“เจ้าว่าอะไรนะ!!”
“ท่านตาท่านก็รู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด ข้าเองก็อยากจะพบพี่ใหญ่กับ…ว่าที่คู่หมั้นของข้าเสียหน่อย ในเมื่อจะต้องเป็นว่าที่พระชายาแล้วเหตุใดจะไปไม่ได้”
“เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นอะไร สนามเด็กเล่นหรืออย่างไรไม่เอาน่าเหยาเหยา อย่าให้ตาต้องทำผิดต่อแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเดินทางมาที่นี่นางก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ท่านตาเจ้าคะ หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปถึงอย่างไรข้าก็ต้องแอบไปอยู่ดี”
“นี่เจ้า!!”
“ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนี่เจ้าคะ เลือดของข้ากึ่งหนึ่งมาจากสกุลหมอเทวดา อีกกึ่งหนึ่งเป็นขุนพลกอบกู้แผ่นดิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…แต่ว่าเจ้าจะไปเพิ่มภาระให้พี่ชายเจ้าหรือไม่ เขาจะเป็นห่วงหากรู้ว่า…”
“ท่านก็อย่าบอกพี่ใหญ่สิเจ้าคะ แค่ท่านไม่บอกพวกเขาและส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่าข้าปลอดภัยอยู่ที่จวนท่าน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”
“นี่เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดแผนการนี้มาตั้งแต่ออกจากซีโจวหรอกนะ”
ตงมู่ฟานมองหลานสาวอย่างรู้ทันความคิด เขาเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กเหตุใดจะไม่รู้นิสัยของนาง
“ท่านตา หลานเป็นทายาทของหมอที่เก่งที่สุดในสามแคว้น ท่านจะไม่ให้โอกาสข้าได้ใช้วิชาที่ท่านสอนเลยหรือเจ้าคะ”
“เจ้านะเจ้า คำพูดหว่านล้อมนี่ไปเอามาจากที่ใดนักนะ ฮึ!!”
“เอามาจากท่านอย่างไรเจ้าคะ จะมีผู้ใดเก่งกว่าท่านตาของข้าอีกเจ้าคะ”
“ช่างฉอเลาะนัก ก็ได้ข้ายอมแพ้เจ้าแต่ว่าเจ้าต้องรับปากข้าว่าจะดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะส่งคนไปคุ้มกันเจ้าเงียบ ๆ”
“เจ้าค่ะ ท่านตาข้ารักท่านตาที่สุดเลย”
“หึ จนได้สิน่า”
ตงมู่ฟานหลงกลคำหว่านล้อมของหลานสาวสุดที่รักเสียจนได้ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่กลัวที่ต้องส่งนางไปแต่ก็เหมือนที่มารดาของนางรู้เช่นกัน หลานสาวคนนี้มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นนักรบมีหรือที่นางจะอยู่เฉย ๆ เมื่อรู้ว่าพี่ใหญ่ของนางกำลังมีภัยอยู่ที่นอกเมืองนั่น
วันถัดมา
คณะหมอและยาที่จะเดินทางไปที่ค่ายของท่านอ๋องเตรียมพร้อมตั้งแต่เช้ามืด หลีม่านที่สวมชุดหมอสีอ่อนเดินมาสมทบกับคณะเดินทางที่หน้าจวน ครั้งนี้นางต้องเดินทางไปกับหมอและยาโดยไม่ให้เจียวจูเดินทางไปด้วยเหตุเพราะหากว่าพี่ใหญ่นางเห็นเจียวจูก็จะรู้ทันทีว่านางไปที่นั่น ดังนั้นนางจึงให้เจียวจูอยู่ที่จวนของท่านตา
“เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดจับได้โดยเด็ดขาดเพราะกฎของกองทัพเข้มงวดมากเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านตาข้าทราบแล้ว”
“เช่นนั้นก็รีบเดินทาง คนเจ็บมีจำนวนมากเจ้าต้องพยายามอยู่ใกล้ ๆ พี่ชายของเจ้าเอาไว้ให้ดี”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เดินทางเถอะ ไปถึงมืดมากจะไม่ดี”
“คุณหนูเหตุใดไม่ให้ข้าไปกับท่านด้วยเจ้าคะ”
“เจียวจูเจ้าไปคงไม่เหมาะจะทำให้พี่ใหญ่จับได้เสียเปล่า ๆ ท่านตาข้าฝากดูแลเจียวจูด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้ารีบเดินทางเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
หลีม่านออกเดินทางแต่เช้าเพราะระยะทางจากที่ท่านตานางอยู่กับค่ายทหารของฟางอี้หลงใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหากเดินทางด้วยรถม้า แต่หากขี่ม้าจะย่นระยะเวลาได้อีกครึ่งหนึ่ง แต่เพราะมียามาด้วยจึงทำให้การเดินทางต้องใช้รถม้า
ค่ายชายแดนลู่โจว
“ท่านหมอ ข้างหน้านี้แหละขอรับ”
“อืม เช่นนั้นก็เอาป้ายนี้ไปแจ้งเถอะ”
หลีม่านหยิบป้ายสกุลตงให้ทหารออกไปมอบให้กับทหารที่เฝ้าหน้าค่าย ก่อนที่คณะเดินทางของนางจะค่อย ๆ เข้ามาถึงในค่ายทหาร เมื่อก้าวเท้าลงจากรถม้าหลีม่านก็ใจเต้นแรงทันที ห้าปีที่นางไม่เคยพบกับพี่ใหญ่ของนางเลย จากวันที่เป็นเด็กจนเติบโตมาตอนนี้เขาคงจะจำหน้านางไม่ได้แล้ว
“พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ไหนล่ะหมอน่ะ อยู่ที่ใด”
เสียงที่แม้จะอยู่ไกลแต่แค่นางได้ยินก็จดจำได้ทันทีว่าเป็น “ฟางอี้หลง” พี่ชายของนางแน่นอนซึ่งตอนนี้เขาเดินมาพร้อมกับเชิญท่านหมอที่มาพร้อมกับนางสองคนไปที่กระโจมของทหารจึงเหลือแค่นางและยาที่อยู่บนรถม้าเมื่อเขาเดินมาก็หันมาเรียกนางทันที
“ท่านหมอ ท่านตามข้ามาทางนี้เถอะ อาการท่านอ๋องแย่แล้วช่วยเขาที”
ฟางหลีม่านมองดูพี่ชายตาไม่กะพริบ นางสวมที่ปิดปากเขาจึงจำนางไม่ได้และรีบกระซิบพูดกับนางด้วยท่าทางร้อนใจเพราะเขาไม่อยากให้ผู้อื่นได้ยินว่าท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัสนั่นเอง
“ท่านหมอ!!”
“อ้อ ใช่แล้ว เชิญท่านนำทางเถอะท่าน…”
“ข้ารองแม่ทัพฟาง เรียกข้าว่าอี้หลงก็ได้”
“พี่อี้หลง”
ฟางอี้หลงนั้นแม้จะจับสำเนียงในการพูดของนางได้แต่ก็ไม่ได้มีเวลาใส่ใจเพราะในตอนนี้อาการของท่านอ๋องที่กำลังบาดเจ็บจากดาบของข้าศึกกำลังน่าเป็นห่วงอยู่ เมื่อเขาพานางมายังกระโจมใหญ่ของท่านอ๋อง เสียงของคนข้างในก็ดังขึ้นจนนางได้ยินชัด
“เร็วเข้ารองแม่ทัพฟาง ท่านอ๋องเลือดออกไม่หยุดเลย”
“ท่านหมอเชิญทางนี้”
“ขอรับ”
“ท่านหมอหรือ เหตุใดตัวเล็กนักล่ะ”
นายกองและรองแม่ทัพคนอื่น ๆ หันไปดูตามที่รองแม่ทัพเหรียนพูด
“ตัวเล็กเช่นนั้นจะรักษาได้จริงหรือ ครั้งนี้หมอที่สกุลตงส่งมาคงมิใช่เด็กน้อยที่พึ่งหัดเรียนวิชาแพทย์หรอกนะ”
“คงไม่หรอก รอดูไปก่อนก็แล้วกัน”
หลีม่านตื่นเต้นจนเดินชนหลังของอี้หลงเพราะเขาหยุดกะทันหัน
“ขะ ขอโทษขอรับ”
“เจ้าตื่นเต้นอะไร ท่านตาบอกข้าว่าเจ้าเก่งที่สุดในบรรดาหมอที่จะมาวันนี้ดังนั้นเจ้าช่วยท่านอ๋องด้วย เข้าไปเถอะ”
ฟางหลีม่านหัวใจเต้นแรงเพราะไม่คิดว่านางจะได้พบเขารวดเร็วขนาดนี้ นางเดินเข้าไปพร้อมกับกล่องยาที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงถือเพราะความตื่นเต้น แต่ผู้ที่นอนอยู่นั้นอาการบาดเจ็บนับว่าสาหัสเอาเรื่องเพราะเป็นแผลจากดาบที่ฟันพาดจากไหล่ลงมาเกือบถึงหน้าอกและเลือดก็ออกมาไม่หยุด
“เราพยายามห้ามเลือดแล้วแต่ก็…”
“ท่านรีบไปเอาผ้าสะอาดมาให้ได้มากที่สุด น้ำอุ่นและข้าขอไฟด้วย เราต้องฝังเข็มเขาเพื่อห้ามเลือดเสียก่อนถึงจะทำแผลได้”
“ได้!! ข้าจะรีบเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลยท่านรอก่อนนะ”
“เร็ว ๆ เข้า ข้าจะรีบฝังเข็มมิเช่นนั้นเขาได้เลือดไหลออกมาจนหมดแน่”
ฟางอี้หลงวิ่งออกไปด้วยความเร็วพร้อมกับความโกลาหลของคนในกระโจมใหญ่ที่รีบจัดหาสิ่งของที่ท่านหมอสั่ง ซึ่งไม่นานนางก็เริ่มซับเลือดและค่อย ๆ ฝังเข็มทีละอันลงบนร่างที่หมดสติอยู่ของท่านอ๋อง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ห้ามเลือดได้แล้วเหลือแค่ทำแผล”
“ยอดเยี่ยมจริง ๆ หมอที่มาจากสกุลตงไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย”
“พวกท่านรีบไปสั่งให้คนต้มน้ำร้อนเพิ่มเถอะ ขอผ้าสะอาดเพิ่มด้วย”
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ”
หลีม่านค่อย ๆ เริ่มเย็บปากแผลให้เขาและค่อย ๆ ดึงเข็มออก ในตอนนี้เองที่นางได้สังเกตใบหน้าของท่านอ๋องได้ชัดขึ้น เขาไม่เหมือนกับ หยางห่าวหรานที่นางเจอครั้งสุดท้ายเลยสักนิด ในยามนี้แม้ว่าเขาจะปล่อยผมยาวและบาดเจ็บ แต่ใบหน้าที่กรำศึกอย่างหนักและโตขึ้นตามวัยกลับยิ่งทำให้ใจของฟางหลีม่านเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
“ตั้งสติหน่อย เจ้ามาเพื่อรักษาคน”
แต่รูปร่างและกล้ามเนื้อที่สมส่วนของคนตรงหน้าก็ทำเอานางเสียสติไปหลายรอบแม้ว่าจะพยายามไม่มองแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามทั้งใบหน้าและรูปร่าง สายตานางเริ่มเลื่อนไปด้านล่างแม้ว่าจะไม่อยากแต่ก็สุดจะห้ามได้เพราะว่าเขาช่างเย้ายวนเหลือเกิน
“บ้าไปแล้ว พอกันทีฟางหลีม่าน ตั้งสติ”
ท่านอ๋องหันไปสบตากับนางเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ วันมานี้ หลีม่านเองก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วเช่นกัน“หม่อมฉันเพียงแค่แจ้งให้ทราบ มิได้ขออนุญาตพระองค์นะเพคะ”“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหน”“จะไปเตรียมของเพื่อไป ว้าย! ห่าวหรานท่านทำอะไรน่ะ”“ข้าจะดูสิว่าผ่านวันนี้ไปเจ้าจะมีแรงลุกจากเตียงกลับไปที่สกุลฟางอยู่หรือไม่”“อย่านะ หยางห่าวหรานท่านปล่อยข้าลงนะ คนบ้าท่านปล่อยข้านะ”“เงียบเถอะเหยาเหยา ยิ่งเจ้าร้องมากเท่าไหร่ข้ายิ่งรู้สึกอยากรังแกเจ้ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้ร้องครางบนเตียงเถอะ”ท่านอ๋องพาพระชายาเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับลงกลอนแน่นหนาเมื่อวางร่างของนางลงที่เตียงได้ก็เริ่มจับนางมากอดและซุกไปทั่วทั้งกายด้วยความคิดถึง“เหยาเหยาเจ้าใจร้ายกับข้าเกินไปแล้ว ไม่คุยกับข้าตั้งสามสี่วันนี่ยังจะหอบลูกหนีไปอีกงั้นหรือ”“อย่านะเพคะ พระองค์มิได้ต้องการ…”“ข้าต้องการ ใครพูดว่าข้าไม่ต้องการกัน เจ้าต่างหากที่เอาแต่ผลักไสข้า ไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว”“เดี๋ยวก่อนเพคะ คุยกันก่อน”“ไม่ เอาไว้คุยหลังจากนี้เถอะเจ้าจะให้ข้าทนอีกงั้นหรือ ข้าอดทนมากี่วันกี่คืนแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เจ
ฮูหยินทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมหลีม่านและเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพระชายาจึงได้เอ่ยถาม หลีม่านหมดหนทางจึงได้เอ่ยปากปรึกษาเรื่องนี้ไปตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังสนุกกับการเล่นดาบไม้และตุ๊กตาผ้าที่ท่านตาและอี้หลงนำมาให้จึงไม่ได้สนใจท่านยายทั้งสองกับท่านแม่ที่อยู่ระเบียงหน้าเรือนรับรองแขก“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูสักหน่อยเถิด แม่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าเห็นใจไม่น้อย คงจะอยากได้บุตรเพิ่มจริง ๆ”“นั่นสิม่านเอ๋อร์ แม่รองคิดว่าที่แม่เจ้าพูดมาก็ถูก หานเยว่กับหลินอิงก็อายุจะสี่ขวบแล้ว เจ้าเว้นช่วงมานานท่านอ๋องก็คงอยากจะได้บุตรเพิ่ม อีกอย่างเจ้าดูสิ ทั้งสองคนติดท่านตากับท่านลุงเช่นนี้ท่านอ๋องก็คงอยากจะมีลูกสาวลูกชายเพิ่มเพื่อจะได้เล่นกับพวกเขาบ้าง”“แต่ว่าพี่ใหญ่กับฉวนหลานเองก็มีบุตรสองคนเช่นกัน เหตุใดพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”“ไม่ใช่ไม่มีแต่สุขภาพของหลานเอ๋อร์เจ้าก็รู้อยู่นี่นา นางเองก็สุขภาพพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่กี่ปี มีลูกสองคนก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าที่สุขภาพแข็งแรงดีอีกอย่างเชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ก็มีลูกมากเป็นธรรมดา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะคุยกับท่านอ๋องอีกครั้ง”“อืม เช่นนั้นวันน
สี่ปีต่อมา“ยกขาขึ้นสูง ๆ อาเจินไปเอาไม้มา”“แต่ว่าพระชายาเพคะ”“ข้าบอกให้ไปเอาไม้มา”อาเจินหันไปมองท่านหญิงและท่านชายที่ถูกพระชายาทำโทษเพราะแย่งขอเล่นจนทะเลาะกัน ซึ่งนางเคยสอนและตักเตือน “หยางหานเยว่” กับ “หยางหลินอิง” ฝาแฝดแสนซนที่อายุยังไม่ครบสี่ขวบดีก็ซนและเริ่มทะเลาะกัน อาเจินถือไม้ไผ่ที่หลีม่านเคยสั่งให้เหลาเอาไว้มาและถือไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นไม้ในมือท่านแม่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง“รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด”“ฮึก ฮึก ท่านแม่ขอรับลูกสำนึกแล้วแต่ว่า…”“รู้แล้วเหตุใดถึงยังทำอีก แม่เคยพูดแล้วว่าถ้าทะเลาะกันอีกก็ต้องถูกลงโทษ เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่เจ้าเดินออกมาก่อน”“แต่ข้า…”“อาเยว่ของตา!! เดี๋ยวก่อน ๆ ม่านเอ๋อร์นี่เจ้าทำอะไรน่ะ”“ท่านตา! ฮิือ….”หานเยว่รีบวิ่งไปหาท่านตาทันทีเมื่อเห็นท่านแม่ที่ถลึงตามองด้วยความโกรธ พวกเขารู้ดีว่าท่านแม่จะไม่ทำโทษหากว่ามีแขกมาที่จวน “อิงเอ๋อร์หลานลุงเป็นอะไรไป”“ท่านลุง ฮือ….”“นี่พวกท่าน…. กลับมานี่นะ หานเยว่ หลินอิง”หลินอิงรีบวิ่งไปหาฟางอี้หลงที่เดินมาพร้อมกับท่านตาได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกทำโทษ ไม้ไผ่เหลาอย่างดีในมือของหลีม่านสั่นเมื่อเห็นลู
ประทัดหน้าจวนอ๋องเดิมซึ่งเป็นที่พักขององค์หญิงเจ็ด “เอี้ยฉวนหลาน” ดังขึ้นเมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวน องค์รัชทายาทแห่งซีเป่ยมาพร้อมกับชินหยางอ๋องและพระชายาที่เริ่มมีครรภ์โตขึ้นจากเดิมก็หันไปมองทันที“พี่ใหญ่มาแล้วเพคะ”“ฉางซือท่านจะทำจริง ๆ น่ะหรือ นี่เป็นธรรมเนียมของซีโจวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้”“ไม่ได้ ๆ ห่าวหรานท่านอย่าได้ปรามาสเรา นี่งานแต่งของหลานเอ๋อร์ทั้งทีข้าในฐานะพี่ชายของนางก็ต้องทำให้ครบพิธี มิเช่นนั้นคงรู้สึกผิดกลับไปซีเป่ยเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ ไปเถอะเหยาเหยา เจ้าค่อย ๆ เดินนะ”“เพคะ”ท่านอ๋องไม่ยอมให้พระชายาอยู่ห่างพระวรกายเลยตั้งแต่ครรภ์นางมากขึ้น ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกเพื่อรับแขกที่มาร่วมในงาน ฟางอี้หลงในชุดเจ้าบ่าวหล่อเหลาสง่างามเมื่อลงจากม้ามาคำนับท่านอ๋อง“ยินดีด้วยอี้หลง ในที่สุดก็ถึงวันมงคลเสียที ข้ากับเหยาเหยาขออวยพรให้เจ้าและฉวนหลานมีความสุขยั่งยืนนานลูกหลานเต็มเมือง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าสาวมาแล้ว!”เสียงของแม่สื่อดังออกมาพร้อมกับขบวนเจ้าสาวที่มีสาวใช้ของฉวนหลานพยุงเพื่อพาเจ้าสาวเดินออกมา องค์รัชทายาทของซีเป่ยเ
หลีม่านค่อย ๆ เดินเข้าไปเพื่อถอดชุดเจ้าบ่าวของท่านอ๋องออกแต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจของอีกฝ่ายที่ทนเห็นอกอวบอิ่มตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาไม่ไหว ปลายเริ่มโลมเลียผ่านชั้นในบางสีแดง มือเริ่มดึงเชือกที่ผูกลำคอและดึงสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ออกจนหมด ร่างบางแหงนหงายตามแรงดูดกระชากจากลิ้นสวาทของพระสวามี“อ๊าา ห่าวหราน อ๊าา…”ไม่นานหลีม่านก็ถูกดึงขึ้นมาที่เตียง ชุดที่เหลือถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วจนนางมองตามไม่ทัน ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันราวกับโหยหามานานแสนนาน ผ้าห่มถูกละเลยอีกทั้งม่านรอบเตียงก็ยังค่อย ๆ ถูกดึงลงมา“อ๊าา ห่าวหราน อื้อ”“เหยาเหยาของข้าช่างงดงามนัก กลิ่นของเจ้าและตัวเจ้าทั้งหอมและหวานมากกว่าครั้งใด ๆ”ท่านอ๋องปวดกายหนึบจนเกือบจะทนไม่ไหว มังกรยักษ์ของพระองค์ไม่เคยเรียกร้องมากถึงเพียงนี้มาก่อนแม้ว่าพระองค์อยากจะค่อย ๆ ทำพิธีส่งตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ความเร่าร้อนของพระชายาตรงหน้ากลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย“ข้าทนไม่ไหวแล้วเหยาเหยา เริ่มกันเถอะนะ อาา…อุ่นเหลือเกิน ยังแน่นไม่เปลี่ยน อาา…”เสียงครางแหบต่ำทำให้พระชายาเริ่มตอดรับตามจังหวะพร้อมกับเบียดกายเรียกร้องให้ท่านอ๋องชื่นชมส่วนอื่น ซึ่
ท่านอ๋องขึ้นม้าพร้อมกับสายสะพายโบสีแดงที่ฉวนหลานยื่นให้ด้วยสีหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ“ยินดีด้วยเพคะท่านอ๋อง”“ขอบใจองค์หญิง แล้วพบกันในวังนะ”“เพคะเสด็จพี่รอง”ชินหยางอ๋องยิ้มให้ฉวนหลานก่อนจะค่อย ๆ ดึงบังเหียนของเสี่ยวเซินออกจากจวนสกุลฟาง ขบวนเจ้าสาวของชินหยางอ๋องเริ่มเคลื่อนออกจากจวนสกุลฟางแล้ว ครั้งนี้งานอภิเษกถูกจัดขึ้นในวังหลวงซึ่งฮ่องเต้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทเป็นผู้จัดการงานทั้งหมดท้องพระโรง เมื่อเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก็ค่อย ๆ พยุงนางออกมาและทั้งคู่ก็รับโบแดงซึ่งมีหมัวมัวในวังยื่นให้ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงที่มีฝ่าบาทและฮองเฮา แม่ทัพฟางและฮูหยินทั้งสอง แขกเหรื่อในงานพร้อมกับเหล่าขุนนางที่รอร่วมยินดีกับทั้งคู่อยู่ด้านใน เมื่อทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว กงกงจึงดำเนินการตามประเพณี“คำนับที่หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน”“คำนับสอง คำนับบิดามารดา”“คำนับสาม… คำนับกันและกัน”กงกงเดินนำไม้มงคลมายื่นให้ชินหยางอ๋องก่อนจะกระซิบ“ท่านอ๋องเชิญเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณกงกง”หยางห่าวหรานรับไม้บนพานออกมาและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าส