บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้าน
บรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ
"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"
หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามาก
เมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พี่สะใภ้ใหญ่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารได้อย่างเต็มที่ เพราะการทอดนั้นต้องใช้น้ำมันเยอะมาก ดังนั้นการจะทำอาหารจานนี้จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับบ้านของพวกเขา เพราะอย่างที่ทุกคนทราบพวกเขาต้องประหยัดใช้น้ำมันกันอย่างมาก
นอกจากนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ยังได้เจียวน้ำมันจากไขมันไก่ที่เหลือออกมาอีกด้วย กลิ่นหอมของน้ำมันเจียวลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกหิวและตื่นเต้นกับอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ และต้องทราบว่าเนื้อไก่ที่ออกจากไข่ที่แม่ไก่ได้กินผักวิญญาณนั้นแตกต่างจากเนื้อไก่ธรรมดาอยู่แล้ว เพราะว่ามันให้พลังงานมากกว่าเนื้อไก่ปรกติมาก
เพราะทันทีที่พวกเขารับประทานเนื้อไก่วิญญาณเข้าไป พลังงานจากผักวิญญาณจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างชัดเจน ร่างกายที่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และหนาวเย็น ก็กลับมารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองก็ปลอดโปร่ง คิดอะไรออกง่ายขึ้น รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ร่างกายที่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สมองที่เคยมึนงงก็กลับมาปลอดโปร่ง และความรู้สึกโดยรวมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หยางจิ้งนั่งเคี้ยวเนื้อไก่ในปากช้าๆ ราวกับต้องการให้รสชาติของเนื้อไก่นั้นแทรกซึมเข้าไปในทุกอนูของต่อมรับรสของเขาก็ว่าได้ เขาคิดวนไปวนมาถึงรสชาติอันแสนอร่อยนี้เขาอยากจะจำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้มาก ๆ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในวันที่ยากลำบากเหล่านี้ จะเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในใจไปตลอดกาล
หยางจิ้งกัดชิ้นเนื้อไก่ที่ทั้งกรอบนอกและฉ่ำด้านในเข้าไปอีกคำใหญ่ รสชาติหอมหวานของเนื้อไก่ยังคงอบอวลอยู่ในปาก แต่ความสุขกลับถูกกลบด้วยความรู้สึกเศร้าที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อเขาหันไปมองภรรยาคนสวยของเขา หยางฟู่เหยา ที่กำลังนั่งเคียงข้างกันอยู่ ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันและซอสจากการกินไก่ แต่ว่าดวงตาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงสุข แต่หยางจิ้งกลับมองเห็นความเหนื่อยล้าซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น เธอต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ทั้งดูแลบ้าน ทำนา และเลี้ยงลูกน้อย
สายตาของหยางจิ้งหันไปยังลูกชายตัวน้อยที่กำลังกัดกินน่องไก่ชิ้นโตอย่างมีความสุข ใบหน้าของลูกชายก็เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบอาหารเช่นเดียวกับแม่ เมื่อเห็นภาพสองแม่ลูกที่น่ารักนี้ หยางจิ้งก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ
ความรู้สึกผิดกัดกินใจเขาอย่างรุนแรง เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาไม่สามารถเป็นสามีที่ดีให้กับภรรยาได้ เขาไม่สามารถหาเงินมาให้ครอบครัวได้มากพอ ทำให้ภรรยาและลูกต้องลำบากหิวโหยมาตลอด เขาเป็นผู้ชายที่ไร้ความสามารถ ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองครอบครัวของเขาได้
“ผมเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องเลย…” หยางจิ้งกระซิบเบาๆ กับตัวเอง
ยิ่งมองใบหน้าของเธอผมเผ้ารุงรังเล็กน้อยจากความรีบร้อนทำให้ใจของเขาเจ็บปวด เขาอยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาและลูกและครอบครัวของเขามีความสุข แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
ในขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของหยางจิ้ง เขาก็รู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ของลูกชายที่มากอดเขาไว้เบาๆ ดวงตาใสๆ ของลูกมองมาที่เขาด้วยความรัก หยางจิ้งก้มลงมองลูกชายที่ร่างกายผอมแห้ง เขาอายุ 8 ขวบแล้ว แต่เพราะได้รับอาหารน้อยทำให้เขาไม่สูง แขนขาแห้งเล็ก ซึ่งก็เหมือนกันกับหลานอีก 4 คนที่เหลือของเขาที่มีสภาพไม่ต่างกันนัก
ในขณะที่เขากำลังมองไปที่ครอบครัวของเขาแต่ละคน หยางซีซีก็มองเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงคิดว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของพี่รองหยางจิ้งคนนี้ในวันนี้มาก จากนั้นเธอก็มองไปที่สมาชิกในครอบครัวทีละคน แต่ละคนมีร่างกายผอมแห้ง ผิวพรรณกร้านจากการทำงานหนัก แม้แต่พี่สะใภ้รองที่เคยเป็นสวยมากคนหนึ่งมาตอนนี้ก็ดูเหนื่อยล้า ร่างกายทรุดโทรมลงมากทีเดียว..จากนั้นสายตาของหยางซีซีก็ตกลงที่ลูกน้อยทั้งสองของเธอ เจ้าใหญ่หยางอี้เฟยและเจ้ารองหยางจิว เพราะขาดสารอาหารมากทำให้ พวกเขาแทบจะเหมือนเด็กแคระก็ว่าได้แขนขาเล็กและตอนนี้เจ้าหยางจิวยังพูดไม่ชัดเลยทั้งๆ ที่เขาอายุ3ขวบแล้ว หยางซีซีถอนหายใจเบาพลางป้อนโจ๊กให้กับเจ้าเล็กหยางจิวอีกหนึ่งคำ ซึ่งเขาก็อ้าปากเหมือนลูกนกรอให้คุณแม่ป้อนโจ๊กแสนอร่อยอยู่นั้นเอง ป้อนเสร็จเธอก็ฉีกเนื้อไก่เป็นชิ้นเล็กๆ วางใส่ถ้วยให้เขาหยิบกินเอง ซึ่งตอนนี้หน้าตาก็มอมแมมไม่ต่างจากทุกคนก็ว่าได้....
บรรยากาศในห้องครัวเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกคนต่างนั่งเอนหลังพิงผนังไม้เก่าๆ ดวงตาของพวกเขามองออกไปนอกหน้าต่างไม้บานเดียวที่เปิดออกรับลมหนาว พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่
“เอาหละค่ะทุกคน ตอนนี้พวกเรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำอย่างไรกับผักที่เหลือของพวกเรา”
ตอนนี้คนที่เอ่ยออกมาคือพี่ใหญ่หยางฟูหลง ที่วันนี้เขาก็ลุยอาหารเต็มที่เช่นกัน เขารู้สึกทั้งอิ่มและมีเรียวมีแรงขึ้นมามากทีเดียว ไหนจะร่างกายที่อบอุ่นขึ้นมาก ทั้งๆ ที่ตอนนี้ด้านนอกนั้นหิมะเริ่มตกหนักลงมาอีกแล้ว ตอนนี้เขาพร้อมทำงานหนักแล้ว เมื่อพูดเสร็จทุกคนก็หันไปมองผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบ้านที่ตอนนี้กำลังนั่งเอนหลังและมีคุณพ่อที่นวดท้องให้เป็นบางครั้ง เพราะว่าคุณแม่เผลอกินมากไปหน่อยนั้นเอง...
เมื่อทุกคนหันมามองเธอแต่ว่า ตอนนี้สายตาของคุณแม่หยางเม่ยนั้นกลับตกไปที่สะใภ้สามคนดีของเธออยู่ เมื่อทุกคนรอทำตอบเธอจึงได้เอ่ยถามสะใภ้สามของเธอขึ้นมาว่าจะเอาอย่างไร
ขณะนั้นเองสะใภ้ใหญ่ที่ยังไม่ทันได้เช็ดปากที่มันจากน้ำมันไก่ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ เหมือนจะเป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าว่า
“ผักเยอะขนาดนี้หากว่าเอาขายได้ก็คงจะดี บ้านเราจะได้มีเงินขึ้นมาบ้าง”
พูดเสร็จเธอก็คีบเนื้อไก่ที่เหลืออยู่ในชามของลูกๆ ขึ้นมากัดกินอีกครั้ง ถึงแม้จะอิ่มมากแล้วแต่ว่ายังมีไก่เหลืออยู่เธอเสียดายตามประสาแม่นั้นเอง
“ทำไมเราไม่เอาไปขายที่แห่งนั้นละคะ” เป็นสะใภ้รองที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ บ้าง
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็หันมาจ้องมองเธอทันที เพราะทุกคนนั้นทราบดีว่า ‘ที่แห่งนั้น’ ที่สะใภ้รองพูดถึงนั้นคือที่ไหน หยางซีซีมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีก็ยังไม่มีใครยอมเฉลยให้เธอฟังว่าไอ้ ‘ที่แห่งนั้น’ ที่พี่สะใภ้รองพูดถึงนั้นคือที่ไหนกันแน่..เธอจึงจำเป็นต้องพยายามจะค้นความทรงจำของร่างเดิมเพื่อหาความหมายของคำว่า ‘ที่แห่งนั้น’ ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบนั้นคือ ตลาดมืด นั้นเอง….
ต้อนทราบว่าในปียุคปี 70 นั้นชาวบ้านไม่สามารถที่จะค้าขายได้อย่างอิสระ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ และหากว่ามีคนฝ่าฝืนแน่นอนว่าบทลงโทษนั้นก็มีหนักเบาตามความผิดของการกระทำของแต่ละคนไป ซึ่งชาวนาชาวไร่อย่างพวกเขานั้น กลัวเรื่องพวกนี้มาก แต่ทว่าเมื่อความหิวโหยมันมากมายจนบางครั้งพวกเขาก็ต้องหาทางเพื่อให้มีชีวิตรอด ดังนั้นถึงแม้ว่าทางการจะไม่ยอมให้เปิดขาย พวกเขาก็แอบขายกันเองและที่สำคัญคือของที่นำไปขายในตลาดมืดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คูปอง แค่เงินหยวนอย่างเดียวก็สามารถหาซื้อได้แล้ว หรือบางครั้งก็เป็นการแลกเปลี่ยนของกันเอง
แต่การจะเข้าไปขายในตลาดมืดนั้นพวกเขาจำเป็นต้องรู้รหัสในการเข้าไป หากไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ เมื่อสะใภ้รองเอ่ยเปิดประเด็นมาเช่นนี้ตอนนี้พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง หยางซีซีเห็นว่าทุกคนเงียบลงและยังไม่มีใครพูดอะไรต่อ เธอจึงได้บอกให้เด็กไปพากันไปล้างหน้าหน้าตาและไปนั่งเล่นบนเตียงเตาในห้อง และให้เจ้าหยางอวิ่นลูกพี่ใหญ่ดูแลน้องๆ ด้วย ซึ่งเขาก็รับปากทันทีและพาน้องๆ เดินออกไป…
“หากว่าอยากจะขายฉันว่าเราเอาเนื้อไปขายด้วยจะดีกว่าค่ะคุณพ่อคุณแม่ ฉันคิดว่าตอนนี้หิมะตกหนัก ผู้คนในที่แห่งนั้นจะต้องขาดพวกเนื้อสัตว์แน่นอน หากว่าเรามีเนื้อหมูและเนื้อไก่และผักสดไปขายมันจะต้องขายดีแน่นอน”
หยางซีซีเอ่ยความในใจของทุกคนออกมาเองอย่างกล้าหาญ เธอรู้ว่าพวกเขาอยากจะเอาของไปขายแต่ว่าก็ยังกลัวอยู่จึงได้เอ่ยต่อไปว่า
“ขอเพียงรู้รหัสที่จะเข้าไปในตลาด ฉันจะหาวิธีให้พวกเราขนของไปขายโดยที่ไม่ถูกใครจับได้เอง”
ทันใดนั้นสะใภ้รองก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ตามสไตล์ของเธอว่า
“..ฉันรู้รหัสค่ะ”
**** ฮองเฮาช่างมีความกล้าหาญจริงๆ ว่าแต่จะทำวิธีไหนถึงจะขนของไปได้เยอะๆ กันนะ อยากรู้จริงๆ 5555****
***หากรีดที่รักถูกใจ อย่าลืมกดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้นเป็นกำลังใจไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ**