LOGINภายใต้แสงเทียนที่สลัว ตั๋วเงินมูลค่าห้าพันตำลึงนอนทอดกายนิ่งอยู่บนโตไม้เก่าๆ ความตื่นเต้นยินดีเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในหัวใจของสตรีทั้งสาม
หยางเสวี่ยอิงมองตั๋วเงินนั้นสลับกับมองหน้าน้องสาวและบ่าวคนสนิท ในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “เงินมากมายขนาดนี้ เราจะเก็บไว้ที่ใดถึงจะปลอดภัย? เรือนของเราก็อย่างที่เห็น...”
นางไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายนั้นชัดเจน . . .
หยางจิ้งอวี่ซึ่งคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เจี่ยเจียไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ เงินก้อนใหญ่นี้เราจะยังไม่แตะต้องมัน” นางพับตั๋วเงินอย่างระมัดระวังก่อนจะซ่อนมันไว้ในช่องลับใต้แผ่นกระดานที่เดิม “คืนนี้ เราจะฉลองกันก่อน”
“ฉลองหรือเจ้าคะ?” หลานจิงถามตาแป๋ว
“ใช่ ฉลอง” จิ้งอวี่ยืนยันพลางหยิบเศษเงินตำลึงหนึ่งที่นางแอบซ่อนไว้ตั้งแต่แรกออกมา “หลานจิง ข้ารบกวนเจ้าอีกสักครั้ง ช่วยไปที่ตลาดด้านหลังจวน ซื้อเนื้อย่างเป็ดพะโล้ ซาลาเปาไส้เนื้อ เอาเนื้อแพะย่างมาด้วยนะ” จิ้งอวี่กล่าว
“เจ้าค่ะ!” หลานจิงอุทานอย่างมีความสุข ไม่รอช้าที่จะรับเงินแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารที่ไม่เคยปรากฏในเรือนแห่งนี้มาก่อนก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง หลานจิงกลับมาพร้อมกับห่อใบจ่างขนาดใหญ่หลายห่อ นางบรรจงคลี่ห่อเหล่านั้นออกบนโต๊ะอย่างตื่นเต้น
เป็ดย่างหนังกรอบที่ถูกสับเป็นชิ้นพอดีคำส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หมูสามชั้นพะโล้เนื้อนุ่มที่แทบจะละลายในปาก ซาลาเปาลูกขาวอวบที่ไส้ในชุ่มฉ่ำ ผัดผักสดกรอบ และเนื้อแพะย่างเสียบไม้ที่โรยด้วยเครื่องเทศหอมกรุ่น
สำหรับคนทั่วไปนี่อาจเป็นเพียงอาหารมื้อค่ำธรรมดาๆ แต่สำหรับพวกนางสามคนแล้ว นี่คือสิ่งที่หรูหราที่สุดในรอบหลายปี
“เร็วเข้า! รีบกินกันเถิด เดี๋ยวจะเย็นหมด” หยางเสวี่ยอิงเร่งเร้าด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ตัวนางเองก็ยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้
พวกนางทั้งสามลงมือกินอาหารตรงหน้าอย่างไม่สนใจกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีคำพูดใดๆ ในช่วงแรก มีเพียงเสียงเคี้ยวและเสียงอุทานด้วยความพึงพอใจเป็นระยะๆ อนึ่งการหาความสุขในความทุกข์๑
“อร่อย! อร่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ!” หลานจิงพูดขึ้นทั้งที่แก้มยังตุ่ยเพราะซาลาเปา “บ่าวไม่เคยได้กินของอร่อยเช่นนี้มาก่อนในชีวิตเลยเจ้าค่ะ”
หยางเสวี่ยอิงคีบเนื้อเป็ดที่หนังกรอบที่สุดชิ้นหนึ่งใส่ลงในถ้วยของจิ้งอวี่ “อาอวี่ เจ้าก็กินเยอะๆ สิ ร่างกายเจ้ายังต้องบำรุงอีกมาก” นางมองดูอาหารเลิศรสตรงหน้า น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมาอีกครั้ง “หากท่านแม่ได้เห็น ท่านคงจะดีใจที่พวกเราไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว”
บรรยากาศพลันเศร้าลงเล็กน้อย จิ้งอวี่จึงคีบเนื้อแพะย่างชิ้นโตที่สุดกลับไปให้พี่สาว
“เจี่ยเจียก็ต้องกินเยอะๆ เช่นกัน” นางกล่าวเรียบๆ “ท่านแม่จากไปแล้ว แต่พวกเรายังต้องมีชีวิตอยู่ และต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีกว่าเดิม”
คำพูดของนางทำให้น้ำตาของเสวี่ยอิงหยุดชะงัก... ใช่แล้ว พวกนางต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด เพื่อให้ดวงวิญญาณของท่านแม่ได้สงบสุข
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว หลานจิงก็ไปรินชาอุ่นๆ มาให้คุณหนูทั้งสอง ทั้งสามนั่งล้อมวงกันอยู่ใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างกว่าปกติ เพราะวันนี้หลานจิงใจใหญ่จุดเทียนถึงสองเล่ม
“อาอวี่...” หยางเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “มีเงินก้อนนี้แล้ว... ต่อไปเราจะทำอย่างไรกันดี?” แววตาของนางในยามนี้ไม่ได้มีแต่ความกังวล แต่กลับเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
หยางจิ้งอวี่จิบชาอุ่นๆ อย่างเชื่องช้า แสงเทียนสะท้อนในดวงตาของนางทำให้มันดูเป็นประกายลึกล้ำ นางวางถ้วยชาลง ก่อนจะเอ่ยถึงแผนการที่อยู่ในหัวด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“อันดับแรก คือการฟื้นฟูร่างกายของพวกเราให้แข็งแรง” นางกล่าว “เงินส่วนหนึ่งข้าจะให้หลานจิงแอบไปซื้อสมุนไพรและอาหารดีๆ มาเก็บตุนไว้ เราจะบำรุงร่างกายกันอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้ใครสงสัย”
หลานจิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“จากนั้น...” จิ้งอวี่กล่าวต่อ “เราจะหาทางออกไปจากที่นี่... ข้าจะใช้เงินส่วนหนึ่งไปหาซื้อจวนเล็กๆ ที่เป็นส่วนตัวและปลอดภัยนอกเขตขุนนาง สร้างบ้านที่เป็นของพวกเราเอง ที่ที่ไม่มีใครสามารถมาเหยียบย่ำกดขี่เราได้อีก”
เพียงได้ยินเท่านี้ ดวงตาของหยางเสวี่ยอิงและหลานจิงก็เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมา
“และสุดท้าย...” จิ้งอวี่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง นางมองสบตาคนทั้งสอง แววตาของนางในยามนี้ฉายแววคมกล้าและเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้ง
“เราจะทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของเรากลับมา ทุกความเจ็บปวด ทุกความอัปยศที่พวกเขาเคยยัดเยียดให้ท่านแม่และพวกเรา ข้าจะทวงคืนกลับไปให้พวกเราเป็นร้อยเท่าพันทวี!”
รุ่งอรุณของวันใหม่มาพร้อมกับแผนการที่ถูกขัดเกลามาอย่างดีตลอดทั้งคืน หยางจิ้งอวี่ไม่ได้ปล่อยให้ความยินดีจากเมื่อวานมาบดบังการไตร่ตรองอันรอบคอบของตัวเอง นางเรียกพี่สาวและบ่าวคนสนิทมาพูดคุยกันอีกครั้งหน้ากล่องไม้ใบเดิม
“เงินห้าพันตำลึง ฟังดูเหมือนเป็นจำนวนที่มหาศาล” จิ้งอวี่เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง “แต่หากพวกเราใช้จ่ายอย่างไม่ระวัง มันก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งกินภูเขาจนเกลี้ยง๒ เงินทองมีแต่วันจะร่อยหรอลงไป”
หยางเสวี่ยอิงและหลานจิงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย พวกนางเข้าใจดีว่าความมั่งคั่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ก็สามารถสูญสลายไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ดังนั้น แผนการขั้นแรกของพวกเราคือการเสริมสร้างฐานที่มั่น” จิ้งอวี่กล่าวต่อ “ฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดของพวกเราในตอนนี้ คือร่างกาย”
นางหันไปทางหลานจิง พร้อมกับยื่นถุงเงินเล็กๆ ที่บรรจุเงินยี่สิบตำลึงให้ “หลานจิง ภารกิจต่อไปของเจ้าคือการแปรเปลี่ยนเงินเหล่านี้ให้กลายเป็นเสบียงที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเรา”
“บ่าวจะรีบไปตลาดเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ!” หลานจิงตอบรับอย่างกระตือรือร้น
“ช้าก่อน” จิ้งอวี่ปรามเบาๆ “การไปตลาดไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะไปอย่างไรไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตนั้นคือหัวใจสำคัญ”
นางเริ่มอธิบายแผนการจัดซื้อที่รัดกุม “จงอย่าไปตลาดใหญ่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่ให้ไปร้านค้าเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยต่างๆ และจงอย่าซื้อของทุกอย่างจากร้านเดียวในวันเดียว”
“เจ้าหมายความว่า... ให้ทยอยซื้อหรือ?” เสวี่ยอิงถาม
“ถูกต้อง” จิ้งอวี่พยักหน้า “วันนี้เจ้าอาจจะไปร้านข้าวสารทางทิศใต้ ซื้อข้าวสารมาเพียงห้าจิน วันพรุ่งนี้ให้ไปร้านขายของแห้งทางทิศเหนือ ซื้อเนื้อแห้งและเครื่องปรุงมาเล็กน้อย วันถัดไปให้ไปร้านยาเก่าแก่ที่อยู่นอกเขตที่พักอาศัย ไปซื้อสมุนไพรบำรุงตามรายการที่ข้าจะเขียนให้”
นางหยิบเศษถ่านไม้ขึ้นมาเขียนรายการบนกระดาษสาเก่าๆ โสมตังกุย ปักคี้ ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นดีสำหรับบำรุงเลือดลมและฟื้นฟูพลังกาย
“ส่วนเสื้อผ้าหนาๆ สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ให้ไปดูที่ร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ อย่าได้ไปสั่งตัดที่ร้านใหญ่โตเป็นอันขาด” จิ้งอวี่กำชับ “จงทำตัวให้เหมือนบ่าวรับใช้จากจวนเล็กๆ ที่ออกมาจับจ่ายซื้อของตามปกติที่สุด”
ตลอดหลายวันต่อมา หลานจิงก็ได้ปฏิบัติภารกิจลับของนางอย่างแข็งขัน นางสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เดินทางไปยังร้านค้าต่างๆ ทั่วเมืองหลวงตามคำสั่งของคุณหนูสามอย่างเคร่งครัด นางเคลื่อนไหวราวกับจิ้งจอกที่ปราดเปรียวและระแวดระวังภัยอยู่เสมอ
ข้าวสารเม็ดงาม เนื้อแห้งหอมกรุ่น สมุนไพรล้ำค่า เสื้อนวมอุ่นๆ ถ่านไม้สำหรับฤดูหนาว ค่อยๆ ถูกลำเลียงกลับมายังเรือนอย่างเงียบเชียบ
และในทุกค่ำคืน สตรีทั้งสามก็จะช่วยกันนำเสบียงเหล่านั้นไปเก็บซ่อนไว้ในโพรงใต้พื้นไม้ที่พวกนางช่วยกันขยับขยายให้กว้างขึ้นทีละน้อย มันได้กลายเป็นคลังสมบัติและคลังเสบียงลับของพวกนาง
ภาพที่ปรากฏช่างน่าขัน เหนือแผ่นกระดานขึ้นมาคือเรือนที่ผุพัง ว่างเปล่า และน่าเวทนา มีเพียงข้าวของเก่าๆ ที่ไร้ค่าไม่กี่ชิ้น
แต่ใต้แผ่นกระดานลงไปเพียงไม่กี่ชุ่น กลับเต็มไปด้วยเสบียงกรังและทรัพย์สินที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกนางไปได้อีกนานหลายเดือน
หลายวันผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง . . .
“คุณหนูใหญ่! ได้เวลากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงยานคางอันคุ้นเคยของหวังหมัวมัวดังขึ้นมาแต่ไกล พร้อมกับร่างท้วมของนางที่เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในเรือนพร้อมกับบ่าวอีกคนหนึ่ง ในมือของพวกนางคือถาดอาหารเย็นสำหรับคุณหนูผู้ถูกลืมเช่นทุกวัน
หยางเสวี่ยอิงและหลานจิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เมื่อนึกถึงโจ๊กเหม็นเปรี้ยวที่พวกนางไม่ต้องฝืนทนกินมาหลายวันแล้ว
แต่หยางจิ้งอวี่ยังคงสงบนิ่ง นางส่งสัญญาณทางสายตาให้คนทั้งสองเล่นละครต่อไป
หวังหมัวมัววางถาดอาหารลงบนโต๊ะดังปัง ในถาดมีเพียงโจ๊กที่เหลวจนแทบจะเป็นน้ำสามถ้วย กับผักดองสีคล้ำที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์เช่นเคย
“มัวทำอะไรอยู่เล่า? รีบกินเสียสิ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “พวกเจ้านี่ช่างโชคดีเสียจริงนะ ยังมีข้าวให้กินอยู่ทุกวัน ไม่เหมือนบ่าวชราบางคนที่ทำตัวไร้ประโยชน์จนต้องถูกไล่ออกไปอดตายข้างนอก”
คำพูดของนางจงใจเสียดแทงอย่างเลือดเย็น
หยางเสวี่ยอิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ แต่เมื่อนางสบตากับจิ้งอวี่ นางก็เห็นแววตาที่นิ่งสงบของน้องสาวกำลังปรามนางอยู่ นางจึงได้แต่ก้มหน้าลงข่มความแค้นเอาไว้
ทั้งสามคนนั่งลงและเริ่มกินโจ๊กที่รสชาติเลวร้ายนั้นอย่างเงียบๆ พวกนางแสดงท่าทีที่หิวโหยและน่าเวทนาได้อย่างสมบทบาท
หวังหมัวมัวมองภาพนั้นด้วยความสมเพช ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแส
ทันทีที่ลับร่างของพวกนางไป หลานจิงก็รีบคายโจ๊กคำนั้นทิ้งทันที “รสชาติแย่ยิ่งกว่าน้ำล้างเท้าเสียอีก!”
แต่หยางจิ้งอวี่กลับกินโจ๊กถ้วยนั้นต่อไปอย่างเชื่องช้าจนหมดสิ้น
“อาอวี่! เจ้ากินมันเข้าไปจริงๆ หรือ!” เสวี่ยอิงถามอย่างตกใจ
จิ้งอวี่วางถ้วยเปล่าลง เช็ดมุมปากเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่ลุ่มลึก
“เจี่ยเจีย การอดทนกินขมในตอนนี้ ก็เพื่อที่จะได้ลิ้มรสหวานในวันหน้า”
นางมองดูพื้นไม้ที่อยู่ใต้เท้าของตนเอง ที่ซึ่งมีข้าวสารและเนื้อแห้งชั้นดีซ่อนอยู่
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ




![พันธะสวาทจอมเวทย์ [18+, พีเรียดอีโรติก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


