จางหมิ่นในร่างของสาวน้อยหลินเฟิงนั่งพินิจดอกบัวและสระบัวอยู่ครู่ใหญ่ราวๆหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้พลันก็หมุนเม็ดบัวรสฝาดไปมาในมือเรียวยาว
"เม็ดบัวนี้ดูเหี่ยวเร็วจังทั้งๆที่พึ่งเด็ดขึ้นมา"
ร่างบางพึมพำก่อนที่ฟันซี่สวยจะค่อยๆบรรจงลงที่เนื้อเม็ดบัวอีกครา มันมีรสชาติดีขึ้นนิดหน่อยดีบัวก็ไม่ขมมากเหมาะยิ่งกับการนำไปทำอาหาร
หากแต่ทว่าเม็ดบัวนี้คงมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์สูงในน้ำเนื่องจากแดดร้อนและสภาพอากาศที่แห้งแล้งแต่ก็ดูขัดแย้งที่สระน้ำแห้งนี้น้ำใสอีกทั้งดอกบัวยังบานสะพรั่งเต็มสระอีก
"คนเขียนนิยายเล่มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้สร้างให้ออกมาย้อนแย้งขนาดนี้"
เธอไม่ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวมือเรียวของเธอยื่นไปคว้าก้านใบบัวก้านหนึ่งและหักมัน'แกร๊ก'ใบบัวก้านนั้นถูกมือเรียวยาวหักพลันสอดส่องดูในข้อต่อที่ถูกหักเมื่อสักครู่อย่างใคร่รู้ใคร่เห็น
และสิ่งที่เธอได้พบก็เป็นที่น่ายินดีและประหลาดใจนักเหตุเพราะก้านบัวทั่วไปหากถูกหักจะมีใยๆคล้ายคลึงกับใยแมงมุมบางๆยาว
แต่หากสิ่งที่เธอพบคือในใยบัวเป็นช่องลึกโหลมีเนื้อหุ้มขาวๆเป็นเส้นอยู่รอบภายในก้านของใบเบาอย่างสม่ำเสมอและยาวสั้นเท่าๆ กันเพียงแต่ภายนอกของก้านบัวไม่ได้ปูดโปนตามเส้นที่ถูกตรึงอยู่ภายในแต่อย่างใด
เส้นนี้คงมีไว้ลำเลียงน้ำขึ้นไปเลี้ยงใบแต่เหตุใดจึงได้เป็นเส้นไม่ใช่ว่าเป็นรูๆเหมือนรูจมูกหลายๆ อันมีมัดๆ รวมกันหรอกหรือ?
ด้วยความสงสัยที่ยังไม่หมดไปจางหมิ่นก็พยายามที่จะหาเหตุผลมายืนยันสิ่งที่เป็นไปในระแวกนี้ว่าเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้
"แม่นางเหตุใดท่านจึงไปนั่งอยู่ข้างริมน้ำเช่นนั้นหากพลัดตกลงไปหัวทิ่มในน้ำเป็นพิษร้ายแรงเช่นนั้นถึงตายเลยนะ แม่นางรีบขึ้นมาเสียเถิด"
เสียงหญิงแก่ๆ ถือไม้เท้ายืนอยู่อีกฟากของสระบัวหญิงคนนั้นแม้นจะมาเตือนแต่กลับมีท่าทีไม่น่าไว้ใจดวงตาดูดุกร้าว ผิวเนื้อหุ้มกระดูก สวมเสื้อเก่าๆราวกับไม่เคยได้ซักมาหลายปี อีกทั้งยังเปื่อยขาดรุ่ยราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลาย 'ศตวรรต'
เธอหมุนตัวมองพลันลุกพลวดอย่างรวดเร็วขาเกือบจะพลาดร่วงลงไปในสระบัวแล้วแต่ก็มีมือหนึ่งมาฉุดหญิงสาวเอาไว้
"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?"
ทันทีที่จางหมิ่นประคองร่างของหลินเฟิงให้ยึดได้แม้ไม่มั่นคงมือของชายผู้นั้นก็ปล่อยจากเธออย่างไร้ปรานีสาวน้อยเกือบหงายหลังร่วงลงสระบัวไปอีกคราก่อนจะทันได้เห็นหน้าบุรุษผู้นั้นชัดเจนเสียอีก
แววตานุ่มลึกเฉียบคมของชายผู้นั้นจ้องมาที่เธอราวกับไม่กินเส้น มันเหมือนพยายามหั่นเธอให้กลายเป็นชิ้นเนื้อหากเธอเผลอขยับตัว
"ข้า.. ข้ามา.. ข้ามานั่งเล่น"เธอตอบไปและยังคงแทนตนด้วยคำว่า'ข้า'อย่างที่เคยใช้แทนกับเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้แต่ชายผู้นี้อายุราวๆ18แล้วไม่ใช่หนุ่มน้อย13-14ปี ยิ่งร่างกายกำยำไม่ได้ดูผอมเกร็งเก้งก้างราวๆกับคนขาดสารอาหารแต่หากออกกำลังกายบ่อยๆ
อยู่ในชุดที่เก่าปอนถูกเย็บปะจนไม่สามารถบอกได้ว่าเนื้อผ้าเดิมเป็นเช่นไรแต่พอจะดูจากเคล้าโคลงชุดก็พอจะนึกได้ว่าเป็นฮั่นฝูแบบดั้งเดิม
"คงจะเป็นเจี้ยนหยีสินะแต่ทำไมดูรังเกียจหลินเฟิงราวกับว่าเธอเป็นเชื้อโรคโควิดก็ไม่ปาน"จางหมิ่นคิดทบทวนแต่อากาศแห้งแล้งกันดารขนาดนี้เชื้อโควิดคงอยู่ไม่ได้
หญิงสาวร่าางบางยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเจื่อนๆเธอทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนสายตาคู่นั้นจ้องมองดูเหมือนว่าหัวใจเธอจะเต้นเสียแล้ว
"ฉันต้องทำยังไงคำนับเหรอ.. รึ.."
ในใจของจางหมิ่นเริ่มอยู่ไม่สุขเเละออกอาการลนลานเพื่อที่จะออกจากสถานการณ์อึดอัดนี้แต่หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าควรจะออกมายังไงดีในเมื่อสายตาของชายหนุ่มปล่อยรังสีอาฆาตออกมาเต็มบรรยากาศ
เหงื่อเธอตกจากอาการกังวลสาวน้อยจางหมิ่นมักจะรู้สึกประหม่าหากเธอโดนจ้องมองตัวอีกฝ่ายก็เหมือนจะสังเกตเห็น
"ประหม่าทำไมเจ้ากับข้าไม่ได้เจอกันครั้งแรกสักหน่อย"เสียงชายหนุ่มตรงหน้าพูดอย่างคาดโทษเธอแต่เธอตัดปัญหาด้วยการนั่งลงริมสระบัวดังเดิม
"เจ้าหูหนวกรึไงข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ"
"ไม่ได้หูหนวกแต่คุณพูดอะไรต้องการอะไรฉันไม่รู้เรื่อง" แย่ละหลุดพูดภาษายุคเราสะอย่างนั้นทำไงดีเจี้ยนหยีเป็นคนฉลาดเขาต้องสงสัยเป็นแน่ จางหมิ่นที่ตอนนี้ทุกคนเห็นเธอในรูปหน้าตาของหลินเฟิงก็ยกมือขึ้นทาบริมฝีปาก
มือหนาของชายหนุ่มชุดจีนหน้างามคว้าหมับเข้าแขนของเธออย่างแรงและเขาเริ่มออกแรงบีบจางหมิ่นรู้สึกเหมือนกับกระดูกของหลินเฟิงกำลังจะแตกร้าว
"สู้เลยเจ้าห้ามยอมแพ้นะ"เสียงเล็กๆดังขึ้นในห้วงความคิดของเธอ แต่เดี๋ยวก่อนเธอจะสู้ยังไงในเมื่อเธอไม่มีอาวุธหรือใดๆเลย
ในขณะที่เธอเอาแต่คิดไม่ลงมือทำอะไรเสียทีน้ำตาเม็ดใสๆค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเอ่อล้นดวงตาคู่งามนุ่มลึกราวท้องสมุทร
มือหนาสะบัดมือเรียวออกอย่างไม่ไยดีจนเธอเกือบจะหงายหลังลงไปที่สระบัวปริศนาด้านหลังของเธอ
"ท่านพ่อให้ข้ามาตามเจ้าไปกินข้าวหน้าเช่นนี้ปล่อยให้อดตายเสียก็ดีกินไปก็เปลืองเนื้อกระต่ายเปลืองผักเปลืองหญ้าเสียเปล่า"
หลังพูดจบชายที่จางหมิ่นคิดว่าคงเป็นเจี้ยนหยีก็สะบัดชายผ้าเก่าๆหันหลังย่างก้าวกลับไปทันที ตัวเธอเองก็คงต้องเดินตามเขาไปก่อนนั่นแหละ
จางหมิ่นเงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจก่อนจะก้าวย่างตามเขาไปพบชายแก่ดูมีอายุจางหนวดเคราอีกทั้งเส้นผมสีเงินตลอดทั่วหนังหัว รอยย่นบนใบหน้าที่เกิดจากความตึงเครียดมากกว่าความแก่ปรากฏชัดเจน
อีกทั้งขนาบสองข้างของชายวัยชราก็มีเด็กหนุ่มที่จางหมิ่นเห็นก่อนหน้านี้รวมถึงเด็กสาวด้วยที่นั่งอยู่ข้างๆชายสูงวัยอีกฝั่งกับเด็กหนุ่มคนนั้น
จางหมิ่นค่อยๆยื่นก้นนั่งลงบนขอนไม้ที่ถูกนำมาเป็นเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งกินข้าว
สายตาของเธอพลันเหลือบมองอาหารบนโต๊ะก็คลายสงสัยทันทีว่าเหตุใดร่างกายของแต่ละคนในครอบครัวนี้จึงได้ซูบผอมแห้งกรังราวกับคนขี้โรค
"อาหารเหล่านี้กินไม่ได้คุณค่าทางโภชนาการต่ำมากๆ และเห็ดป่าชนิดนี้ก็กินไม่ได้มันเป็นพิษหากกินเข้าไปบ่อยๆพิษก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดภาวะหลายอย่างตามมาอย่างเช่นภาวะหัวใจล้มเหลว ที่ถึงตายได้เลย"
จางหมิ่นที่ทุกคนเห็นเป็นหลินเฟิงอธิบายเสียงใสแต่สี่พ่อลูกก็มองหน้ากันอย่าง งงงวย
"เจ้ากล่าวว่าอันใดนะแต่มันก็คืออาหารที่ยื้อชีวิตเจ้ามาทุกวันแล้วเหตุใดมาบอกว่ามีพิษ?"
เสียงชายแก่ผมเงินรุงรังแต่งตัวดูสกปรกถามหญิงสาวกลับมาเพราะเขาฟังไม่รู้เรื่องคำที่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจเห็นแต่จับใจความได้เพียงแค่ว่า'อาหารมีพิษ'
"ใช่ไหมเจ้าคะท่าพ่อนางต้องเป็นผีแน่ๆเลยท่านพ่อข้าฉลาดที่สุดนางกลับแสร้งรู้"
เสียงเด็กสาวที่นั่งข้างๆพูดจาเห็นดีเห็นงามประจบพ่อของตนเพื่อให้ตนได้ไปเที่ยวเล่นอย่างเช่นที่ตนขอพ่อไว้ก่อนหน้านี้
"จื่อรุ่ยหยุดเลียขาข้าได้แล้วยังไงข้าก็ไม่ให้เจ้าไป"
หลังจากที่ชายสูงวัยผอมเนื้อติดกระดูกพูดจบหญิงสาวก็ทำหน้าเง้างอนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่
"ท่านพ่อรู้ด้วยเหรอเจ้าคะว่าข้าเลียขา"
เด็กสาวถามเสียงพึมพำแต่ชายเครายาวรุงรังเพียงแต่ส่ายหัวเบาๆจากการเอือมระอาลูกสาวของตนอย่างหนักใจเห็นจะมีเพียงเจี้ยนหยีที่นั่งคีบผักกินเงียบๆไม่พูดไม่จา
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม