รวยแน่ 100%
บทที่ 1 เถ้าธุลีแห่งจักรพรรดินี
ปี 2024, นครเซี่ยงไฮ้
บนชั้นสูงสุดของตึก ฟีนิกซ์ทาวเวอร์ ตึกระฟ้าที่เสียดแทงก้อนเมฆและเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางเทคโนโลยีของเอเชียไป่หลิง นั่งอยู่บนหัวโต๊ะ ร่างระหงในชุดเดรสสูทสีดำสนิทขับเน้นรัศมีอันน่าเกรงขามของเธอออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ดวงตาเรียวคมกริบดุจใบมีดของเธอกวาดมองไปทั่วห้องประชุมที่เงียบงันราวกับป่าช้า บรรดาผู้บริหารระดับสูงที่ปกติมีเงินเดือนหลายล้านหยวน บัดนี้กลับนั่งตัวลีบหลังงุ้ม ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเธอตรงๆ
เธอคือไป่หลิง จักรพรรดินีแห่งHorizon Techอาณาจักรเทคโนโลยีมูลค่าหลายหมื่นล้านที่เธอปั้นขึ้นมาจากสองมือเปล่า วันนี้... คือวันพิพากษา
"โปรเจกต์ โอไรออน" เสียงของเธอเย็นเยียบแต่ก้องกังวาน "ใช้งบประมาณไปหนึ่งพันสามพันร้อยล้านหยวน ใช้เวลาพัฒนาสองปีเต็ม ผลลัพธ์ที่ได้คือแอปพลิเคชันที่ล่มตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว สร้างความเสียหายให้บริษัทประเมินค่าไม่ได้... คุณหลิว ในฐานะหัวหน้าโปรเจกต์ มีอะไรจะแก้ตัวไหม?"
ชายวัยกลางคนชื่อหลิวสะดุ้งสุดตัว เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก "ท่านประธานครับ มัน...มันเป็นเหตุสุดวิสัย..."
"สุดวิสัย?"
ไป่หลิงแค่นยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองหนาวเยือกไปถึงกระดูก
"สุดวิสัยคือการที่เซิร์ฟเวอร์หลักของคุณตั้งอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมโดยไม่มีแผนสำรองงั้นหรือ? หรือสุดวิสัยคือการที่คุณอนุมัติโค้ดที่มีช่องโหว่ร้ายแรงโดยไม่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยขั้นสุดท้าย? ในพจนานุกรมของฉัน คำว่า 'สุดวิสัย' มีไว้สำหรับคนขี้แพ้ ส่วนสิ่งที่คุณทำ เขาเรียกว่า 'ความประมาทเลินเล่อขั้นหายนะ'"
เธอเคาะนิ้วลงบนโต๊ะกระจก เกิดเสียง
"คลิก" เบาๆ แต่หนักแน่นดุจค้อนของผู้พิพากษา
"คุณถูกไล่ออก เก็บของส่วนตัวแล้วไปรับเงินชดเชยที่ฝ่ายบุคคลได้ภายในหนึ่งชั่วโมง"
สิ้นคำประกาศิต ชายคนนั้นก็ทรุดลงบนเก้าอี้ราวกับไร้กระดูกสันหลัง ไม่มีใครในห้องกล้าคัดค้าน นั่นคืออำนาจของไป่หลิง... เด็ดขาด เฉียบคม และไร้ความปรานี
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ผู้บริหารคนอื่นๆ ก็รีบทยอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงคนสามคนในห้องกว้าง
ไป่หลิงถอนหายใจยาว เปลือกตาที่แข็งกร้าวเมื่อครู่พลันอ่อนแสงลง เธอนวดขมับเบาๆ ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนดวงหน้าอันงดงาม
"เหนื่อยหน่อยนะ หลิงเอ๋อร์" เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นข้างกายเฉินเฟิงชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นคนรักและประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท เดินเข้ามาโอบไหล่เธออย่างปลอบโยน
"ฉันแค่ผิดหวัง" เธอตอบ พลางเอนศีรษะซบไหล่กว้างของเขา
"เราทุ่มเทกับโอไรออนไปมาก"
"ไม่เป็นไรหรอก" ชายอีกคนพูดขึ้น เขาคือลู่เหว่ยเพื่อนสนิทและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท
"เราพลาดได้ แต่เราก็ลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ"
ไป่หลิงยิ้มบางๆ "นั่นสินะ... โชคดีที่ฉันยังมีพวกนายสองคนอยู่"
เฉินเฟิงยิ้มละมุน
"แน่นอนสิ เราจะอยู่ข้างเธอเสมอ" เขาพูดพลางยื่นปากกาและเอกสารปึกหนึ่งให้เธอ
"นี่คือเอกสารอนุมัติงบประมาณก้อนใหม่สำหรับโปรเจกต์ฟื้นฟู แค่เธอเซ็น ทุกอย่างก็จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้"
"ขอบใจนะ" ไป่หลิงรับเอกสารมาโดยไม่ได้มองรายละเอียด... อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอแสร้งทำ ดวงตาเหลือบมองลายน้ำพิเศษที่มุมกระดาษเพียงเสี้ยววินาที... เป็นลายน้ำที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ในฐานะคนที่สร้างบริษัทมากับมือ ไม่มีรายละเอียดใดที่รอดพ้นสายตาเธอไปได้ แม้แต่กระดาษที่ใช้ในบริษัท! หัวใจของเธอเย็นเยียบลงทันที แต่ใบหน้ายังคงระบายยิ้มไว้วางใจเช่นเดิม เธอรู้ตัวมาหลายสัปดาห์แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล การเงินที่รั่วไหลอย่างผิดสังเกต พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของคนทั้งสอง... ไป่หลิงไม่ใช่คนโง่ เธอไม่ใช่เด็กสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการธุรกิจอีกต่อไป
เธอจรดปลายปากกาเซ็นชื่อของตัวเองลงไป... แต่เป็นลายเซ็นที่ต่างจากปกติเล็กน้อย... เป็นลายเซ็นที่เธอใช้สำหรับเอกสาร ‘ที่เป็นโมฆะ’ ซึ่งมีเพียงเธอและทนายความส่วนตัวเท่านั้นที่รู้
ทว่า... ทันทีที่เธอวางปากกาลง บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป
รอยยิ้มของเฉินเฟิงที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่น่าขนลุก ลู่เหว่ยที่เคยดูซื่อสัตย์จริงใจ บัดนี้กลับยืนกอดอกมองเธอด้วยแววตาของผู้ชนะ
"ในที่สุด... เธอก็เซ็น" เฉินเฟิงหัวเราะในลำคอ
"เอกสารพวกนี้ไม่ใช่คำของบประมาณใหม่หรอกนะ ที่รัก มันคือเอกสารโอนหุ้นทั้งหมดของเธอ... ให้กับฉันและลู่เหว่ยแต่เพียงผู้เดียว"
ราวกับมีค้อนยักษ์ทุบลงกลางศีรษะ โลกทั้งใบของไป่หลิงหมุนคว้าง แต่เธอกลับฝืนยืนหยัดอย่างมั่นคง ความเจ็บปวดแล่นริ้วในอก แต่ดวงตาของเธอกลับวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"ฉันรู้อยู่แล้ว"
คำพูดของเธอทำให้คนทั้งสองชะงักไป เฉินเฟิงขมวดคิ้ว
"เธอว่าอะไรนะ?"
ไป่หลิงหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสมเพช "พวกนายคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? คิดว่าฉันจะไม่สังเกตเห็นเงินทุนที่ถูกยักยอกไปเข้าบัญชีลับในต่างประเทศของนายเหรอ เฉินเฟิง? หรือคิดว่าฉันจะไม่รู้เรื่องที่นายแอบไปพบกับคู่แข่งของเราบ่อยๆ เหรอ ลู่เหว่ย?"
ใบหน้าของทั้งคู่ซีดเผือด
"เธอ...เธอรู้ได้ยังไง!" ลู่เหว่ยอุทาน
"พวกนายทิ้งร่องรอยไว้เยอะเกินไป" ไป่หลิงกล่าวอย่างเย็นชา
"ฉันให้โอกาสพวกนายแล้ว... ให้โอกาสสารภาพ แต่พวกนายกลับเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุด"
เธอชี้นิ้วไปที่กองเอกสาร "เอกสารพวกนั้นน่ะเหรอ? ลายเซ็นนั่นเป็นโมฆะ ทนายของฉันได้รับการยืนยันแล้ว และแน่นอนว่าการกระทำของพวกนายก็ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว... ทั้งภาพและเสียง" เธอมองไปยังกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในเครื่องฟอกอากาศ
เฉินเฟิงหน้าถอดสี แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
"แล้วยังไง! เธอคิดว่าแค่นี้จะหยุดพวกเราได้เหรอ? หุ้นส่วนใหญ่ในบอร์ดบริหารอยู่ข้างฉัน! ต่อให้เอกสารนี้เป็นโมฆะ พวกเขาก็จะโหวตเธอออกจากตำแหน่งอยู่ดี! เธอมันจบแล้วไป่หลิง! จบแล้ว!"
"ฉันอาจจะจบ... แต่พวกนายก็ต้องล่มจมไปพร้อมกับฉัน!" ไป่หลิงสวนกลับทันควัน ดวงตาของเธอฉายแววอำมหิต
"เฉินเฟิง... นายคงลืมไปสินะว่ากองทุนส่วนตัวทั้งหมดของนาย... ที่นายเอาเงินของบริษัทไปฟอก... นายลงทุนผ่านโบรกเกอร์ที่ฉันเป็นคนแนะนำให้"
หัวใจของเฉินเฟิงหล่นวูบ "เธอ... เธอหมายความว่ายังไง"
"ฉันหมายความว่า... เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ขณะที่พวกเรากำลังประชุมกันอยู่ ทนายของฉันได้ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับโบรกเกอร์ของนาย... เป็นเอกสารมอบอำนาจที่นายเคยเซ็นให้ฉันไว้เมื่อนานมาแล้วตอนที่เรายัง 'รัก' กันดี นายคงจำไม่ได้สินะ?"
เฉินเฟิงเบิกตากว้าง ความทรงจำแล่นกลับเข้ามา... เอกสารที่เขาเซ็นอย่างไม่ใส่ใจตอนไป่หลิงบอกว่าจะช่วยจัดการเรื่องการลงทุนที่ซับซ้อนให้
"ฉันใช้เอกสารฉบับนั้น... สั่งขายชอร์ต (Short Sell) หุ้นของบริษัทคู่แข่งทั้งหมด โดยใช้เงินในกองทุนของนายเป็นหลักประกัน... และในขณะเดียวกัน ก็ปล่อยข่าวลวงที่นายเตรียมไว้เพื่อทำลาย Horizon Tech ออกไปสู่ตลาด... แต่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นบริษัทนั้นแทน"
ติ๊ง!
โทรศัพท์มือถือของเฉินเฟิงและลู่เหว่ยดังขึ้นพร้อมกัน ข้อความด่วนจากตลาดหลักทรัพย์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
[หุ้นของ 'Stellar Corp' ดิ่งเหว 80% หลังมีข่าวลือเรื่องการล้มละลาย]
"เงินทั้งหมดของนาย... หลักทรัพย์ค้ำประกันทั้งหมดของนาย... มันหายไปแล้ว เฉินเฟิง" ไป่หลิงกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก "นายไม่ได้แค่ล้มละลาย... แต่นายยังเป็นหนี้มหาศาลจากการทำ Short Sell ผิดพลาดอีกด้วย ยินดีด้วยนะ... จากมหาเศรษฐีคนใหม่ กลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน"
"ไม่จริง!!! อ๊ากกกกกก!นังบ้า ฉันจะฆ่าแก่" เฉินเฟิงกรีดร้องอย่างเสียสติ เขาพุ่งเข้าใส่ไป่หลิงราวกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยที่เขาเรียกมาเองกลับเข้ามารวบตัวเขาไว้ก่อน
"เอาตัวมันออกไป!ลากมันออกไป!!!" เขาตะโกนลั่น
หน่วยรักษาความปลอดภัยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำตามคำสั่งของผู้ที่ (ณ เวลานี้) ดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะ พวกเขาลากไป่หลิงออกจากห้องประชุม
ไป่หลิงไม่ได้ขัดขืน เธอเดินออกมาอย่างผู้แพ้ที่ยังคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี เธออาจจะสูญเสียบริษัท แต่เธอก็ได้ลากคนที่ทรยศเธอลงนรกไปด้วย แม้มันจะเป็นชัยชนะที่ว่างเปล่าและเจ็บปวดก็ตาม
เธอถูกผลักออกมาสู่ทางเท้าด้านนอกตึกระฟ้าที่เคยเป็นของเธอ
ซ่า...
ฝนเม็ดใหญ่เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารับรู้ความพ่ายแพ้ และผิดพลาดที่เธอเลือกไว้ใจคนผิด และนี่คือสิ่งที่เธอต้องชดใช้ ไป่หลิงยืนตากฝน เนื้อตัวเปียกปอน แต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด หัวใจของเธอ...มันด้านชาไปหมดแล้ว เธอมองขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของตึก เห็นเงาของลู่เหว่ยที่ยืนมองลงมาด้วยสีหน้าซับซ้อน ส่วนเฉินเฟิงคงกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ข้างใน
จบแล้ว... ทุกอย่างที่เธอสร้างมา พังทลายลงในพริบตา...เพียงเพราะความไว้ใจ...โง่เพราะรักและไว้ใจ...
/////
บทที่ 13 สมบัติแห่งขุนเขา ep 2“ระบบ! ตัดชิ้นเนื้อหมีดำออกมาหนึ่งส่วนทำให้เป็นชินเล็กๆ และโยนออกไปให้ไกลที่สุด! ให้มันไปคนละทิศกับฉัน! โยนกลับไปด้านหลังให้มากที่สุด” เธอสั่งอย่างรวดเร็ว เสียงลมหายใจหอบกระชั้นพรึ่บ!ในเสี้ยววินาทีนั้น ชิ้นเนื้อหมีดำขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ปรากฏขึ้นในอากาศจากนั้นมันก็กระจายไปทั่วทิศทางที่ และมากสุดเป็นด้านหลังเพื่อดึงความสนใจของเจ้างูเหลือมยักษ์เสียงครูดครืดของงูเหลือมยักษ์ชะงักไปชั่วขณะ มันหยุดการไล่ล่า แล้วส่วนหัวขนาดใหญ่ของมันก็หันไปยังทิศทางที่ชิ้นเนื้อตกลงไป มันพุ่งเข้าหาแต่ละชิ้น และหงุดหงิดเล็กน้อยที่แต่ละชิ้นนั้นช่างเล็กเหลือเกินราวกับเจ้าตัวที่วิ่งอยู่ข้างหน้านั้นขี้เหนียวทำให้เป็นชิ้นเล็กเพื่อที่จะให้มันต้องวนไปเก็บหลายๆ ครั้ง ไป่ซินซินไม่รอช้า เธอใช้จังหวะนี้ วิ่งสุดฝีเท้า กระโดดข้ามลำธารเล็กๆ และกระโดดขึ้นไปเกาะกับเถาวัลย์ขนาดใหญ่เพื่อปีนขึ้นเนินสูงชันอย่างรวดเร็วย้อนกลับไปในเสี้ยววินาทีก่อนหน้านั้น เมื่อไป่ซินซินสั่งระบบให้ตัดชิ้นเนื้อ ระบบได้ทำการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วถึงปริมาณที่จำเป็นต่อการเบี่ยงเบนความสนใจของงูโดยให้สูญเสียทรัพยากรน้อยที
บทที่ 12 สมบัติแห่งขุนเขา ep 1 ‘ว้าว! นี่มันสุดยอดไปเลย!’ไป่ซินซินรู้สึกราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจที่สุดในโลก เธอทดลองนำสิ่งของเข้าๆ ออกๆ จากมิติเก็บของในมโนสำนึกอีกสองสามครั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว นี่ไม่ใช่แค่คลังเก็บของ แต่มันคือมิติส่วนตัว ที่จะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทุกอย่างในการเอาชีวิตรอดและสร้างความมั่งคั่งในยุคนี้!เธอเหลือบตามองบนเล็กน้อยไปยังยอดเขาเมฆาที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งกว่าเดิมไป่ซินซินออกเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าแต่ละก้าวอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยว เธอไม่ต้องกังวลเรื่องสัมภาระหนักอึ้งอีกต่อไป เพราะทุกอย่างถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในมิติเก็บของ เธอสามารถหยิบของที่ต้องการออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่นึกถึงอากาศบนยอดเขายิ่งเบาบางและหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ หมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่ว ทำให้ทัศนวิสัยจำกัด แต่ไป่ซินซินไม่ย่อท้อ เธอใช้เสื้อคลุมของพ่อที่หนาและอบอุ่นที่อยู่ในมิติเก็บของออกมาสวมใส่ทันที มันช่วยกันลมหนาวที่กัดกินกระดูกได้อย่างดีในขณะที่เธอกำลังก้าวผ่านพุ่มไม้หนาแน่น ระบบก็ดังขึ้นในหัวของเธอติ๊ง![ตรว
บทที่ 11 ฟังก์ชั่นมิติเก็บของหลังจากเก็บเห็ดหลินจือจักรพรรดิได้อย่างภาคภูมิใจ ไป่ซินซินไม่ได้หยุดพักนานนัก สายตาแน่วแน่มุ่งตรงไปยังยอดเขาเมฆาที่สูงเสียดฟ้า อากาศเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ ความหนาวเย็นกัดกินเข้ามาถึงกระดูกราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง เสื้อคลุมของพ่อที่เคยรู้สึกหนาพอเริ่มไม่สามารถต้านทานอุณหภูมิที่ลดต่ำลงได้อีกต่อไป แต่แรงปรารถนาที่จะนำ โสมพันร้อยปี กลับไปให้ครอบครัว คือไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจเธอ ไม่ให้เธอยอมแพ้เส้นทางที่นำไปสู่โสมพันร้อยปีนั้นแตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง มันคือการปีนป่ายหน้าผาหินปูนที่สูงชันเสียดฟ้า ผิวหินเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและมอสที่ลื่นปรื๊ดราวกับทาน้ำมันไว้ และมีหมอกหนาทึบปกคลุมตลอดเวลาจนมองไม่เห็นแม้แต่ปลายเท้าติ๊ง!เสียงระบบดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ไป่ซินซินรู้สึกหวิวในใจเล็กน้อย เพราะทุกครั้งที่เสียงนี้ดังขึ้น มักจะตามมาด้วยคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายเสมอ[พื้นที่เขตอันตรายระดับ A: ตรวจพบสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สองชนิดกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด] [หลบหนีทันที! อัตราการรอดชีวิตในบริเวณ: 5%] [ตำแหน่งสิ่งมีชีวิต: ด้านหน้า 50 เมตร]ไป่ซินซินตาเบิกกว้าง ความวิตกกังวล
บทที่ 10 ความเสี่ยง 70%ที่ต้องแบกรับเอง...เส้นทางสู่ยอดเขาเมฆาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันเต็มไปด้วยหินผาขรุขระ ทางลาดชันที่ต้องปีนป่าย และป่าทึบที่แสงอาทิตย์ยังส่องไม่ถึง บางช่วงเธอต้องใช้มือช่วยยึดเกาะก้อนหินเพื่อปีนขึ้นไป บางช่วงต้องใช้มีดถางทางที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้หนาทึบ แต่ไป่ซินซินไม่ย่อท้อ เธอเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่น ความคิดถึงบ้านใหม่ที่อบอุ่นสำหรับน้องๆ คือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดของเธอ'โสมพันปี... เห็ดหลินจือจักรพรรดิ... พี่มาแล้ว!!!!!'เธอพึมพำกับตัวเอง สายลมหนาวพัดโชยมาปะทะใบหน้า บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของเธอที่ย่ำไปบนใบไม้แห้งกรอบแกรบราวกับเสียงกลองศึกที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณนักสู้ในตัวเธอให้ตื่นขึ้นเต็มที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนๆ เหนือทิวเขา เปลี่ยนผืนฟ้าสีดำสนิทให้กลายเป็นสีครามอมชมพู ภาพเบื้องหน้าคือหมอกหนาทึบที่ลอยอ้อยอิ่งปกคลุมยอดเขา ราวกับม่านลึกลับที่ซ่อนเร้นความลับและอันตรายเอาไว้ ไป่ซินซินรู้ดีว่า ยิ่งสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ อากาศก็จะยิ่งบางเบาและหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น เธอต้องใช้เสื้อคลุมของพ่อที่หนาและอบอุ่นเป็นเกราะกำบังจากความหนาวเหน็บที่เริ่มกัดกิ
บทที่ 9 ออกเดินทางแน่นอนว่าหลังจากที่ไป่ซินซินมุ่งหน้าไปบริเวณที่ระบบวิเคราะห์ความสำเร็จบอกไม่นาน เธอก็กลับลงมาจากเขา ตัวตะกร้าที่สะพายมาเต็มแน่นไปด้วยเห็ดหอมดอกใหญ่สีน้ำตาลเข้ม และยังมีเห็ดโคนสีขาวนวลที่ผุดขึ้นมาเป็นกลุ่มๆ ราวกับว่าพวกมันรอการค้นพบจากเธออย่างไรอย่างนั้น นอกจากเห็ดเหล่านั้นแล้ว เธอยังได้ผักป่ากลับมาอีกหอบใหญ่ แน่นอนว่าเพราะมีระบบชี้นำทำให้เธอรู้ว่าผักชนิดไหนที่สามารถกินได้ ชนิดไหนที่กินไม่ได้ ดังนั้นครั้งนี้การขึ้นภูเขาของเธอก็ประสบความสำเร็จอีกครั้งเมื่อไป่ซินซินเดินกลับมาถึงกระท่อม ไป่เหมยที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้านก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที ดวงตาเล็กๆ เบิกกว้างเมื่อเห็นของที่พี่สาวหอบหิ้วมา“พี่ใหญ่! กลับมาแล้ว! แล้วนี่อะไรคะ เต็มตะกร้าเลย!”ไป่เหมยร้องด้วยความตื่นเต้น มือเล็กๆ ชี้ไปที่ตะกร้าเห็ดไป่ซานที่ออกมาดูด้วย ก็เบิกตาโตไม่แพ้กัน“โห! เห็ดเยอะแยะเลยครับพี่ใหญ่! แล้วนี่ผักอะไรครับ ไม่เคยเห็นเลย!”ไป่ซินซินยิ้มกว้าง “พี่กลับมาแล้วจ้ะ! นี่ไง เห็ดหอมกับเห็ดโคน แล้วก็ผักป่าที่เราจะเอาไว้กินกันนะ”เธอลูบหัวน้องๆ อย่างอ่อนโยน“พวกเราจะได้มีของอร่อยๆ กินกันตลอดฤดูหนาวเลย!
บทที่ 8 เตรียมการก่อนออกเดินทาง หลังจากที่ได้ทราบว่าระบบวิเคราะห์ความสำเร็จที่อยู่ในหัวของเธอสามารถที่จะอัปเกรดได้ ทำให้ไป่ซินซินมีกำลังใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ อย่างน้อยหากว่าอัปเกรดแล้ว เธอก็น่าจะหาข้าวปลาอาหารและข้าวของต่างๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ความคิดนี้ทำให้ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มอย่างมีความหวัง เธอลงมือเตรียมการต่อทันทีด้วยความกระตือรือร้นเพราะการจุขึ้นภูเขาเธอยังต้องหาเสื้อผ้าที่หนาพอจะกันลมหนาวบนภูเขาสูงด้วย แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ยอดเขาสูงย่อมมีอากาศที่แตกต่างออกไป อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากเตรียมตัวไม่พร้อม เธอนึกถึงเสื้อคลุมเก่าๆ ของพ่อที่เก็บอยู่ในหีบไม้ใบเล็ก มันเป็นเสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหนา แม้จะเก่าและมีรอยปะบ้าง แต่น่าจะพอช่วยกันลมหนาวได้ เธอลองสวมดู เสื้อตัวใหญ่โคร่งจนเกือบคลุมไปทั้งร่างผอมบางของเธอ แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นได้ดีไป่ซินซินใช้เข็มและด้ายที่หาเจอ เย็บซ่อมแซมเสื้อคลุมตัวนั้นอย่างพิถีพิถัน รอยขาดต่างๆ ถูกเย็บปะอย่างบรรจง พลางคิดถึงอันตรายที่รออยู่บนยอดเขา 'สัตว์ป่าดุร้ายปกป้องงั้นหรือ? ไม่ว่าจะตัวอะไร ฉันก็ต้องผ่านมันไปให้ได้!' ดว