว่าเอาไปเป็นทุนรอนสำหรับวันออกเรือนของพวกเรา ท่านเตรียมทุกอย่างไว้ให้ แต่สุดท้าย...”
คำพูดของนางขาดหายไปกลายเป็นเสียงสะอื้นที่น่าเวทนา ความเจ็บปวดจากการสูญเสียและความขมขื่นในโชคชะตาถาโถมเข้าใส่นางอีกครั้ง
หยางจิ้งอวี่มองดูพี่สาวด้วยแววตาที่สงบนิ่ง นางไม่ได้เอ่ยคำปลอบใจใดๆ เพราะรู้ดีว่าในยามนี้คำพูดปลอบประโลมใดๆ ก็ล้วนไม่ช่วยอะไร นางจึงปล่อยให้พี่สาวได้ปลดปล่อยความเศร้าโศกที่อัดอั้นอยู่ภายในใจออกมาให้หมดสิ้น
ในที่สุด หยางเสวี่ยอิงก็หยิบของชิ้นสุดท้ายที่อยู่ก้นกล่องขึ้นมา มันคือปิ่นปักผมหยกเพียงอันเดียว
ทว่าทันทีที่ปิ่นปักผมชิ้นนั้นปรากฏแก่สายตา แสงตะเกียงที่เคยริบหรี่กลับดูสว่างไสวขึ้นมาถนัดตา มันเป็นปิ่นที่ทำจากหยกเหอเถียนสีขาวบริสุทธิ์ดุจน้ำนมแพะ ไร้ซึ่งตำหนิหรือริ้วรอยใดๆ ตัวปิ่นถูกสลักอย่างวิจิตรบรรจงเป็นลายเมฆามงคลที่พริ้วไหวราวกับมีชีวิต ตรงปลายสุดประดับด้วยไข่มุกตงไห่เม็ดกลมโตที่ส่องประกายสีรุ้งอ่อนๆ ยามต้องแสงไฟ
นี่ไม่ใช่งานฝีมือของช่างธรรมดา แต่เป็นผลงานระดับปรมาจารย์!
“ปิ่น... ปิ่นเมฆาเคลื่อน...” หยางเสวี่ยอิงกระซิบชื่อของมันออกมา
“คุณหนูใหญ่รู้จักปิ่นอันนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?” หลานจิงถามด้วยความสงสัย
“รู้จักสิ จะไม่รู้จักได้อย่างไร” หยางเสวี่ยอิงยิ้มทั้งน้ำตา เป็นรอยยิ้มที่ทั้งงดงามและปวดร้าวในคราเดียวกัน “ข้าจำได้… วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของท่านแม่ ท่านพ่อ... ท่านพ่อในตอนนั้นยังคงรักท่านแม่มาก เขาเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อเสาะหาหยกชิ้นที่ดีที่สุด แล้วสั่งให้ช่างสลักหลวงทำปิ่นอันนี้ขึ้นมา ท่านพ่อมอบมันให้ท่านแม่ด้วยตนเองที่ศาลากลางสวนเหลียนฮวา เขาบอกว่าความรักที่เขามีต่อท่านแม่นั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ดุจเมฆาบนฟากฟ้า... ท่านแม่มีความสุขมากในวันนั้น”
ภาพในอดีตที่เคยอบอุ่นหอมหวานย้อนกลับมาชัดเจน แต่ยิ่งชัดเจนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกรีดลึกลงไปในบาดแผลของปัจจุบันมากเท่านั้น ของยังคงอยู่ แต่คนกลับเปลี่ยนไป๑ ปิ่นปักผมยังคงงดงามเช่นเดิม แต่ความรักที่มันเคยเป็นตัวแทนนั้นได้สลายไปนานแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ขมขื่น
ขณะที่หยางเสวี่ยอิงกำลังจมดิ่งอยู่กับความหลังนั้น จิตใจของหยางจิ้งอวี่กลับทำงานแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
‘หยกเหอเถียนสีขาวไร้ตำหนิ ฝีมือสลักระดับราชสำนัก ไข่มุกตงไห่ขนาดนี้’ สมองของนางประเมินราคาอย่างรวดเร็ว ‘ปิ่นปักผมชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียว มีค่าพอที่จะซื้อจวนขนาดเล็กในเมืองหลวงได้ทั้งหลัง!’
จิ้งอวี่รอจนกระทั่งพี่สาวเริ่มสงบลง นางจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือนางไว้อย่างแผ่วเบา
“เจี่ยเจีย” นางเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบ “อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ”
หยางเสวี่ยอิงสะอื้น “พี่อดคิดไม่ได้ว่าหากท่านแม่ยังอยู่ พวกเราคงไม่ต้อง...”
“เจี่ยเจีย ท่านคิดว่าเหตุใดท่านแม่จึงซ่อนของล้ำค่าเหล่านี้ไว้ในที่ลับตาเช่นนี้เล่า?” จิ้งอวี่ถามขึ้นมาอย่างนุ่มนวล
หยางเสวี่ยอิงชะงักไปเล็กน้อย “ก็คง... เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก...”
“ผิดแล้วเจ้าค่ะ” จิ้งอวี่ส่ายหน้าช้าๆ “ท่านแม่ซ่อนของเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อหวังให้พวกเรามีชีวิตที่ดีมิใช่หรือเจ้าคะ? หากท่านแม่ล่วงรู้ว่าพวกเราต้องทนอดอยาก ทั้งๆ ที่มีสมบัติเหล่านี้อยู่กับตัว ท่านจะต้องเสียใจมากเพียงใด”
นางรู้สึกชาวูบไปทั่วร่างเมื่อได้ยินคำพูดคำพูดของน้องสาว
“อาอวี่ เจ้าหมายความว่า...”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” จิ้งอวี่ยืนยันความคิดของพี่สาว “ความทรงจำเป็นสิ่งล้ำค่า แต่ชีวิตของพวกเราในตอนนี้สำคัญยิ่งกว่า” นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพี่สาว “ของเหล่านี้คือบันไดขั้นแรกที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ บันไดที่จะพาเราปีนออกจากขุมนรกแห่งนี้”
หยางเสวี่ยอิงมองดูปิ่นปักผมสลักลายเมฆาในมือ แล้วหันมามองใบหน้าที่แน่วแน่ของน้องสาว นางจำต้องพยักหน้าช้าๆ
รุ่งอรุณของวันใหม่ทอแสงสีทอง ขับไล่ความเยียบเย็นยามราตรีให้จางหายไป แต่บรรยากาศภายในห้องกลับไม่ได้อบอุ่นขึ้นตามไปด้วย
หยางจิ้งอวี่ หยางเสวี่ยอิง และหลานจิง นั่งล้อมวงกันอยู่บนพื้นห้อง ตรงกลางระหว่างพวกนางคือกล่องไม้จันทน์หอมที่เปิดอ้าอยู่ ปิ่นปักผมหยกขาวสลักลายเมฆายังคงทอประกายบริสุทธิ์ภายใต้แสงตะวันยามเช้า เป็นความหวังเดียวของพวกนางในยามนี้
“อาอวี่ แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อ?” หยางเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางมองปิ่นปักผมสลับกับมองหน้าน้องสาวด้วยแววตาที่ยังคงกังวล “ของล้ำค่าเช่นนี้ หากนำออกไปขายอย่างเปิดเผย เกรงว่าจะต้องมีคนสงสัยในที่มาของมันเป็นแน่”
นั่นคือสิ่งที่จิ้งอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน ในเมืองหลวงแห่งนี้ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง๒ หากพวกนางผลีผลามทำการโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี ไม่เพียงจะขายของไม่ได้ราคา แต่อาจจะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น๓ ปลุกให้คนของสกุลหยางรู้ตัวได้
“เจี่ยเจียพูดถูกเจ้าค่ะ” จิ้งอวี่ตอบรับอย่างใจเย็น “เรื่องนี้เราต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังที่สุด”
นางหันไปมองหลานจิง บ่าวรับใช้ผู้ภักดีที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ “หลานจิง วันนี้ข้ามีภารกิจสำคัญจะมอบให้เจ้าทำ”
หลานจิงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบรับอย่างแข็งขัน “บ่าวพร้อมรับใช้คุณหนูเสมอเจ้าค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร บ่าวก็ยอมตายถวายชีวิต!”
หยางจิ้งอวี่ส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตาย แต่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อช่วยพวกเรา” นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเริ่มอธิบายแผนการที่นางวางไว้ตลอดทั้งคืน “ข้าต้องการให้เจ้านำปิ่นปักผมอันนี้ไปที่โรงรับจำนำ”
“โรงรับจำนำหรือเจ้าคะ?” เสวี่ยอิงทวนคำด้วยความประหลาดใจ “แต่... ที่ไหนล่ะ?”
“ต้องไม่ใช่โรงรับจำนำในย่านนี้” จิ้งอวี่อธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน “โรงรับจำนำเล็กๆ อาจจะไม่มีเงินมากพอและพยายามกดราคา ส่วนโรงรับจำนำใหญ่ๆ ในย่านของผู้มีอันจะกิน ส่วนใหญ่มักมีสายสัมพันธ์กับพวกขุนนาง หากพวกเขานำเรื่องนี้ไปพูดต่อ อาจจะเข้าหูคนของสกุลหยางได้”
นางเว้นจังหวะ ให้น้ำเสียงของตนเองหนักแน่นขึ้น
“ดังนั้น ที่ที่เจ้าต้องไปคือโรงรับจำนำไป๋เป่าทัง ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง”
“โรงรับจำนำไป๋เป่าทัง?” หลานจิงทวนชื่ออย่างไม่คุ้นเคย
“ถูกต้อง” จิ้งอวี่พยักหน้า “ที่นั่นเป็นย่านการค้าที่พลุกพล่านและอยู่ไกลจากจวนขุนนางมากที่สุด เถ้าแก่ของที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ยุติธรรมและที่สำคัญ... ปากหนัก”
หยางเสวี่ยอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในความรอบคอบของน้องสาว “แล้ว... เมื่อไปถึงแล้ว หลานจิงต้องพูดว่าอย่างไร?”
“นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด” จิ้งอวี่หันไปสบตาหลานจิงโดยตรง “เมื่อไปถึง จงบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลพ่อค้าที่เดินทางมาจากต่างเมือง เจ้านายของเจ้าติดการพนันอย่างหนักจนต้องแอบขโมยของรักของฮูหยินออกมาขายเพื่อใช้หนี้ บอกพวกเขาว่าเจ้าต้องการใช้เงินด่วน และต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด”
เรื่องราวที่นางแต่งขึ้นนั้นช่างสมจริงและเป็นเหตุเป็นผล มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในสังคมชั้นสูง ทำให้คนไม่เกิดความสงสัยได้โดยง่าย
ทว่าเมื่อได้ยินแผนการทั้งหมดแล้ว ใบหน้าของหลานจิงกลับซีดเผือดลงเรื่อยๆ มือของนางที่วางอยู่บนตักสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ของล้ำค่ามหาศาลเช่นนี้ ภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ มันหนักหนาเกินกว่าที่บ่าวตัวเล็กๆ เช่นนางจะแบกรับไหว
“คุณหนู...” นางเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “บะ บ่าวกลัว... กลัวว่าจะทำพลาดเจ้าค่ะ ของล้ำค่าเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับมัน บ่าวคง...”
หยางจิ้งอวี่เข้าใจความกลัวของนางดี นางยื่นมือไปกุมมือที่เย็นเฉียบของหลานจิงไว้แน่น แววตาของนางอ่อนโยนลงแต่ยังคงเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น
“หลานจิง ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าอยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ท่านแม่ยังอยู่ เจ้าคือคนที่พวกเราไว้วางใจที่สุด” จิ้งอวี่กล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ จงนึกเสียว่านี่ไม่ใช่แค่การทำเพื่อข้ากับเจี่ยเจีย แต่เพื่ออนาคตของพวกเราทั้งสามคน”
หยางเสวี่ยอิงเองก็เข้ามาบีบไหล่ของหลานจิงเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ “ใช่แล้วหลานจิง พวกเราเชื่อใจเจ้านะ”
เมื่อได้รับการยืนยันจากคุณหนูทั้งสอง ความหวาดกลัวในใจของหลานจิงก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“บ่าว... บ่าวจะทำให้สำเร็จเจ้าค่ะ! จะไม่ทำให้คุณหนูทั้งสองต้องผิดหวัง!”
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ







