“ท่านหมอ!! ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”
ฟางอี้หลงเดินเข้ามาเพราะเขาคิดว่านางตะโกนเรียก แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าท่านหมอเดินหันไปมาและไม่ได้พูดอะไร นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามา
"มะ ไม่มีอะไรตอนนี้ข้าเย็บแผลให้แล้ว ยะ ยานี่ท่านให้คนต้ม ไม่ดีกว่า ท่านไปเตรียมเตาเล็กมาให้ข้าที่นี่ ข้าจะต้มเองเพราะตำรับยานี้ต้องระวังหากต้มไม่ดีจะรักษาหายช้า
“ได้ ข้าจะรีบไปให้คนเตรียมมาให้”
อี้หลงเดินออกไปแล้วนางจึงได้เดินและแกะผ้าคลุมหน้าออกเพราะรู้สึกร้อนแม้ว่าอากาศข้างในนี้จะหนาวก็ตาม ท่านอ๋องที่ทำแผลเสร็จแล้วเริ่มดิ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ
“หากทำแผลแล้วตามเวลาที่เรียนมาต้องฟื้นในอีกสองชั่วยาม รีบต้มยาก่อนดีกว่าฟื้นขึ้นมาจะได้ดื่มได้เลย”
หลีม่านเริ่มแกะกล่องที่ใส่ยาสำคัญ ๆ มาและเริ่มตรวจสอบก่อนที่อี้หลงจะยกเตาต้มยาขนาดเล็กเข้ามาให้นางในห้องนอนท่านอ๋อง นางเริ่มต้มยาทันทีพร้อมกับสั่งให้คนออกไปข้างนอกให้หมดเพราะท่านอ๋องต้องการพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาที่รอต้มยานางก็มักจะหันไปเช็ดใบหน้าของเขาเพราะเหงื่อที่เริ่มท่วมออกมา
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเปลี่ยนไป และ…รูปงามขึ้นถึงเพียงนี้”
หลีม่านเผลอตัวเอานิ้วมือไปลูบตามจมูกที่ได้รูปและเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างเลื่อนลอย
“แคก แคก”
หยางห่าวหรานไอขึ้นมานางจึงรีบดึงสติและวิ่งไปที่หม้อต้มยาทันที ตอนนี้นางเริ่มหันไปสนใจที่หม้อยาแล้ว ต้าเป่าเดินเข้ามาเพราะได้ยินเสียงไอของท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”
“อีกเดี๋ยวน่าจะฟื้นแล้วข้ากำลังต้มยาอยู่ท่านช่วยไปเอาถ้วยยากับผ้าสะอาดมาให้ข้าที หากท่านอ๋องฟื้นจะได้เปลี่ยนยาและผ้าพันแผล”
“ได้ขอรับ”
ต้าเป่าเดินออกไปแล้วหลีม่านจึงได้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"นี่ขนาดแค่นอนเฉย ๆ ยังไม่ได้ลืมตานะ ให้ตายเถอะหลีม่านเจ้าต้องใจเย็น ๆ มากกว่านี้"
แต่ในใจนางเชื่อว่าหากสตรีใดได้พบเห็นใบหน้าที่หมดจดของเขาในยามที่สวมชุดแม่ทัพเต็มยศคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน
“แย่แล้ว ผ้าคลุมข้าล่ะมัวแต่มองหน้าเขาอยู่ได้ให้ตายเถอะ”
นางต้มยาเกือบครึ่งชั่วยามก่อนที่จะเทยาเอาไว้และอุ่นที่เตา เมื่อเดินออกมาจึงได้แจ้งให้กับต้าเป่าและฟางอี้หลงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้อง
“หากท่านอ๋องฟื้นแล้วพวกท่านก็ค่อย ๆ เทยาให้พระองค์ดื่มเสร็จแล้วก็ใช้ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผล”
“ท่านหมอ คงต้องรบกวนเจ้าอีกครั้งพวกข้าจะต้องรีบไปดูแลคนเจ็บที่อยู่ข้างนอกและเฝ้าระวัง”
“อะไรนะ!!”
“ต้าเป่าพูดถูกแล้ว ท่านหมอในเมื่อท่านตาส่งเจ้ามาแสดงว่าท่านตามั่นใจในตัวเจ้าเช่นนั้นเรื่องทำแผลและต้มยาให้ท่านอ๋องคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“แต่ว่าข้า…ข้างนอกนั่นท่านก็บอกเองว่ามีคนเจ็บไม่น้อย”
“ตรงนั้นมีท่านหมอคนอื่นดูแลแล้วดังนั้นเจ้าควรจะอยู่ดูแลท่านอ๋อง”
“นี่พวกท่านคงมิได้กลัวว่าข้าจะพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปจึงได้…”
“ท่านหมอเจ้าคิดมากแล้ว อาการท่านอ๋องยังถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าพวกเขาอีกทั้งเจ้าดูเขาตั้งแต่เริ่มต้น หม้อต้มยาและสมุนไพรข้าก็ให้คนยกมาให้เจ้าที่นี่แล้วคงจะสะดวกขึ้น ข้าขอตัวก่อน”
“เอ่อ พี่…อี้หลง คือว่า...”
“มีอะไรอีกงั้นหรือ เจ้าต้องการอะไรเพิ่มอีกก็บอกทหารหน้ากระโจมได้ พวกเขาจะไปแจ้งข้าเอง”
“ไม่ใช่ คือว่าเช่นนั้นในกระโจมนี้”
“ใช่ ก็มีเจ้าอยู่กับทหารยามหน้ากระโจม ข้ากับต้าเป่าก็จะอยู่แถวนี้เช่นกัน ไม่ต้องห่วงหรอก”
อี้หลงยิ้มให้และเดินออกไป ต้าเป่าเองก็เดินตามเขาออกไปเช่นกันเพื่อจะไปยกยาที่นางต้องใช้มาเพิ่มให้ หลีม่านจำใจเดินกลับเข้าไปและเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องค่อย ๆ ขยับกายเพราะความปวดและเริ่มมีสตินางก็ตกใจจนใจเต้นแรง
“หนะ…น้ำ น้ำ”
หลีม่านหันไปรอบ ๆ และเห็นกาน้ำวางอยู่จึงรีบรินน้ำให้เขาด้วยมือที่สั่นและรีบเดินเอาไปให้
“แคก แคก”
“นะ น้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องที่ยังไม่ลืมตาตื่นดีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ไม่คุ้นเคยก็ได้ถามขึ้นทันที
“เจ้าเป็นผู้ใด”
“หม่อม…กระหม่อมเป็นหมอที่…สกุลตงส่งมาให้รักษาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เป็นหมอ…. น้ำ”
นางค่อย ๆ ยื่นถ้วยน้ำไปให้เขาจิบแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีแรงลุกขึ้นมา หลีม่านตัดสินใจวางถ้วยน้ำและค่อย ๆ พยุงตัวเขาลุกขึ้นมา กลิ่นกายของนางต้องจมูกเขาทำให้เขานึกสงสัย หรือว่ากลิ่นกายของหมอยาจะเป็นเช่นนี้ทุกคนงั้นหรือ
“นะ น้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องค่อย ๆ จิบน้ำจนหมดและพิงกายพักเพราะต้องการขยับตัว แม้ว่านางพึ่งจะทำแผลให้เขาแต่ก็ต้องยอมรับว่าท่านอ๋องแข็งแรงจริง ๆ น้อยคนที่ผ่านบาดแผลที่หนักขนาดนี้แล้วยังฟื้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็แน่ล่ะ ตำรับยาของสกุลตงเองก็ไม่ธรรมดา
“เจ้า…มีนามว่าอะไร”
“ข้า…เอ่อกระหม่อม…”
นางลืมนึกเรื่องนี้ไปเลยเพราะก่อนออกมาไม่ได้คิดเอาไว้จึงได้บอกเขาไปด้วยความตกใจกับชื่อแรกที่นึกขึ้นมาได้นั่นคือชื่อที่ท่านตามักจะเรียกนาง
“กระหม่อมมีนามว่า…. หลี่เหยาพ่ะย่ะค่ะ”
“หลี่เหยางั้นหรือ ชื่อเหมือนสตรี”
“เคล้ง!!”
ท่านอ๋องค่อย ๆ หันมาเมื่อเห็นว่าท่านหมอทำเครื่องมือทำแผลของเขาร่วงกับพื้นซึ่งน่าจะเป็นคีม
“เป็นอะไร ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นเจ้าจะทำอะไร”
หลีม่านรีบลุกขึ้นพร้อมกับถือผ้าในมือ เมื่อหันมามองเขาในยามนี้นางก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว หัวใจกระตุกแทบจะหลุดออกมาได้อยู่แล้ว ภาพของบุรุษหนุ่มรูปงามกึ่งเปลือยตรงหน้าพร้อมกับผมยาวสลวยที่ยังมิได้จัดทรงนั้นทำเอานางลอบกลืนน้ำลายแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้มองนางแล้วก็ตาม
“กระหม่อมจะเตรียม ละ ล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็รีบทำเถอะ”
เขาพูดราวกับรำคาญเพราะไม่อยากพูดมากซึ่งเป็นตามนิสัยปกติของเขา เมื่อหลีม่านจัดเครื่องมือทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับค่อย ๆ เริ่มทำแผลใหม่ให้เขาเพราะนางใช้แค่ผ้าแปะที่แผลเพราะเขายังไม่ฟื้นนั่นเอง
“เจ็บหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
นางเริ่มทำแผล ท่านอ๋องเองก็มิได้มองมาที่นาง เขาเพียงแค่นั่งหลับตาและคิดอะไรไปเงียบ ๆ แต่แปลกที่กลิ่นกายของคนข้าง ๆ เอาแต่กวนหัวใจเขาไม่หยุด เหตุใดท่านหมอจากลู่โจวผู้นี้ถึงได้มีกลิ่นราวกับสตรี นั่นทำให้หยางห่าวหรานหันมามองหมอที่กำลังตั้งใจทำแผลให้เขาอีกครั้ง
“เจ้าเป็นคนรักษาข้างั้นหรือ”
“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
“เก่งไม่เบานี่ ท่านหมอคนอื่นที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าเย็บปากแผลของข้า เจ้าไม่กลัวหรือ”
“มะ ไม่กลัว”
“อืม ดี”
หลีม่านแทบจะลืมหายใจเมื่อเขาหันมามองนางอีกครั้งซึ่งทำให้นางรู้สึกวาบหวามที่หัวใจจนเกือบจะหมดเรี่ยวแรงและพยายามตั้งสมาธิอยู่ที่แผลของเขา กล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนนั่นเป็นสิ่งที่นางจดจ้องเพื่อให้เบี่ยงความสนใจจากสายพระเนตรที่มองนางอยู่
“ท่านหมอ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย”
“เชิญ…เชิญถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นกายคล้ายกับเครื่องหอมของสตรี อีกทั้งผิวหน้าและมือของเจ้าก็ยังบอบบางไม่ต่างกับสตรีเช่นนี้”
ท่านอ๋องหันไปสบตากับนางเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ วันมานี้ หลีม่านเองก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วเช่นกัน“หม่อมฉันเพียงแค่แจ้งให้ทราบ มิได้ขออนุญาตพระองค์นะเพคะ”“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหน”“จะไปเตรียมของเพื่อไป ว้าย! ห่าวหรานท่านทำอะไรน่ะ”“ข้าจะดูสิว่าผ่านวันนี้ไปเจ้าจะมีแรงลุกจากเตียงกลับไปที่สกุลฟางอยู่หรือไม่”“อย่านะ หยางห่าวหรานท่านปล่อยข้าลงนะ คนบ้าท่านปล่อยข้านะ”“เงียบเถอะเหยาเหยา ยิ่งเจ้าร้องมากเท่าไหร่ข้ายิ่งรู้สึกอยากรังแกเจ้ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้ร้องครางบนเตียงเถอะ”ท่านอ๋องพาพระชายาเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับลงกลอนแน่นหนาเมื่อวางร่างของนางลงที่เตียงได้ก็เริ่มจับนางมากอดและซุกไปทั่วทั้งกายด้วยความคิดถึง“เหยาเหยาเจ้าใจร้ายกับข้าเกินไปแล้ว ไม่คุยกับข้าตั้งสามสี่วันนี่ยังจะหอบลูกหนีไปอีกงั้นหรือ”“อย่านะเพคะ พระองค์มิได้ต้องการ…”“ข้าต้องการ ใครพูดว่าข้าไม่ต้องการกัน เจ้าต่างหากที่เอาแต่ผลักไสข้า ไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว”“เดี๋ยวก่อนเพคะ คุยกันก่อน”“ไม่ เอาไว้คุยหลังจากนี้เถอะเจ้าจะให้ข้าทนอีกงั้นหรือ ข้าอดทนมากี่วันกี่คืนแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เจ
ฮูหยินทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมหลีม่านและเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพระชายาจึงได้เอ่ยถาม หลีม่านหมดหนทางจึงได้เอ่ยปากปรึกษาเรื่องนี้ไปตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังสนุกกับการเล่นดาบไม้และตุ๊กตาผ้าที่ท่านตาและอี้หลงนำมาให้จึงไม่ได้สนใจท่านยายทั้งสองกับท่านแม่ที่อยู่ระเบียงหน้าเรือนรับรองแขก“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูสักหน่อยเถิด แม่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าเห็นใจไม่น้อย คงจะอยากได้บุตรเพิ่มจริง ๆ”“นั่นสิม่านเอ๋อร์ แม่รองคิดว่าที่แม่เจ้าพูดมาก็ถูก หานเยว่กับหลินอิงก็อายุจะสี่ขวบแล้ว เจ้าเว้นช่วงมานานท่านอ๋องก็คงอยากจะได้บุตรเพิ่ม อีกอย่างเจ้าดูสิ ทั้งสองคนติดท่านตากับท่านลุงเช่นนี้ท่านอ๋องก็คงอยากจะมีลูกสาวลูกชายเพิ่มเพื่อจะได้เล่นกับพวกเขาบ้าง”“แต่ว่าพี่ใหญ่กับฉวนหลานเองก็มีบุตรสองคนเช่นกัน เหตุใดพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”“ไม่ใช่ไม่มีแต่สุขภาพของหลานเอ๋อร์เจ้าก็รู้อยู่นี่นา นางเองก็สุขภาพพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่กี่ปี มีลูกสองคนก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าที่สุขภาพแข็งแรงดีอีกอย่างเชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ก็มีลูกมากเป็นธรรมดา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะคุยกับท่านอ๋องอีกครั้ง”“อืม เช่นนั้นวันน
สี่ปีต่อมา“ยกขาขึ้นสูง ๆ อาเจินไปเอาไม้มา”“แต่ว่าพระชายาเพคะ”“ข้าบอกให้ไปเอาไม้มา”อาเจินหันไปมองท่านหญิงและท่านชายที่ถูกพระชายาทำโทษเพราะแย่งขอเล่นจนทะเลาะกัน ซึ่งนางเคยสอนและตักเตือน “หยางหานเยว่” กับ “หยางหลินอิง” ฝาแฝดแสนซนที่อายุยังไม่ครบสี่ขวบดีก็ซนและเริ่มทะเลาะกัน อาเจินถือไม้ไผ่ที่หลีม่านเคยสั่งให้เหลาเอาไว้มาและถือไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นไม้ในมือท่านแม่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง“รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด”“ฮึก ฮึก ท่านแม่ขอรับลูกสำนึกแล้วแต่ว่า…”“รู้แล้วเหตุใดถึงยังทำอีก แม่เคยพูดแล้วว่าถ้าทะเลาะกันอีกก็ต้องถูกลงโทษ เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่เจ้าเดินออกมาก่อน”“แต่ข้า…”“อาเยว่ของตา!! เดี๋ยวก่อน ๆ ม่านเอ๋อร์นี่เจ้าทำอะไรน่ะ”“ท่านตา! ฮิือ….”หานเยว่รีบวิ่งไปหาท่านตาทันทีเมื่อเห็นท่านแม่ที่ถลึงตามองด้วยความโกรธ พวกเขารู้ดีว่าท่านแม่จะไม่ทำโทษหากว่ามีแขกมาที่จวน “อิงเอ๋อร์หลานลุงเป็นอะไรไป”“ท่านลุง ฮือ….”“นี่พวกท่าน…. กลับมานี่นะ หานเยว่ หลินอิง”หลินอิงรีบวิ่งไปหาฟางอี้หลงที่เดินมาพร้อมกับท่านตาได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกทำโทษ ไม้ไผ่เหลาอย่างดีในมือของหลีม่านสั่นเมื่อเห็นลู
ประทัดหน้าจวนอ๋องเดิมซึ่งเป็นที่พักขององค์หญิงเจ็ด “เอี้ยฉวนหลาน” ดังขึ้นเมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวน องค์รัชทายาทแห่งซีเป่ยมาพร้อมกับชินหยางอ๋องและพระชายาที่เริ่มมีครรภ์โตขึ้นจากเดิมก็หันไปมองทันที“พี่ใหญ่มาแล้วเพคะ”“ฉางซือท่านจะทำจริง ๆ น่ะหรือ นี่เป็นธรรมเนียมของซีโจวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้”“ไม่ได้ ๆ ห่าวหรานท่านอย่าได้ปรามาสเรา นี่งานแต่งของหลานเอ๋อร์ทั้งทีข้าในฐานะพี่ชายของนางก็ต้องทำให้ครบพิธี มิเช่นนั้นคงรู้สึกผิดกลับไปซีเป่ยเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ ไปเถอะเหยาเหยา เจ้าค่อย ๆ เดินนะ”“เพคะ”ท่านอ๋องไม่ยอมให้พระชายาอยู่ห่างพระวรกายเลยตั้งแต่ครรภ์นางมากขึ้น ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกเพื่อรับแขกที่มาร่วมในงาน ฟางอี้หลงในชุดเจ้าบ่าวหล่อเหลาสง่างามเมื่อลงจากม้ามาคำนับท่านอ๋อง“ยินดีด้วยอี้หลง ในที่สุดก็ถึงวันมงคลเสียที ข้ากับเหยาเหยาขออวยพรให้เจ้าและฉวนหลานมีความสุขยั่งยืนนานลูกหลานเต็มเมือง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าสาวมาแล้ว!”เสียงของแม่สื่อดังออกมาพร้อมกับขบวนเจ้าสาวที่มีสาวใช้ของฉวนหลานพยุงเพื่อพาเจ้าสาวเดินออกมา องค์รัชทายาทของซีเป่ยเ
หลีม่านค่อย ๆ เดินเข้าไปเพื่อถอดชุดเจ้าบ่าวของท่านอ๋องออกแต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจของอีกฝ่ายที่ทนเห็นอกอวบอิ่มตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาไม่ไหว ปลายเริ่มโลมเลียผ่านชั้นในบางสีแดง มือเริ่มดึงเชือกที่ผูกลำคอและดึงสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ออกจนหมด ร่างบางแหงนหงายตามแรงดูดกระชากจากลิ้นสวาทของพระสวามี“อ๊าา ห่าวหราน อ๊าา…”ไม่นานหลีม่านก็ถูกดึงขึ้นมาที่เตียง ชุดที่เหลือถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วจนนางมองตามไม่ทัน ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันราวกับโหยหามานานแสนนาน ผ้าห่มถูกละเลยอีกทั้งม่านรอบเตียงก็ยังค่อย ๆ ถูกดึงลงมา“อ๊าา ห่าวหราน อื้อ”“เหยาเหยาของข้าช่างงดงามนัก กลิ่นของเจ้าและตัวเจ้าทั้งหอมและหวานมากกว่าครั้งใด ๆ”ท่านอ๋องปวดกายหนึบจนเกือบจะทนไม่ไหว มังกรยักษ์ของพระองค์ไม่เคยเรียกร้องมากถึงเพียงนี้มาก่อนแม้ว่าพระองค์อยากจะค่อย ๆ ทำพิธีส่งตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ความเร่าร้อนของพระชายาตรงหน้ากลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย“ข้าทนไม่ไหวแล้วเหยาเหยา เริ่มกันเถอะนะ อาา…อุ่นเหลือเกิน ยังแน่นไม่เปลี่ยน อาา…”เสียงครางแหบต่ำทำให้พระชายาเริ่มตอดรับตามจังหวะพร้อมกับเบียดกายเรียกร้องให้ท่านอ๋องชื่นชมส่วนอื่น ซึ่
ท่านอ๋องขึ้นม้าพร้อมกับสายสะพายโบสีแดงที่ฉวนหลานยื่นให้ด้วยสีหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ“ยินดีด้วยเพคะท่านอ๋อง”“ขอบใจองค์หญิง แล้วพบกันในวังนะ”“เพคะเสด็จพี่รอง”ชินหยางอ๋องยิ้มให้ฉวนหลานก่อนจะค่อย ๆ ดึงบังเหียนของเสี่ยวเซินออกจากจวนสกุลฟาง ขบวนเจ้าสาวของชินหยางอ๋องเริ่มเคลื่อนออกจากจวนสกุลฟางแล้ว ครั้งนี้งานอภิเษกถูกจัดขึ้นในวังหลวงซึ่งฮ่องเต้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทเป็นผู้จัดการงานทั้งหมดท้องพระโรง เมื่อเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก็ค่อย ๆ พยุงนางออกมาและทั้งคู่ก็รับโบแดงซึ่งมีหมัวมัวในวังยื่นให้ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงที่มีฝ่าบาทและฮองเฮา แม่ทัพฟางและฮูหยินทั้งสอง แขกเหรื่อในงานพร้อมกับเหล่าขุนนางที่รอร่วมยินดีกับทั้งคู่อยู่ด้านใน เมื่อทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว กงกงจึงดำเนินการตามประเพณี“คำนับที่หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน”“คำนับสอง คำนับบิดามารดา”“คำนับสาม… คำนับกันและกัน”กงกงเดินนำไม้มงคลมายื่นให้ชินหยางอ๋องก่อนจะกระซิบ“ท่านอ๋องเชิญเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณกงกง”หยางห่าวหรานรับไม้บนพานออกมาและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าส