ริศาเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอ่ยทักทาย เขาเป็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีส่วนสูงพอๆกันกับราม ถัดไปอีกนิดก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆพอๆกับเธอแต่อาจจะสูงกว่านิดหน่อย เธอคุ้นๆหน้าผู้ชายคนนี้อยู่บ้างจึงพอเดาได้ว่าคงเป็นเพื่อนกันกับรามอีกคน
“พี่ชื่อเพทายครับเป็นเพื่อนของราม เราเคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนจำได้ไหม” คนมาใหม่แนะนำตัวพร้อมกับยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ ริศาจำใครไม่ค่อยได้เลยค่ะแต่ก็คุ้นๆหน้าอยู่ ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันนานแล้วและเราก็ยังไม่เคยพูดคุยกันด้วย” เพทายยิ้มบอกอย่างไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะหันไปพูดกับผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เธออยู่เป็นเพื่อนน้องริศานี่แหละเดี๋ยวฉันมา” บอกกับผู้หญิงอีกคนเสร็จเพทายก็หันมายิ้มให้ริศาอีกครั้งและเดินไปหากลุ่มผู้ชายที่กำลังทำงานกันอยู่
“เราชื่อกอหญ้านะ ขอนั่งด้วยคน” ผู้หญิงที่มากับเพทายเอ่ยแนะนำตัวเองพลางขยับตัวเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่
“เธอชื่อริศาเหรอ” น้ำเสียงหวานๆเอ่ยชวนริศาคุยพร้อมส่งยิ้มตาหยีอย่างเป็นมิตร
“ใช่จ้ะ เราชื่อริศา”
“เป็นแฟนคุณรามเหรอ”
“หือ? เอ่อ”
“ไม่ใช่แฟนสิ เขาเรียกคู่หมั้นเนาะ”
“เธอรู้ได้ไง”
“พอรู้มาบ้าง ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยงานคุณเพทายบ่อยๆได้ยินเขาคุยกัน” พอเห็นริศาทำหน้างงๆกอหญ้าจึงรีบอธิบายพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีน่ารักให้อีกครั้ง ทำให้ริศาต้องพลอยยิ้มตามไปด้วย
“อ๋อ แบบนั้นเอง แล้วเธอกับพี่เพทายเป็น…”
“ฉันเป็นเด็กที่ครอบครัวคุณเพทายรับอุปการะไว้น่ะ” อีกคนตอบอย่างไม่ต้องรอให้ริศาสงสัยอีก
“อื้ม! แล้วกอหญ้าอายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน”
“ฉันอายุ20 เรียนปี2มหาลัยS”
“อ้าว! มหาลัยเดียวกันเลย เธออยู่คณะอะไร”
“ฉันเรียนบริหาร แล้วเธอล่ะ”
“ฉันเรียนนิเทศ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะริศา”
“ยินดีเหมือนกัน กอหญ้า” ทั้งสองต่างแนะนำตัวเองและยิ้มให้กันอย่างดูเป็นมิตร ก่อนจะชวนกันคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปด้วยระหว่างนั่งรอคนทำงาน กระทั่งเวลาเลยผ่านไปนานหลายชั่วโมง ทางคนที่ให้รอก็คุยงานกันเสร็จ
“พวกมึงไปไหนกันต่อไหม” เสือถามเพื่อนทั้งสองหลังจากที่คร่ำเคร่งทำงานกันมาทั้งวันแล้ว
“วันนี้กูเข้าบ้าน” เพทายกล่าว
“แล้วมึงล่ะราม”
“วันนี้กูเข้าไปนอนคอนโด เดี๋ยวพรุ่งนี้มาแต่เช้าแล้วกัน”
“อ้าว! นี่กูต้องอยู่นี่คนเดียวเหรอเนี่ย เหงานะเว้ย” เพลย์บอยหนุ่มหน้าหล่อทำเป็นหน้าเซ็งทั้งที่รู้ว่าเพื่อนมีธุระออกไปที่อื่นกันอยู่แล้วแต่ก็แกล้งถาม
“ไม่ต้องมาทำบอกเหงาปกติมึงก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนประจำอยู่แล้วไหมเสือ” เพทายรู้ทันก็ไม่วายพูดแซะเพื่อน
“หึ! เออๆ ไปทำธุระของพวกมึงเถอะ กูไปล่ะวันนี้เหนื่อยไม่มีอารมณ์หาใครมานอนเป็นเพื่อนหรอกว่ะ” ว่าแล้วเสือก็เดินแยกกลับห้องพักที่อยู่ภายในสนามแข่งนี้ของตัวเองไป โดยที่ก่อนไปก็ไม่ลืมหันไปยิ้มให้กับผู้หญิงทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“งั้นกูก็ไปล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” เพทายบอกกับรามและเดินออกไปอีกคนโดยที่มีกอหญ้าเดินถือของที่ชายหนุ่มส่งให้ถือเดินตามไปติดๆเช่นกัน เหลือไว้แค่เพียงริศาที่ยังคงนั่งอยู่และรามที่ยืนมองเธอ… เขามองเธอนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“จะกลับไหม” กว่าจะมีคำพูดอะไรออกมาจากปากเขาได้เล่นเอาริศาทำตัวแทบจะไม่ถูกเพราะกลัวว่าเขาจะมองเธอเป็นภาระที่ต้องพากลับไปส่ง ทั้งที่ไม่ใช่คนพามา
“คะ…กะ กลับค่ะ”
“ก็ลุกสิ มัวนั่งทำอะไรอยู่”
รามเดินนำริศามาที่รถของตัวเองและพาเธอขับออกไปเพื่อจะไปส่งยังหอพัก ทว่าระหว่างทางที่ขับมาก็นึกอะไรขึ้นได้ วันนี้ทั้งวันเขาแทบจะไม่ได้ทานอะไรเลย
“จะกินอะไร” อยู่ๆเสียงเรียบก็เอ่ยถามขึ้นทำให้ริศาที่ได้ยินก็ทำหน้างุนงง
“คะ?”
“หูตึงหรือไง ฉันถามว่าจะกินอะไร” คนไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆทำหน้าหงุดหงิด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวริศาไปทานที่หอพักทีเดียวค่ะ” ริศาบอกกลับไปด้วยความรู้สึกเกรงใจและยังเกร็งๆเวลาที่อยู่กับเขาสองคน รามจึงไม่ถามอะไรต่อแต่ก็ยังไม่ได้ขับไปส่งเธอที่หอพักอย่างที่เธอต้องการ
เอี๊ยด~~
เขากลับขับรถพาเธอเข้ามาจอดยังร้านอาหารเล็กๆที่หนึ่ง…
“ฉันหิว” รามเอ่ยเสียงเรียบไม่รอให้คนด้านข้างต้องสงสัย
“ลง” จากนั้นก็ออกคำสั่งก่อนจะเปิดประตูรถและเดินนำเธอเข้าไปในร้านอาหาร ริศาที่เห็นคนตัวสูงเดินจ้ำไปแล้วก็เดินตามไปติดๆด้วยเช่นกัน
“จะกินอะไรก็สั่ง” รามยื่นเมนูอาหารไปตรงหน้าริศา หญิงสาวจึงรับมาโดยที่ก็ไม่อยากขัดใจอีกคน เธอพอจะรู้ว่ารามเป็นคนยังไง เขาไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆหรือถามอะไรใครบ่อยๆ ในเมื่อเขาบอกว่าตัวเองหิวเธอก็จะนั่งกินเป็นเพื่อนเขาไปโดยไม่พูดอะไร จะว่าไปอีกนัยหนึ่งเธอก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันที่จะได้นั่งกินข้าวกับเขาสองคน
ทั้งรามและริศานั่งทานอาหารกันไปโดยที่ไม่มีใครพูดหรือชวนคุยอะไรออกมา จนกระทั่งทั้งคู่ทานอิ่มแล้ว รามจึงได้ขับรถพาเธอมาส่งถึงหน้าหอพัก
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งริศา” เธอหันบอกกับคนหน้านิ่งพลางจะเปิดประตูจะลงจากรถ
“เดี๋ยว” ทว่ารามก็เอื้อมมือคว้าแขนเล็กเธอไว้ ริศาจึงมองดูมือแกร่งที่จับเธอไว้อยู่นั้นด้วยหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติ
“คะ”
“พรุ่งนี้เธอว่างกี่โมง”
“พี่รามมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันถามให้เธอตอบ ไม่ใช่ให้ถามกลับ” คนขี้หงุดหงิดยังคงชอบทำหน้าดุใส่เธอ
“พรุ่งนี้ริศาไม่มีเรียนค่ะ”
“งั้นตอนบ่ายฉันมารับ”
“…?…” คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าสวยของเธองุนงงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่อยู่ๆเขาก็มาบอกกับเธอแบบนี้ทั้งที่ก่อนนั้น แม้แต่หน้าเธอเขายังไม่ค่อยอยากจะมอง
“ฉันจะมารับไปกินข้าวที่บ้าน”
“ทำไมอยู่ๆพี่…”
“ไม่ต้องถามมาก บ่ายสามพรุ่งนี้เตรียมตัวไว้แล้วกัน”
“ค่ะๆ” ริศาจำต้องพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ยังไม่เข้าใจคู่หมั้นหนุ่มของตัวเองแต่ก็ไม่อยากถามอะไรมาก
“แล้วก็เอาโทรศัพท์เธอมา”
“หือ?”
“งงอะไรของเธอ เอาโทรศัพท์เธอมาต่อไปนี้ฉันจะติดต่อกับเธอเอง ไม่ต้องรอให้แม่เธอหรือแม่ฉันนัดให้ แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรต่อด้วยฉันขี้เกลียดอธิบาย”
“ค่ะ…เข้าใจแล้วค่ะ” ไม่รอให้อีกคนหงุดหงิดไปกว่านี้ริศาก็ควักมือถือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายยื่นส่งให้ทันที เขาจึงรับไปกรอกเบอร์ติดต่อตัวเองลงไปแล้วกดโทรออก พอมีเสียงเรียกเข้าดังที่เครื่องของเขาก็กดวางสายและส่งกลับคืน
“พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันโทรหา” เขาบอกกับเธอด้วยเสียงราบเรียบเหมือนเช่นเคยแต่สายตากลับกวาดมองเธอไปทั่วใบหน้าอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อน ซึ่งปกติเขาแทบจะไม่อยากมองหน้าเธอเลยตั้งแต่แม่ของเขาจะให้หมั้นกัน พอหมั้นกันแล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่แม้แต่จะคุยด้วยยังไม่อยากคุย
“ดูๆไปเธอก็…” รามยังคงจ้องมองที่ใบหน้าของเธอแต่ที่มากกว่านั้นคือเขาโน้มตัวเองลงมาใกล้เธอเรื่อยๆ จนทำให้ริศานั่งเกร็งตัวแข็งไปหมดไม่กล้าที่จะขยับแม้แต่นิดเดียว
“พะ…พี่ราม”
“ทำไมถึงยอมหมั้นกับฉัน” ปากหนาเอ่ยถามในขณะที่ยังคงขยับเข้ามาใกล้ๆจนปลายจมูกชิดกัน ลมหายใจอุ่นๆที่รินลดลงมายังใบหน้าสวยยิ่งทำให้คนตัวเล็กหัวใจเต้นแรงจนมันแทบจะกระเด็นหลุดออกมาเสียให้ได้
“…”
“ตอบ” เขายังคงเค้นเอาคำตอบ
“คือ…เอ่อ…เพราะป้ากนกมีพระคุณกับริศาค่ะ” เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆเพราะความตื่นเต้นที่ถูกเขาเอาหน้าเข้ามาใกล้มากขนาดนี้ มันใกล้กว่าตอนที่อยู่ในร้านเหล้าวันนั้นเสียอีก
“ถ้าแค่นั้นแล้วทำไมต้องใจเต้นแรง” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้คล้ายอยากจะต้อนให้เธอจนมุมเพื่ออะไรสักอย่าง
“เปล่านะคะ ริศาไม่ได้ใจเต้นแรงสักหน่อย”
“งั้นเหรอ แล้วนี่อะไร”
“พี่ราม!” เธอเผลอเรียกชื่ออีกคนเสียงดังด้วยความตกใจเพราะเขาเล่นเอามือตัวเองมาวางไว้ตรงอกข้างซ้ายของเธอ และด้วยความใหญ่ของมือหนาทำให้บางส่วนเฉียดโดนที่เนินอกนุ่ม ไม่เพียงแค่นั้นเขายังใช้มืออีกข้างตวัดโอบรอบเอวบางของเธอไว้อีกด้วย
“ปล่อยริศาก่อนค่ะพี่ราม” มือเล็กพยายามดันเขาให้ออกห่าง
“ทำไมล่ะ เป็นคู่หมั้นกันไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่…”
“มีแต่คนบอกให้ฉันลองเปิดใจให้เธอ”
“…”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอมีดีอะไร พวกนั้นถึงเชียร์เธอนัก”
“…”
“แต่ที่แน่ๆ ฉันก็ว่ากลิ่นตัวเธอก็หอมดี” รามใช้ปลายจมูกของตัวเองแตะลงที่แก้มนวลของเธอเบาๆ ทำให้คนตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับว่ามีไข้ขึ้นสูง อาการวูบไปวูบมาคล้ายจะเป็นลมให้ได้ เธอต้องตายแน่ๆถ้าหากว่ายังถูกเขาแกล้งอยู่แบบนี้ แต่ก่อนที่เธอจะเป็นลมลงไปจริงๆนั้น…
“ลงไปได้แล้ว”
“คะ?” คนที่ถูกเหมือนกระชากความรู้สึกไปกระชากความรู้สึกมามึนงงไปหมด
“จะไม่ขึ้นห้องตัวเองไปหรือไง”
“อะ อ๋อค่ะ ไปแล้วค่ะ” ริศาพยายามควบคุมสติตัวเองที่เตลิดไปไกลพอสมควรให้กลับมาเข้าที่และรีบเปิดประตูรถลงไป คนตัวเล็กไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเขาอีกครั้งเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นหน้าแดงๆที่เขินอายของเธอ จึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปในหอพักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“หึ!” รามที่นั่งมองท่าทางเหล่านั้นอยู่ในรถก็รู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูก ปกติเวลาเห็นเธอพูดคุยกับแม่เขาหรือคนในครอบครัวของเขา เขาเองก็จะรู้สึกว่าท่าทางเธอมันช่างติ๋มๆหงิ๋มๆจนหน้ารำคาญ แต่พอได้มาลองพูดคุยกับเธอแบบจริงจังดูบ้างมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นในความรู้สึกของเขา จะมีหงุดหงิดบ้างก็ตรงที่เธอชอบให้เขาทวนคำพูดตัวเองบ่อยๆ
รามนั่งมองริศาอยู่ในรถสักพักจนกระทั่งคนตัวเล็กเดินหายเข้าไปในหอพักแล้วนั้น เขาจึงได้ขับรถกลับออกไป
ห้องพักริศา…
ตึกตัก~ ตึกตัก~
เสียงหัวใจดวงน้อยๆของคนตัวเล็กยังคงเต้นดังโครมครามอยู่ไม่หายแม้ว่าจะขึ้นมาถึงบนห้องได้สักพักแล้วก็ตาม เธอไม่อาจหยุดนึกถึงช่วงวินาทีนั้นที่เขาใช้ปลายจมูกแตะลงบนแก้มเธอได้เลย ถึงมันจะไม่ใช่การหอมแก้มแบบสูดดมแต่ทว่ามันก็ทำให้คนที่ถูกทำแบบนั้นขนลุกไปได้ทั้งตัว ยิ่งเธอที่มีใจให้เขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ยิ่งนึกถึง…ก็ยิ่งใจสั่น
“ทำบ้าอะไรของพี่เขาเนี่ย” ริมฝีปากเรียวบางบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอามือจับแก้มลูบไปมาอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับความรู้สึกมีความสุขแปลกๆในตอนนี้
“พอๆริศา คิดอะไรไปไกลเกินแล้วนะ” แต่ก็ยังไม่วายห้ามปรามความคิดหลงตัวเองไว้ ตอนนี้เธออาจจะมีความสุข แต่ใครจะไปรู้ที่เขาทำในวันนี้อาจจะแค่อยากแกล้งเธอเล่นๆก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นแล้วเธอจะต้องเผื่อใจเอาไว้บ้างเป็นดีที่สุด เธอไม่อยากหน้าแตกทีหลังเพราะคิดไปเองว่าเขานั้นก็มีใจให้…
คิดได้มาถึงตรงนี้คนตัวเล็กก็จำต้องสลัดทุกความรู้สึกออกไปและเตรียมตัวพาตัวเองเข้านอน…
สายๆวันต่อมา…
“อื้มม~” ริศาลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงสายๆของอีกวันด้วยใบหน้าที่งัวเงียยังรู้สึกเพลียไม่หาย เมื่อคืนกว่าเธอจะข่มตาให้นอนหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอมีนัดกับใคร ร่างเล็กก็รีบดีดตัวขึ้นจากที่นอนและปรี่เดินเข้าไปยังตู้เสื้อผ้าของตัวเองทันที
“ได้ใส่แล้วสินะ” ชุดเดรสสีชมพูน่ารักที่เธอซื้อมาไว้ในตู้เมื่อเดือนที่แล้วถูกหยิบเอามาทาบขึ้นกับตัว ใบหน้าสวยยิ้มให้กระจกก่อนจะหันซ้ายหันขวาอย่างชอบใจในความสีหวานของชุดซึ่งเป็นสีที่เธอชอบมากที่สุด
ริศามองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเพิ่งจะสิบโมงเช้าแต่รามนัดกับเธอไว้ตอนบ่ายสามเพราะฉะนั้นก็ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงจึงตัดสินใจว่าจะลงไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นร่างเล็กจึงเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนจะออกมาใส่ชุดสบายๆเพื่อลงไปหาอะไรกินแถวๆหอพักของเธอ
อีกด้าน…
รถสปอร์ตคันหรูของรามเลี้ยวเข้ามาจอดภายในหอพักของริศาหลังจากที่เขาเสร็จจากการทำธุระแถวนี้พอดี ด้วยความที่ขี้เกลียดย้อนกลับไปที่คอนโดตัวเองเขาจึงได้ขับรถมาเรื่อยๆกระทั่งมาถึงยังหอพักของคนตัวเล็ก
กรึก! กรึก!
ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะที่พวงมาลัยรถพลางใช้ความคิดว่าจะโทรขึ้นไปหาเธอให้รีบแต่งตัวแล้วตรงไปที่บ้านของเขาเลยดีหรือไม่ หรือว่าเขาควรจะไปที่อื่นก่อนดีแล้วค่อยกลับมารับเธออีกทีเมื่อถึงเวลา…แต่ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดตัดสินใจอยู่นั้น สายตาคมก็เหลือบไปเห็นกับร่างเล็กของใครบางคนที่ดูคุ้นตากำลังเดินออกมาจากตัวหอพัก
ริศาที่อยู่ในชุดอยู่บ้านธรรมดากางเกงขาสั้นกับเสื้อตัวใหญ่โอเวอร์ไซส์ถึงจะดูไม่มีอะไร ทว่าความขาวออร่าบวกกับหน้าตาที่ดูสวยหวานของเธอนั้น ทำให้คนหน้านิ่งที่นั่งอยู่ในรถอดไม่ได้ที่จะหันมองตาม กระทั่งเธอเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่งเขาจึงได้ตัดสินใจลงจากรถและเดินตามเธอไป…อย่างที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะเดินตามไปทำไม…