Share

บทที่ ๘ เด็กกำพร้าข้างถนน

last update Last Updated: 2025-11-08 18:00:35

กาลเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งเดือน

พวกนางกินอาหารมื้อค่ำ บำรุงร่างกายที่เคยผ่ายผอมให้กลับมามีน้ำมีนวลอีกครั้ง นับเป็นกลยุทธ์เปิดทางลับลอบข้ามเฉินชาง เปิดฉากหน้าให้ศัตรูตายใจ แต่แอบเสริมสร้างกำลังของตนเองอย่างลับๆ

ความเปลี่ยนแปลงนี้แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เริ่มปรากฏให้เห็น ผิวพรรณของพวกนางที่เคยซีดเหลือง บัดนี้กลับดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ได้ไปสะดุดตาของผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญในบ่ายวันหนึ่ง

“ดูสิว่าใครอยู่นี่… พี่สาม พี่ใหญ่ ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีกันหรือไม่?”

น้ำเสียงที่หวานใสดังขึ้นจากหน้าประตูเรือน คุณหนูสี่ หยางเยว่ซิน ก้าวเข้ามาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทของนาง นางอยู่ในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายดอกหมู่ตานงดงาม เครื่องประดับบนศีรษะส่องประกายระยิบระยับ ขับเน้นให้สภาพอันน่าสมเพชของเรือนแห่งนี้ดูตกต่ำลงไปอีกหลายส่วน

“นะ… น้องสี่” หยางเสวี่ยอิงรีบวางเศษผ้าในมือลง พลันดึงจิ้งอวี่ให้มาหลบอยู่ด้านหลังตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ

“เหตุใดต้องทำท่าทีราวกับข้าเป็นแม่เสือด้วยเล่า พี่ใหญ่” หยางเยว่ซินปรายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยแววตารังเกียจ “ข้าก็แค่ได้ยินบ่าวไพร่ลือกันว่าพี่สามอาการดีขึ้นมากแล้ว เลยแวะมาเยี่ยมเยียนด้วยความเป็นห่วงเท่านั้นเอง”

“ต้องขอบคุณน้องสี่ที่เป็นห่วง แต่พวกเราสบายดี” หยางเสวี่ยอิงตอบอย่างระมัดระวัง

“สบายดีรึ?” หยางเยว่ซินแค่นเสียงหัวเราะ “ดูจากสภาพแล้ว ไม่เห็นจะเหมือนคนที่สบายดีเลยสักนิด แต่ว่าไป... สีหน้าของพวกท่านดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนะ หรือว่าอาหารหมูที่เรือนใหญ่ส่งมาให้มันจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้?”

คำพูดเหยียดหยามนั้นทำให้หลานจิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าตอบโต้

หยางเยว่ซินไม่สนใจพวกนางอีก นางหันไปมองจิ้งอวี่ที่หลบอยู่ด้านหลังพี่สาวด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “ออกมาให้น้องสี่ดูหน้าหน่อยสิ พี่สาม”

จิ้งอวี่ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังของเสวี่ยอิง ดวงตาของนางยังคงดูเลื่อนลอยและว่างเปล่าเช่นเดิม

“พี่... สี่...” นางเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและเชื่องช้า

การแสดงอันสมบูรณ์แบบนั้นทำให้ความสงสัยในใจของหยางเยว่ซินลดลงไปกว่าครึ่ง แต่ด้วยนิสัยขี้ระแวงและชอบหาเรื่องของนาง นางจึงตัดสินใจที่จะทดสอบอีกสักหน่อย

“ดูสิ น้องสี่มีของอร่อยมาฝากด้วยนะ” นางหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมหวานชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นขนมจากร้านชื่อดังเลยนะ อยากกินหรือไม่?”

นางยื่นขนมเปี๊ยะนั้นไปตรงหน้าจิ้งอวี่ . . .

หากจิ้งอวี่แสดงความอยากกินออกมาอย่างชัดเจน ก็เท่ากับว่านางมีความคิดความอ่านเหมือนคนปกติ แต่หากนางไม่สนใจเลย ก็อาจจะดูผิดธรรมชาติเกินไป

หยางเสวี่ยอิงใจหายวาบ นางกลัวว่าน้องสาวที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นฟูจะตามเล่ห์เหลี่ยมของหยางเยว่ซินไม่ทัน

แต่จิ้งอวี่กลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ

นางจ้องมองขนมเปี๊ยะในมือของหยางเยว่ซินด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ราวกับมันเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง นางค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยออกไปทำท่าจะรับ แต่แล้วในตอนนั้นเอง ผีเสื้อสีเหลืองตัวหนึ่งก็บินผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามาในห้อง

ดวงตาของจิ้งอวี่พลันเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นเต้นแบบเด็กๆ นางละความสนใจจากขนมเปี๊ยะในทันที แล้วหันไปหัวเราะคิกคักพร้อมกับชี้ไปยังผีเสื้อตัวนั้นแทน

“ผี... เสื้อ...”

การแสดงที่ไร้เดียงสาและสมจริงนั้นได้ทำลายความสงสัยของหยางเยว่ซินลงจนหมดสิ้น

‘เหอะ! ที่แท้ก็ยังเป็นนางปัญญาอ่อนคนเดิม!’ นางคิดในใจอย่างดูแคลน

ความสนใจของนางหมดลงในทันที นางโยนขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นลงบนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างไม่แยแส “เอาให้เจ้ากินก็แล้วกัน! เห็นแล้วน่าสมเพช!”

นางสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด “ไปกันเถอะ เสียเวลาจริงๆ นึกว่าจะมีอะไรสนุกๆ ให้ดูเสียอีก”

พูดจบ นางก็เดินเชิดหน้าจากไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ ทิ้งให้สตรีทั้งสามเผชิญกับความเงียบอีกครั้ง

ทันทีที่เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนลับหายไปจนแน่ใจแล้ว

หยางเสวี่ยอิงและหลานจิงก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอก เหงื่อเย็นกาฬผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง

แต่หยางจิ้งอวี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

แววตาที่เคยเลื่อนลอยและไร้เดียงสาของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและคมกริบในพริบตา นางเดินไปหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบที่ถูกทิ้งไว้อย่างไม่ใยดีขึ้นมา ปัดฝุ่นออกเบาๆ

นางบรรจงหักขนมชิ้นนั้นออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ส่วนหนึ่งยื่นให้พี่สาว อีกส่วนหนึ่งยื่นให้หลานจิง และส่วนสุดท้ายนางก็นำเข้าปากตนเอง

“กินเสียสิเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติ “ถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับการแสดงละครเมื่อครู่นี้”

หยางจิ้งอวี่ก็ตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าเรือนแห่งนี้แม้จะพอให้พวกนางได้ซุกหัวนอนและซ่อนเสบียงได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คือเต่าในไห ดีๆ นี่เอง พวกนางถูกจองจำ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถรับรู้ข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย ได้แต่รอคอยให้คนจากเรือนใหญ่หาเรื่องมาเยี่ยมเยือน

“เจี่ยเจีย การนั่งรอคอยความตายอยู่ในเรือนไม่ใช่ทางออก” คืนหนึ่ง จิ้งอวี่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “พวกเราต้องมีหูมีตาเป็นของตนเองอยู่ข้างนอก”

หยางเสวี่ยอิงซึ่งกำลังปักผ้าอยู่ชะงักมือลง นางมองน้องสาวด้วยแววตาเป็นกังวล “หูมีตาหรือ? แต่พวกเราจะไปหามาจากที่ใดกัน? เราไม่มีญาติมิตรที่ไหนเลยนะอาอวี่”

“ข้าจะออกไปหาด้วยตนเองเจ้าค่ะ” จิ้งอวี่ตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น

“ไม่ได้!” เสวี่ยอิงค้านเสียงหลงในทันที “ข้างนอกอันตรายเกินไป! เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียว หากออกไปแล้วถูกคนจำได้ หรือเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไร!”

“ข้าจะไม่ไปในฐานะหยางจิ้งอวี่” แววตาของจิ้งอวี่ฉายประกายลึกล้ำ “แต่ข้าจะไปในฐานะ คนอื่น”

นางหลับตาลง สื่อสารกับระบบในใจทันที ‘ระบบ ข้าต้องการออกไปข้างนอกโดยไม่ให้ใครจำได้ เจ้ามีวิธีหรือไม่?’

เจ้าก้อนกลมปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง มันตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบอย่างร่าเริง

[ติ๊ง! โฮสต์ผู้ชาญฉลาดเริ่มจะเดินหมากตารุกแล้วสินะ แน่นอนว่าข้าย่อมมีวิธี!] เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น [ขอเสนอทักษะการปลอมตัวเบื้องต้น สามารถปรับเปลี่ยนลักษณะภายนอกของท่าน ทำให้ท่านกลมกลืนไปกับฝูงชน เหมาะสำหรับการแทรกซึมเป็นอย่างยิ่ง]

‘เงื่อนไข?’ จิ้งอวี่ถามอย่างคุ้นเคย

[แหม... ทักษะที่มีประโยชน์เช่นนี้ ราคาย่อมไม่ธรรมดา] เป่าเปากล่าวอย่างมีลับลมคมใน [ต้องใช้คำชมระดับอัญมณีล้ำค่าเลยทีเดียว โปรดกล่าวว่าระบบคือแสงสว่างนำทางชีวิตข้า ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและซาบซึ้ง!]

มุมปากของจิ้งอวี่กระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกอยากจะบีบเจ้าก้อนกลมบ้ายอนี่ให้แบนติดมือเสียจริง แต่เมื่อนึกถึงแผนการที่วางไว้ นางก็ได้แต่ข่มความรำคาญใจลง

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยประโยคนั้นออกมาในใจด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้ซาบซึ้งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ระบบ... คือแสงสว่าง... นำทางชีวิตข้า”

[ติ๊ง! ได้รับคำชม ค่าความศรัทธา 60% พอไปวัดไปวาได้! กำลังถ่ายทอดทักษะ!]

ความรู้เกี่ยวกับการปลอมตัวพลันหลั่งไหลเข้ามาในสมองของนาง มันไม่ใช่การเปลี่ยนโฉมด้วยเวทมนตร์ แต่เป็นเทคนิคที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ การใช้ผงถ่านละเอียดผสมกับไขมันพืชเล็กน้อยทาลงบนผิวเพื่อปรับสีให้เข้มขึ้น การใช้มันแรเงาตามสันกรามและโหนกแก้มเพื่อเปลี่ยนโครงหน้าให้ดูแข็งกระด้างขึ้น การใช้ผ้ารัดหน้าอก การปรับเปลี่ยนท่วงท่าการเดินและการพูดจา

จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางเดินไปหยิบเสื้อผ้าเก่าๆ ของบ่าวชายที่หลานจิงเก็บไว้ใช้ทำผ้าขี้ริ้วออกมาหนึ่งชุด ก่อนจะเข้าไปหลังฉากกั้นเก่าๆ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็ก้าวออกมาอีกครั้ง

หยางเสวี่ยอิงและหลานจิงที่รออยู่ถึงกับอ้าปากค้าง

สตรีงดงามหมดจดเมื่อครู่ได้หายวับไปแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกนางคือชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง รูปร่างผอมบาง ผิวสีคล้ำเล็กน้อย ดวงตาดูเรียบเฉยไร้ประกาย บนใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นจางๆ อยู่ที่คิ้วข้างหนึ่ง ดูไปแล้วก็เหมือนเด็กหนุ่มรับใช้ตามโรงเตี๊ยมหรือลูกจ้างในร้านค้าทั่วไป หาได้มีความโดดเด่นสะดุดตาใดๆ ไม่

“อาอวี่!”

“คุณหนูสาม!” สองเสียงอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง “นะ… นี่ท่านจริงๆ หรือ?!”

จิ้งอวี่กระแอมเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย “ข้าเอง” นางหมุนตัวให้ดูรอบหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เหมือน... เหมือนคนละคนไปเลยเจ้าค่ะ!” หลานจิงตอบอย่างทึ่งๆ

หยางเสวี่ยอิงแม้จะยังเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นความสามารถอันน่าทึ่งของน้องสาว นางก็รู้ว่าไม่อาจรั้งไว้ได้อีกต่อไป “เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ”

จิ้งอวี่พยักหน้ารับ “ข้าจะไปไม่นาน แค่ไปสำรวจดูลาดเลาเท่านั้น”

นางลอบออกจากเรือนผ่านทางประตูสุนัขที่คุ้นเคยได้อย่างง่ายดาย เมื่อออกมาสู่โลกภายนอกในฐานะชายหนุ่ม นางก็รู้สึกได้ถึงอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นางไม่ได้มุ่งหน้าไปยังย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรือง แต่กลับเดินลัดเลาะไปยังตรอกซอกซอยที่คับแคบและสกปรก ย่านคนจนทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง

ที่นี่คืออีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากจวนสกุลหยางโดยสิ้นเชิง อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นอับของขยะและสิ่งปฏิกูล เสียงร้องไห้ของทารก เสียงด่าทอของผู้คน และเสียงสุนัขเห่าหอนดังผสมปนเปกันไปหมด สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนน่าเวทนา แต่ในแววตาของพวกเขากลับแฝงไว้ด้วยความทรหดอดทน ประหนึ่งสถานที่ที่มังกรและอสรพิษปะปนกันอยู่ เป็นแหล่งรวมของคนทุกประเภท

จิ้งอวี่ในคราบของชายหนุ่ม เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว เก็บข้อมูลทุกอย่างเข้าสู่สมอง

หากแต่ . . .

สายตาของนางไปสะดุดเข้ากับกลุ่มเด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งจับเจ่า อยู่ตรงมุมกำแพงวัดร้าง พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นยิ่งกว่าขอทาน เนื้อตัวมอมแมมผอมโซจนหนังหุ้มกระดูก แต่สิ่งที่ทำให้จิ้งอวี่สนใจคือการทำงานเป็นทีมของพวกเขา

เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งแสร้งทำเป็นร้องไห้เสียงดังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเถ้าแก่ร้านหมั่นโถว ในขณะที่เด็กชายอีกคนก็อาศัยจังหวะนั้นฉวยหมั่นโถวสองลูกวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทว่าคนที่น่าสนใจที่สุดคือเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงกลาง เขาไม่ได้ลงมือเอง แต่กลับเป็นคนออกคำสั่งด้วยการพยักหน้าและส่งสัญญาณทางสายตาเท่านั้น เขามีอายุราว ๑๒-๑๓ ปี ร่างกายผอมบาง แต่แววตากลับฉายแววเด็ดเดี่ยวและเฉียบคมเกินวัย

จิ้งอวี่หยุดยืนอยู่ห่างๆ มองดูกลุ่มเด็กเหล่านั้นแบ่งหมั่นโถวสองลูกกินกันอย่างหิวโหย

ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบาที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

‘เด็กพวกนี้ยากจน หิวโหย และถูกสังคมทอดทิ้ง’ นางคิดในใจ ‘พวกเขาเปรียบเสมือนกระดาษเปล่าที่พร้อมจะถูกแต่งแต้มสีสัน และเป็นเมล็ดพันธุ์ที่รอวันเติบใหญ่’

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๑ เปิดโปงการทุจริต – ๒

    ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๑ เปิดโปงการทุจริต – ๑

    คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๐ หนี้บุญคุณ – ๒

    เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๕๐ หนี้บุญคุณ – ๑

    ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๔๙ คำร้องยามวิกาล – ๒

    หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก

  • คุณหนูสามผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบ   บทที่ ๔๙ คำร้องยามวิกาล – ๑

    ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status