LOGINหลายวันต่อมา หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงของพวกนางยังไม่เป็นที่ผิดสังเกต หยางจิ้งอวี่ก็ตัดสินใจเดินหมากตัวต่อไปบนกระดาน
นางใช้เวลาในช่วงเช้าตรู่เพื่อปลอมตัวอีกครั้งหนึ่ง วันนี้นางสวมบทบาทเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ดูยากจนแต่สะอาดสะอ้าน นางบอกกับพี่สาวและหลานจิงว่าจะออกไปหาซื้อสมุนไพรราคาถูกนอกเมือง ก่อนจะลอบออกจากจวนไปอย่างเงียบเชียบ
จุดหมายของนางในวันนี้ยังคงเป็นย่านคนจนทางทิศตะวันออก ที่ที่กฎหมายของราชสำนักแทบจะไร้ความหมาย และผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด
นางไม่ได้รีบร้อนเข้าไปทำความรู้จักกับกลุ่มเด็กกำพร้าที่หมายตาไว้ แต่กลับเลือกที่จะนั่งลงที่ร้านบะหมี่เล็กๆ ข้างทาง สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามที่รสชาติธรรมดาที่สุด แล้วค่อยๆ กินอย่างเชื่องช้า ขณะที่ดวงตาคมกริบคอยสังเกตการณ์กลุ่มเด็กที่นั่งจับเจ่าอยู่ตรงมุมกำแพงวัดร้างฝั่งตรงข้าม
หัวโจกของกลุ่มยังคงเป็นเด็กชายคนเดิม ‘อาหมิง’ ที่นางได้ยินเด็กคนอื่นๆ เรียกขาน แม้ร่างกายจะผ่ายผอมราวกับกิ่งไม้ แต่แผ่นหลังของเขากลับตั้งตรงอยู่เสมอ
ชายฉกรรจ์สามคนท่าทางเป็นนักเลงเจ้าถิ่นเดินอาดๆ เข้าไปหาพวกเด็กๆ คนพวกนั้นมีร่างกายใหญ่โตราวกับหมี แผ่ไอคุกคามที่น่าหวาดหวั่นออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“พวกหนูสกปรก!” นักเลงหัวหน้ากลุ่มที่ใบหน้ามีรอยบากตวาดเสียงดัง “เงินค่าคุ้มครองของวันนี้อยู่ที่ไหน! รีบส่งมาให้พวกข้าเสียดีๆ!”
เด็กเล็กๆ คนอื่นต่างพากันตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว รีบถอยไปหลบอยู่ด้านหลังของอาหมิง
อาหมิงก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว แม้ความสูงของเขาจะอยู่เพียงแค่ช่วงเอวของนักเลงเหล่านั้นก็ตาม
“พวกเราไม่มีเงินแล้ว เมื่อวานก็เพิ่งจะจ่ายให้พวกท่านไป!”
“หา!” นักเลงคนนั้นถ่มน้ำลายลงพื้น “เงินแค่ไม่กี่อีแปะนั่นน่ะรึ! มันจะไปพอยาไส้พวกข้าได้อย่างไร! ในเมื่อไม่มีเงิน ก็ส่งของที่พวกเจ้าไปขโมยมามาแทนก็ได้!”
“พวกเราไม่ได้ขโมย!” อาหมิงเถียงกลับเสียงแข็ง
“ปากดีนักนะ!” นักเลงอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างรำคาญใจ มันปรี่เข้าไปผลักร่างเล็กๆ ของอาหมิงจนล้มกลิ้งลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะเงื้อเท้าขึ้นหวังจะกระทืบซ้ำ
นางไม่ได้ลุกขึ้นไปขวางตรงๆ แต่นางแสร้งทำเป็นสะดุดขาตนเองขณะที่กำลังจะลุกไปจ่ายเงินพอดี ถ้วยบะหมี่ร้อนๆ ในมือของนางจึงบังเอิญเอียงและสาดน้ำซุปร้อนๆ ทั้งหมดไปที่หลังมือของนักเลงคนนั้นอย่างแม่นยำ
“โอ๊ย! ร้อน! ใครมันทำวะ!” นักเลงคนนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พลางสะบัดมือไปมา
จิ้งอวี่รีบทำเป็นลนลานเข้าไปขอโทษ “ขออภัยขอรับพี่ชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ! พอดีพื้นมันลื่น...”
นักเลงหัวหน้ากลุ่มหันมามองด้วยสายตาหาเรื่อง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มผอมบางที่ดูอ่อนแอไร้พิษสง ความโกรธก็แปรเปลี่ยนเป็นความดูแคลน
“ไสหัวไปให้พ้น! เกะกะลูกตา!”
ทว่าจิ้งอวี่กลับไม่ยอมไปไหน นางหันไปมองอาหมิงที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเอ่ยกับเหล่านักเลงด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยอย่างน่าประหลาด
“พี่ชายทุกท่านมีอะไรกันหรือ? มาลงไม้ลงมือกับเด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าเป็นการขายหน้าไปหน่อยหรือขอรับ?”
“เจ้า!” นักเลงที่ถูกน้ำร้อนลวกกำลังจะพุ่งเข้ามา แต่หัวหน้ากลุ่มกลับยกมือขวางไว้ สายตาของมันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจิ้งอวี่ ดวงตาที่ดูเรียบเฉยคู่นั้นมันกลับให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นจนน่าขนลุก
คนฉลาดย่อมไม่หาเรื่องใส่ตัว สัญชาตญาณบอกมันว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา
“ช่างมันเถอะ! ไป!” มันตัดสินใจตัดปัญหา สั่งให้ลูกน้องล่าถอยไปอย่างหัวเสีย
เด็กๆ ทุกคนยังคงอยู่ในอาการตื่นกลัว มีเพียงอาหมิงที่จ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
จิ้งอวี่เดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ “ลุกขึ้นไหวหรือไม่?” นางเอ่ยถามเรียบๆ
อาหมิงกลับปัดฝุ่นลุกขึ้นยืนเองอย่างดื้อรั้น “ไม่ต้องมายุ่ง! ท่านต้องการอะไรกันแน่!” ที่ผ่านมามักไม่มีใครให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
จิ้งอวี่กลับไม่โกรธ นางเพียงยิ้มบางๆ “ข้าเห็นว่าเจ้ากล้าหาญดี และข้าก็ไม่ชอบเห็นคนถูกรังแก” นางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แต่สิ่งที่นางหยิบออกมากลับไม่ใช่เงิน แต่เป็นห่อผ้าเล็กๆ ที่นางซื้อเตรียมไว้แล้ว
นางคลี่ห่อผ้านั้นออก เผยให้เห็นหมั่นโถวร้อนๆ ที่ยังคงส่งไอกรุ่นอยู่ถึงห้าลูก กลิ่นหอมของแป้งสาลีลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ทำให้เด็กๆ ทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก
“ข้ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง พวกเจ้าคงจะหิวเหมือนกัน” นางกล่าวราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “มากินด้วยกันสิ”
นางไม่ได้ยื่นให้ แต่กลับวางห่อหมั่นโถวลงบนพื้นหินที่สะอาดที่สุด เป็นการเว้นระยะห่างและให้เกียรติ
เด็กคนอื่นๆ มองหน้าอาหมิงเป็นเชิงขออนุญาต
อาหมิงจ้องมองใบหน้าที่ดูธรรมดาของนางสลับกับหมั่นโถวที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน เขาพยักหน้าเบาๆ เพียงครั้งเดียว เด็กๆ ก็กรูกันเข้าไปหยิบหมั่นโถวไปกินอย่างหิวกระหายทันที
อาหมิงหยิบหมั่นโถวลูกสุดท้ายขึ้นมากัดกินอย่างช้าๆ แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่จิ้งอวี่ไม่วางตา
จิ้งอวี่เพียงยิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรอีก นางรอจนกระทั่งทุกคนกินเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า
“พรุ่งนี้ยามนี้... ที่นี่... ข้าจะมาอีก”
นางกล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน ทิ้งให้กลุ่มเด็กกำพร้ามองตามแผ่นหลังของนางไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
วันแล้ววันเล่า หยางจิ้งอวี่ในคราบของชายหนุ่มยังคงแวะเวียนมาที่ตรอกวัดร้างแห่งนั้นในยามเที่ยงตรงไม่เคยขาด
นางไม่ได้มามือเปล่า ในมือนางมักจะมีห่อหมั่นโถวร้อนๆ หรือบางครั้งก็เป็นเนื้อแห้งชิ้นเล็กๆ ติดมาด้วยเสมอ นางไม่เคยพูดมาก ไม่เคยซักถามความเป็นมาของเด็กๆ ทำเพียงแค่นั่งลงเงียบๆ แบ่งปันอาหารให้ แล้วจากไปเมื่อถึงเวลา ความสม่ำเสมอและความเงียบขรึมของนางได้ค่อยๆ ทำลายความหวาดระแวงของเหล่าเด็กจรจัดลงทีละน้อย
พวกเขาเริ่มคุ้นชินกับการมาถึงของบุรุษหนุ่มผู้ลึกลับคนนี้ และเริ่มมองว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่โหดร้ายของตนเอง
โดยเฉพาะอาหมิง . . .
หลังจากวันที่จิ้งอวี่ช่วยเขาไว้ เขาก็ลอบสังเกตชายหนุ่มคนนี้มาตลอด เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความปรารถนาใดๆ ที่เด่นชัด ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจความสกปรกของพวกเขา และไม่ได้มองพวกเขาด้วยสายตาสมเพชเวทนาเหมือนคนอื่นๆ
จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป วันนี้จิ้งอวี่ไม่ได้นำเพียงหมั่นโถวมาเท่านั้น แต่ยังมีขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กๆ ติดมือมาด้วย
หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มแล้ว จิ้งอวี่ก็กวักมือเรียกอาหมิงให้เข้าไปหา “รอยฟกช้ำที่มุมปากเจ้ายังไม่หายดี” นางกล่าวเรียบๆ “ในนี้เป็นยา ทาเสียจะได้หายเร็วขึ้น”
อาหมิงชะงักไปเล็กน้อย เขามองยาในมือนางสลับกับมองใบหน้าเรียบเฉยนั้น ก่อนจะยอมรับขวดยามาถือไว้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนแสดงความห่วงใยเขา
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศสุกงอมได้ที่แล้ว จิ้งอวี่จึงตัดสินใจเข้าเรื่อง
“พวกเจ้า... อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้หรือไม่?”
คำถามของนางทำให้เด็กทุกคนที่กำลังจะแยกย้ายกันไปต้องหยุดชะงัก พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะหันไปมองอาหมิงเป็นตาเดียว
อาหมิงหรี่ตามองนางอย่างไม่ไว้ใจ “ชีวิตที่ดีกว่า? ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านจะรับเลี้ยงพวกเราหรือ?”
“ข้าไม่สามารถรับเลี้ยงพวกเจ้าได้” จิ้งอวี่ส่ายหน้าช้าๆ “แต่ข้าสามารถให้โอกาสพวกเจ้าได้”
นางเน้นย้ำคำว่าโอกาสอย่างชัดเจน “โอกาสที่จะได้กินอิ่มทุกวัน โอกาสที่จะมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ในฤดูหนาว และโอกาสที่จะไม่ต้องถูกใครหน้าไหนมารังแกอีก”
อาหมิงยังคงระแวดระวัง “โอกาสที่ว่า ต้องแลกกับอะไร?” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
“แลกกับความภักดี และดวงตากับหูของพวกเจ้า” จิ้งอวี่ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาไม่แพ้กัน “ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาให้ข้า แลกกับการที่พวกเจ้าจะไม่ต้องทนหิวอีก”
นางไม่ได้เสนอเงินทองให้เปล่าๆ เพราะนั่นเป็นเพียงการช่วยเหลือชั่วคราว แต่สิ่งที่นางกำลังเสนอคือการสอนให้พวกเขารู้จักวิธีหาปลาด้วยตนเอง ดั่งคำกล่าวที่ว่าให้ปลาหนึ่งตัว สู้สอนวิธีจับปลาไม่ได้๑
อาหมิงขมวดคิ้ว “เป็นหูเป็นตาหรือ ท่านต้องการให้พวกเราทำอะไรกันแน่ สอดแนมรึ?”
“จะเรียกเช่นนั้นก็ได้” จิ้งอวี่ยอมรับ “แต่มันไม่ใช่เรื่องอันตรายอย่างที่พวกเจ้าคิด”
นางเห็นแววลังเลและตื่นเต้นในดวงตาของเด็กๆ
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะให้พวกเจ้าลองทำงานชิ้นแรก” นางชี้ไปยังโรงเตี๊ยมขนาดกลางที่อยู่หัวมุมถนน “โรงเตี๊ยมนั่นชื่อจุ้ยเยว่ ภารกิจของพวกเจ้าในวันนี้คือ... จงไปเฝ้าดูแล้วกลับมาบอกข้าว่า ตั้งแต่ยามเว่ย๒ จนถึงยามเซิน๓ มีรถม้ากี่คันที่มาจอดหน้าร้าน เป็นรถม้าแบบใด มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลใดบ้าง”
เป็นงานที่เรียบง่ายและไม่เสี่ยงอันตรายเลยแม้แต่น้อย
“เวลาที่พวกเจ้าไปนั่งขอทานตามที่ต่างๆ อย่าเพียงแค่ก้มหน้ามองพื้น” นางสอนต่อ “จงเงี่ยหูฟังว่าพ่อค้าในตลาดพูดคุยเรื่องอะไร ราคาข้าวสารตอนนี้เป็นอย่างไร ขุนนางคนไหนแวะมาดื่มชาที่โรงน้ำชาบ้าง ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สำหรับข้าแล้ว มันมีค่ามากกว่าเงินทองเสียอีก”
“สิ่งที่พวกเจ้าเห็นและได้ยินทั้งหมด จงจดจำมันไว้ แล้วกลับมาเล่าให้ข้าฟังที่นี่ในวันพรุ่งนี้” จิ้งอวี่กล่าวสรุป “ใครที่ให้ข้อมูลได้ละเอียดและมีประโยชน์ที่สุด จะมีรางวัลพิเศษให้”
อาหมิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจิ้งอวี่ เขามองไม่เห็นความหลอกลวงใดๆ เห็นเพียงความเยือกเย็นและความมั่นใจอันแรงกล้า ซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
“ตกลง พวกเราจะลองดู”
หยางจิ้งอวี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
นางมองดูกลุ่มเด็กกำพร้าที่บัดนี้ไม่ได้มีแววตาที่สิ้นหวัง แต่กลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
___________
๒ยามเว่ย คือช่วงระยะเวลา 13.00-15.00 นาฬิกา
๓ยามเซิน คือช่วงระยะเวลา 15.00-17.00 นาฬิกา
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ







