Share

บทที่ ๖ ภารกิจของหลานจริง๒

last update Last Updated: 2025-11-06 18:00:40

หลังจากที่หลานจิงรับปากอย่างแข็งขันว่าจะปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกเดินทาง แต่หยางจิ้งอวี่กลับสังเกตเห็นว่าแม้แววตาของบ่าวผู้ภักดีจะเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น แต่ปลายนิ้วที่จิกอยู่ข้างลำตัวนั้นยังคงสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้

“อาอวี่...” หยางเสวี่ยอิงซึ่งสังเกตเห็นเช่นกันกระซิบกับน้องสาวเบาๆ “หลานจิงยังดูหวาดกลัวอยู่เลย ให้นางไปคนเดียวจะดีหรือ? โรงรับจำนำไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็กสาวตัวคนเดียวนะ”

นั่นคือสิ่งที่จิ้งอวี่กังวลอยู่เช่นกัน เถ้าแก่โรงรับจำนำส่วนใหญ่มักมีสายตาที่แหลมคม พวกเขาสามารถมองเห็นความอ่อนแอและความลังเลของลูกค้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากหลานจิงแสดงพิรุธออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะถูกกดราคา หรือเลวร้ายกว่านั้นคือถูกจับจ้องจนกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มโจรได้

‘แค่ความกล้าหาญอย่างเดียวนั้นไม่พอ นางยังต้องการอาวุธทางปัญญา’ จิ้งอวี่ครุ่นคิดในใจ ก่อนจะหันไปพึ่งพาสิ่งที่นางมีอยู่

‘ระบบ’ นางเรียกในใจ ‘ข้าต้องการทักษะที่ช่วยให้การขายของครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี’

เจ้าก้อนกลมสีขาวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของนางทันที ทว่ามีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เห็น มันกระดิกตัวดุ๊กดิ๊กอย่างร่าเริง

[ติ๊ง! โฮสต์ผู้รอบคอบและมองการณ์ไกล ข้ามีสิ่งที่ท่านกำลังต้องการพอดี] เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น [ขอเสนอแพ็กคู่สุดคุ้ม! ทักษะการประเมินราคาเบื้องต้น และทักษะการเจรจาต่อรองขั้นพื้นฐาน ด้วยสองทักษะนี้ บ่าวรับใช้ของท่านจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า!]

‘ราคา?’ จิ้งอวี่ถามสั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา

“ไม่แพงเลยแม้แต่น้อย!” เป่าเปาตอบอย่างกระตือรือร้น “แลกกับคำชมอันแสนจริงใจเพียงสองประโยคเท่านั้น ประโยคแรกระบบสุดเทพช่างมองการณ์ไกล และประโยคที่สองระบบคือผู้ช่วยอันดับหนึ่ง เป็นอย่างไรเล่า? ง่ายดายใช่หรือไม่”

จิ้งอวี่ถอนหายใจในใจอย่างเหนื่อยหน่าย นางไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียง พลางเอ่ยประโยคทั้งสองนั้นออกมาในใจด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้ความรู้สึก

[ติ๊ง! ได้รับคำชม! กำลังถ่ายทอดทักษะ!]

ทันใดนั้นเอง ความรู้มากมายเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหยกและไข่มุก รวมถึงหลักจิตวิทยาเบื้องต้นในการเจรจาต่อรองก็พลันหลั่งไหลเข้ามาในสมองของจิ้งอวี่

นางหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อซึมซับข้อมูลทั้งหมด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางในยามนี้ดูสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาราวกับบัณฑิตเฒ่าผู้เจนจบโลก

“หลานจิง เข้ามานี่” นางกวักมือเรียก

หลานจิงเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างว่าง่าย

“เจี่ยเจีย ท่านก็ฟังไว้ด้วยนะเจ้าคะ” จิ้งอวี่กล่าว “นี่คือเคล็ดวิชาที่จะทำให้พวกเราไม่ถูกผู้ใดเอาเปรียบได้อีก”

นางเริ่มถ่ายทอดความรู้ที่เพิ่งได้รับมาใหม่ให้กลายเป็นคำแนะนำที่เรียบง่ายและเข้าใจได้

“หลานจิง ฟังข้าให้ดี” นางเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและน่าเชื่อถือ “เมื่อเจ้าไปถึงโรงรับจำนำไป๋เป่าทังแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนหยิบปิ่นปักผมออกมาทันที จงแสร้งทำเป็นเดินดูของชิ้นอื่นๆ ในร้านก่อน สังเกตวิธีที่เถ้าแก่พูดคุยและประเมินราคากับลูกค้ารายอื่น นี่เรียกว่ารู้เขารู้เรา”

หลานจิงพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ

“เมื่อถึงตาของเจ้า จงหยิบปิ่นออกมาอย่างลังเลเล็กน้อย แสดงท่าทีว่านี่เป็นของรักของหวงที่จำใจต้องนำมาขาย” จิ้งอวี่สอนต่อ “เมื่อเถ้าแก่ถามถึงที่มา ก็จงเล่าเรื่องที่ข้าสอนไป แต่ที่สำคัญคือ จงบอกเขาไปอย่างมั่นใจว่าบ่าวได้ยินฮูหยินเคยบอกไว้ว่า หยกชิ้นนี้คือหยกเหอเถียนสีขาวเนื้อแพะที่หายากยิ่ง ส่วนไข่มุกเม็ดนี้คือไข่มุกตงไห่ของแท้แน่นอน การให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะทำให้เขาไม่กล้าประเมินราคาต่ำเกินไป”

“หยกเหอเถียนสีขาวเนื้อแพะ... ไข่มุกตงไห่...” หลานจิงทวนคำอย่างจดจ่อ

“ถูกต้อง” จิ้งอวี่กล่าว “และที่สำคัญที่สุดคือเคล็ดลับของการเจรจา นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว”

“นิ่งสงบ... สยบความเคลื่อนไหวหรือเจ้าคะ?”

“ใช่” แววตาของจิ้งอวี่เป็นประกาย “เมื่อเถ้าแก่เสนอราคาออกมาครั้งแรก ไม่ว่ามันจะสูงหรือต่ำเพียงใด... สิ่งที่เจ้าต้องทำคือนิ่งเงียบ อย่าเพิ่งตอบรับหรือปฏิเสธในทันที จงมองดูปิ่นปักผมด้วยแววตาเสียดาย อาลัยอาวรณ์ ปล่อยให้ความเงียบทำงานของมัน หากเขามั่นใจในราคาที่เสนอ เขาก็จะนิ่ง แต่หากเขารู้ตัวว่ากดราคาต่ำเกินไป เขาจะเริ่มร้อนรนและเสนอราคาที่สูงขึ้นมาเอง”

คำแนะนำแต่ละข้อของจิ้งอวี่นั้นช่างลึกซึ้ง และแยบยลจนหยางเสวี่ยอิงต้องมองน้องสาวของตนเองด้วยความทึ่งอีกครั้ง

จิ้งอวี่สอนเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมอีกสองสามอย่าง ก่อนจะสรุป “สุดท้าย หากเจ้าพอใจในราคาแล้ว ก็จงรับตั๋วเงินมาและจากไปทันทีอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องเสียดายอีกต่อไป”

หลังจากได้รับการติวเข้มจากหยางจิ้งอวี่อย่างละเอียดแล้ว ความหวาดหวั่นในแววตาของหลานจิงก็ค่อยๆ จางหายไป มันถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจและความมั่นใจที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ คำสอนของคุณหนูสามเปรียบเสมือนตะเกียงส่องสว่างที่มอบให้นางถือไว้ในความมืด จากภารกิจที่ดูน่าหวาดหวั่น บัดนี้มันได้กลายเป็นความท้าทายที่นางรู้สึกว่าตนเองสามารถรับมือได้

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืดอกขึ้นเล็กน้อย แววตาแน่วแน่

“บ่าว... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ! บ่าวจะทำตามที่คุณหนูสอนทุกอย่าง!”

หยางจิ้งอวี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางบรรจงห่อปิ่นปักผมอีกครั้งแล้วยื่นให้หลานจิง

คราวนี้น้ำหนักของถุงผ้าในมือไม่ได้ให้ความรู้สึกหนักอึ้งจนน่ากลัวอีกต่อไป แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความหวังและความรับผิดชอบที่นางพร้อมจะแบกรับ

หลานจิงคำนับคุณหนูทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังและเดินจากไปอย่างมั่นคง

หยางจิ้งอวี่และหยางเสวี่ยอิงมองตามแผ่นหลังของนางไปจนลับสายตา คราวนี้ความกังวลในใจของพวกนางได้ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้า

หลังจากที่เงาของหลานจิงลับหายไปจากประตูหลังแล้ว เวลาภายในเรือนก็พลันเดินช้าลง ทุกชั่วขณะเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าอึดอัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบที่กดดันจนแทบหายใจไม่ออก

สำหรับหยางเสวี่ยอิงแล้ว หนึ่งวันในยามนี้ยาวนานราวกับสามสารท นางเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง นั่งลงแล้วลุกขึ้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วน มือทั้งสองข้างบีบเข้าหากันแน่นจนข้อขาวซีด ดวงใจร้อนรนดั่งมดบนกระทะร้อน

“เหตุใดยังไม่กลับมาอีกนะ...” นางพึมพำกับตนเองเป็นรอบที่ร้อย “ระยะทางไปกลับก็ไม่น่าจะนานถึงเพียงนี้ จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ อาอวี่?”

หยางเสวี่ยอิงหันไปมองน้องสาวที่นั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง นางกำลังใช้เศษผ้าเก่าๆ บรรจงเช็ดใบไม้ของต้นว่านสี่ทิศที่ใกล้จะเหี่ยวเฉาในกระถางดินเผาใบเล็ก ท่วงท่าของนางสงบนิ่งและผ่อนคลายราวกับกำลังชมจันทร์ในคืนที่ไร้เมฆา

“เจี่ยเจีย ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย” จิ้งอวี่เอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมามอง “ระยะทางไปกลับต้องใช้เวลาเกือบสี่ชั่วยาม ไหนจะเวลาที่ต้องใช้ในการเจรจาต่อรองอีก การที่นางยังไม่กลับมาในตอนนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ”

แม้ภายนอกนางจะดูสุขุมราวกับมีแผนการทุกอย่างอยู่ในอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว จิตใจของนางก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน ปลายนิ้วที่ใช้เช็ดใบไม้นั้นเย็นเฉียบ และนางต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อควบคุมไม่ให้มันสั่นเทา

ครั้นแผนการของนางรัดกุมก็จริง แต่ในโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่าเหตุสุดวิสัยอยู่เสมอ

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเงาของดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ แสงสีทองยามเย็นสาดส่องเข้ามาในเรือน ความหวังในใจของหยางเสวี่ยอิงเริ่มริบหรี่ลง

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูที่แผ่วเบาดังขึ้น

สองพี่น้องสะดุ้งสุดตัว หันไปมองที่ประตูเป็นตาเดียว “หลานจิง!” หยางเสวี่ยอิงร้องออกมาอย่างดีใจ นางรีบถลาไปเปิดประตูในทันที

ภาพที่เห็นคือหลานจิงในสภาพอิดโรยและมอมแมม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นผงจากการเดินทางไกลตลอดทั้งวัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงคือดวงตาของนาง

ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือเหนื่อยล้าหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันกลับทอประกายเจิดจ้า เป็นประกายของความตื่นเต้นยินดีและความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้ง

“คุณหนูสาม! คุณหนูใหญ่!” นางหอบหายใจโยน “บ่าว... บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

“เป็นอย่างไรบ้าง! ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่!” เสวี่ยอิงถามอย่างร้อนรน

หลานจิงพยักหน้าหงึกๆ พลางยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่ นางเดินเข้ามาในห้อง ทรุดตัวลงนั่งแล้วรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตื่นเต้น

“โรงรับจำนำไป๋เป่าทัง ใหญ่โตมากเจ้าค่ะ!” นางเริ่มต้น “ตอนแรกที่บ่าวเข้าไปก็กลัวจนขาแทบก้าวไม่ออก เถ้าแก่ของที่นั่นดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่า สายตาของเขาคมกริบราวกับจะมองทะลุไปถึงความคิดของบ่าวได้!”

“แล้วเจ้าทำอย่างไรต่อ?” จิ้งอวี่ถามเรียบๆ แต่น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความใส่ใจ

“บ่าวทำตามที่คุณหนูสามสอนทุกอย่างเจ้าค่ะ!” หลานจิงเล่าต่ออย่างกระตือรือร้น “บ่าวเดินดูของในร้านก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องที่แต่งขึ้น เถ้าแก่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ จนกระทั่งบ่าวหยิบปิ่นปักผมออกมา...”

นางหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง “ชั่วขณะที่เขาเห็นปิ่นปักผม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเจ้าค่ะ! เขาหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องดูแล้วดูอีก พึมพำกับตนเองว่าหยกเหอเถียนเนื้อแพะ ไข่มุกตงไห่ แล้วก็งานฝีมือหลวง...”

“แล้วเขาก็เสนอราคามาครั้งแรก เพียงแค่ห้าร้อยตำลึงเงินเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ! แค่ห้าร้อยรึ!” หยางเสวี่ยอิงอุทานอย่างไม่พอใจ

“บ่าวก็ตกใจเจ้าค่ะ แต่บ่าวนึกถึงคำสอนของคุณหนูสามได้ทัน บ่าวจึงทำเพียงแค่นิ่งเงียบ จ้องมองปิ่นด้วยแววตาเสียดาย ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว”

“แล้ว... แล้วอย่างไรต่อ!?”

“เถ้าแก่เริ่มมีท่าทีร้อนรนเจ้าค่ะ เขาคงเห็นว่าบ่าวรู้มูลค่าของมันอยู่บ้าง เขาเลยขยับราคาขึ้นเป็นหนึ่งพัน แล้วก็สองพัน แต่บ่าวก็ยังคงนิ่งเงียบ จนสุดท้ายเขาถอนหายใจแล้วพูดว่า เอาล่ะแม่หนู ข้าจะให้ราคาสูงที่สุดเท่าที่ข้าจะให้ได้ ของดีเช่นนี้ ตกมาอยู่ในมือคนไม่รู้ค่า ช่างน่าเสียดายนัก”

หลังจากเล่าจบ หลานจิงก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง หยิบตั๋วเงินแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้อย่างดีออกมาด้วยสองมือที่ยังคงสั่นเทาเล็กน้อยจากความตื่นเต้น แล้วยื่นให้กับหยางจิ้งอวี่

“นี่เจ้าค่ะ... คุณหนู”

จิ้งอวี่รับตั๋วเงินนั้นมาคลี่ออกดูอย่างช้าๆ

บนนั้นมีตราประทับสีแดงสดของกั๋วจี้เม่าอี้ ซึ่งเป็นกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น และตัวเลขที่เขียนด้วยพู่กันอย่างบรรจงก็ปรากฏแก่สายตาของพวกนาง. . .

ห้าพันตำลึงเงิน!

หยางเสวี่ยอิงยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึงจนแทบสิ้นสติ เงินจำนวนนี้ มากเกินกว่าที่นางเคยจินตนาการไว้เสียอีก มันมากพอที่จะซื้อจวนดีๆ หลังหนึ่ง ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ และมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปได้อีกหลายปี

ความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันได้พังทลายลงในที่สุด หยาดน้ำตาจากความโล่งอกไหลทะลักออกมาจากดวงตาของนาง หลานจิงเองก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเช่นกัน

หยางจิ้งอวี่มองดูตั๋วเงินในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มและคราบน้ำตาของพี่สาวกับบ่าวคนสนิท

นางอนุญาตให้ตัวเองแย้มยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ทว่าก็เป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๑ เปิดโปงการทุจริต – ๒

    ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๑ เปิดโปงการทุจริต – ๑

    คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๐ หนี้บุญคุณ – ๒

    เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๐ หนี้บุญคุณ – ๑

    ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๔๙ คำร้องยามวิกาล – ๒

    หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๔๙ คำร้องยามวิกาล – ๑

    ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status