เสี่ยวหงให้จินเยว่ยืนรอจ้าวตงหยางที่หน้าเรือนของเขา เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน อากาศที่หนาวเหน็บของทางเหนือ เสื้อผ้าของบ่าวที่นางสวมอยู่ในตอนนี้มิช่วยให้เกิดความอบอุ่นขึ้นเลย เหมือนจงใจกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาในจวนแล้ว
จินเยว่ยืนรอให้จ้าวตงหยางเรียกเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาถึงให้นางเข้าไปพบ จินเยว่เดินตัวแข็งทื่อเข้าไปเพราะนางหนาวจนขาแข็งไปหมดแล้ว
"บังอาจ เหตุใดถึงไม่คารวะท่านแม่ทัพ" ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง นางลอบกลอกตาอย่างไม่พอใจ
"จินเยว่ คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าลงเพราะไม่อยากทนมองสายตาเหยียดหยามที่เขาใช้มองนาง
"หึ วันนี้เจ้าติดตามคอยรับใช้ญาติผู้น้องของข้า" เขาแค่นเสียงใส่นาง ก่อนที่จะเอ่ยบอกหน้าที่ของนาง
นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอยากไม่อยากเชื่อว่า เขาจะให้นางคอยรับใช้ญาติผู้น้องของเขา แม้แต่บ่าวในเรือนก็สะดุ้งตกใจ นางได้แต่สงสัยว่าญาติผู้น้องของเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ หากเป็นคนดีเรื่องนี้คงไม่ต้องถึงนาง
"มีอันใด หรือเจ้ามิยินยอม"
"ข้าเพียงแค่สงสัย ท่านให้ข้ามาช่วยงาน เหตุใดถึงต้องคอยรีบใช้ญาติผู้น้องของท่านด้วย"
"หึ แค่บุตรสาวขุนนางต้องโทษเจ้ามีสิทธิ์เลือกหรือ" จินเยว่จ้องมองเขาอย่างเย็นชา บุรุษสารเลวผู้นี้บีบบังคับนางเกินไปแล้ว
"เสี่ยวหง พานางไปส่งที่เรือนคุณหนูเว่ย บอกว่าข้าส่งคนมาคอยดูแลนาง" จ้าวตงหยางสั่งเสร็จก็ลุกเดินออกไป
จินเยว่กัดฟันแน่นด้วยความแค้นใจ แต่ก็จำต้องเดินตามเสี่ยวหงไป
"แม่นางเสวี่ย ข้าขอปากมากเตือนเจ้าสักประโยค เจ้าอย่าได้ทำให้คุณหนูเว่ยไม่พอใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นเจ้าได้ถูกโบยเป็นแน่" จินเยว่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
"เพราะเหตุใด นางต้องโบยข้าด้วย" เสี่ยวหงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องของเว่ยซืออิงอย่างรวดเร็ว
เว่ยซืออิงเป็นหลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่า นางหมายมั่นว่าจะได้แต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพจึงได้ทำตัวเป็นใหญ่ภายในจวน แต่เรื่องที่นางตบตี โบยบ่าวไพร่ เป็นเรื่องที่ถูกปิดซ่อนไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวมิได้รับรู้ ท่านแม่ทัพคงรู้ไม่งั้นคงมิให้จินเยว่มาคอยรับใช้นาง
ยิ่งบ่าวที่เป็นสตรี หากใครใบหน้างดงามจะถูกนางจัดการอยู่บ่อยครั้ง เพราะกลัวว่าจะยั่วยวนท่านแม่ทัพ แต่ครั้งนี้จินเยว่เป็นสตรีที่ท่านแม่ทัพส่งมาด้วยตนเองไม่รู้ว่าจะพบเจอเรื่องใดบ้าง เสี่ยวหงเห็นใจนางจึงได้เอ่ยปากเตือนไว้
จินเยว่ได้แต่คิดว่ามีแต่คนเป็นประสาท จ้าวตงหยางก็ประสาท เว่ยซืออิงก็ประสาทแดก
เสี่ยวหงส่งจินเยว่เสร็จนางก็รีบกลับไปทำหน้าที่ของตน แต่นางก็ยังส่งสารตาเตือนจินเยว่ว่าอย่าลืมคำเตือนของนาง จินเยว่ยิ้มขอบคุณตอบกลับไป
"คารวะคุณหนูเว่ย ข้าน้อยจินเยว่เจ้าค่ะ" นางยอมที่จะเชื่อคำเตือนของเสี่ยวหง
"พี่หยางส่งเจ้ามาคอยรับใช้ข้าหรือ นับว่าเอาใจใส่ข้ายิ่งนัก" ประโยคแรกพูดกับจินเยว่ แต่ประโยคหลังนางหันไปพูดกับบ่าวของนาง
"จริงเจ้าค่ะคุณหนู ท่านแม่ทัพนึกถึงคุณหนูเสมอ" สาวใช้รีบตอบรับให้เจ้านายของตนหน้าบาน จินเยว่มองเรื่องทั้งหมดอย่างเรียบเฉย
"ดีดี เจ้ามาช่วยข้าแต่งตัว ประเดี๋ยวจะออกไปไม่ทันรับแขก"
จินเยว่รีบเดินเข้าไปช่วยนางแต่งตัว แต่รสนิยมของเว่ยซืออิงช่าง มันดูแดงไปเสียทั้งตัวทั้งหน้า นางเอ่ยปากเตือนดีหรือไม่ แต่สาวใช้ของซืออิงก็ยกย่องเสียนายของตนสวยราวกับเทพธิดา จินเยว่จึงปล่อยเลยตามเลย
จินเยว่เดินตามเว่ยซืออิงออกไปที่เรือนส่วนหน้าเพื่อพบกับฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว เมื่อนางแนะนำตัวฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวถึงกับปรายตามองบุตรชายอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะเอ่ยกับนางอย่างเป็นกันเอง
"รบกวนเจ้าแล้ว"
"มิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยเต็มใจเจ้าค่ะ" นางจะพูดอันใดได้ ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเดียวในห้องโถงที่มิได้ดูแคลนนาง สายตาที่คนอื่นมองนาง นางเริ่มจะชินเสียแล้วจึงได้แต่ยืนก้มหน้าเงียบๆอยู่ในมุมห้องเช่นบ่าวคนอื่น
แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจนางที่นางเงียบเกินไปจึงส่งมารร้ายเช่นจ้าวตงหยางมาช่วยเหลือนาง
"คุณหนูเว่ยข้ามอบคนให้เจ้า เจ้าไม่เรียกใช้ หรือว่ามิถูกใจ" เว่ยซืออิงถึงกับเขินอายที่จ้าวตงหยางเอ่ยปากพูดกับนางต่อหน้าคนมากมาย
"จินเยว่เจ้ามายืนข้างข้า" เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างได้ใจ
จินเยว่เดินไปยืนข้างเว่ยซืออิงแทนที่สาวใช้ของนาง ถึงจะอยู่ในชุดของสาวใช้แต่ก็มิได้ทำให้ความงามล่มเมืองของจินเยว่ลดลงเลย ยิ่งได้ยืนอยู่ข้างเว่ยซืออิงที่แดงไปทั้งตัวทั้งหน้า ชุดสาวใช้สีขาวของนางยิ่งเด่นขึ้นจนบุรุษที่มาร่วมงานต่างมองจนมิอาจละสายตาได้
แต่เว่ยซืออิงกลับคิดว่าบุรุษพวกนั้นมองนางจนตาค้างไปเลย
จินเยว่คอยยกน้ำชา ยกอาหารให้เว่ยซืออิงอย่างระวัง ยิ่งงานใกล้เลิกนางก็ยิ่งผ่อนคลายลงเมื่อไม่เกิดเรื่องใดขึ้น สีหน้าของนางจึงค่อยๆมีรอยยิ้มน้อยๆเมื่อเว่ยซืออิงต้องการสิ่งใดเพิ่ม ไม่ได้กดดันเท่ากับตอนแรกแล้ว
แต่เหมือนเรื่องนี้จะทำให้จ้าวตงหยางไม่พอใจ ยิ่งนางยิ้มเขายิ่งหงุดหงิด ขนาดหลิวเหล่ยที่นั่งข้างๆ ยังมองนางจนเหม่อลอย จ้าวตงหยางหยิบเม็ดถั่วขึ่นมาแล้วดีดใส่ข้อมือของจินเยว่ที่กำลังยกน้ำชาส่งให้เว่ยซืออิง
"กรี๊ดดดด" เสียงร้องของเว่ยซืออิงเรียกความสนใจจากคนในงานให้หันมามอง
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ