ตอนที่ 10
“อืม... คอลิดเจ้ามาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเจ้า ราฮิม ออกไปตรวจตรารอบๆ โอเอซิสเถอะ ส่วนข้า จะไปแช่น้ำเสียหน่อยจะได้สดชื่น” สิ้นคำสั่ง คนสนิททั้งสองถึงกับทำหน้าเหวอไปตามๆ กัน เพราะคาดเดาว่าฟารีฟน่าจะสั่งการอะไรบางอย่างเพื่อไปช่วยเหลือท่านการิดหรือไม่ก็ลูกชายของท่าน
“พวกเจ้าจะยืนทำหน้าประหลาดกันอีกนานหรือไม่” ฟารีฟถอนฉุนอีกครั้งแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบหอบผ้าของตนแล้วเดินไปยังลำธารที่ซุกซ่อนอยู่หลังโขดหิน เพื่อแช่น้ำเย็นๆ
“คอลิด ทำไมท่านจอมโจรเหยี่ยวดำผู้มีคุณธรรมถึงไม่เข้าไปช่วยเหลือท่านการิดล่ะ ข้าชักงงแล้วสิ” พอคล้อยหลังนายเหนือหัวไปแล้ว ราฮิมก็หันมาถามเพื่อนรัก ที่กำลังจะเดินไปพักผ่อนตามคำสั่งฟารีฟ
“เจ้าจะงงอะไรของเจ้านักหนาเล่า ราฮิม” สีหน้าของคอลิดออกจะรำคาญเพื่อนรักไม่น้อย เพราะเขาอยากจะพักผ่อนเอาแรงเสียมากว่า หลังจากต้องห้อม้าตะบึงกลับมารายงานความเคลื่อนไหวของขบวนการค้าของท่านการิด
“ก็...เท่าที่ทราบ ฟารีฟพึงพอใจลูกสาวท่านโมฮัมมานานแล้ว แล้วเหตุใดไม่ไปแย่งชิงก่อนจะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงเล่า อีกอย่างท่านการิดก็กำลังเดือดร้อนอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของจอมโจรเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดาสักนิด ที่จะอยู่นิ่งเฉยแบบนี้ หากรู้ว่าคนของสหายเก่าเดือดร้อน”
“ข้าว่าเจ้าเลิกงงแล้วก็เลิกสงสัยเสียทีเถอะ ข้าอยากไปพักผ่อน แล้วก็รู้เอาไว้ซะด้วยว่า ถึงท่านจอมโจรเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดาจะทำนิ่งเฉย แต่เจ้าเชื่อข้าเถอะสหายว่าฟารีฟมีวิธีจัดการปัญหาอยู่แล้วละ แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงท่านการิดไปหรอก เพราะท่านการิดก็มีฝีมือ คงไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเอาได้ง่ายๆ หรอกน่า” คอลิดยกมือตบบ่าแกร่งของสหายรักเบาๆ แล้วทำท่าจะเดินไปหาที่พักผ่อน โดยวานให้ราฮิมพาม้าของตนไปกินอาหารและพักผ่อน เพราะไม่ว่าคนหรือสัตว์อย่างไรเสียก็ต้องพักผ่อน
“แล้วเหตุใดปล่อยให้คนบุกรุกเข้าไปได้ง่ายๆ เล่า” ราฮิมมิวายจะเอ่ยถาม ก่อนที่สหายรักจะไปหาที่พักผ่อนจากนั้นก็หันไปจ้องหน้าม้าคู่ใจของคอลิด เฮ้อ! นี่เขากลายเป็นคนเลี้ยงม้าไปแล้วหรือไง แต่ก็คงดีว่าถูกส่งไปเลี้ยงอูฐ
“ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่ผู้ร่วมเดินทางหละหลวม เหตุร้ายมันก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ จำไว้ให้ดีล่ะสหายรักของข้า ข้าไปละ ข้าอยากพักผ่อน ส่วนเจ้าก็เอาม้าข้าไปพักที” ตัดบทด้วยการล้มตัวลงนอนหลังใช้ผ้าขนสัตว์ปูลงบนพื้นเรียบร้อย เพียงครู่เดียวก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป ทิ้งให้ราฮิมส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันไปจัดการกับม้าคู่ใจของสหายรัก จากนั้น ชายหนุ่มก็โดดขึ้นหลังม้าอีกตัวควบเหยาะๆ ออกไปสำรวจรอบโอเอซิส ภายใต้การปกครองของจอมโจรเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดา
“มูนา ข้ามอบให้เจ้า” ราชิดยื่นกริชประจำตัวมอบแก่หญิงสาวที่ตนมีใจให้ทันที หลังพากันเดินทางมาร่วมสามวันเต็มจนมาถึงกองคาราวานของท่านรามินทร์
“นี่เป็นกริชประจำตัวของเจ้านะราชิด แล้วเจ้าเอามาให้ข้าทำไมกันเล่า” มูนาทำหน้านิ่งด้วยความสงสัย
“ข้าอยากให้เจ้าเก็บไว้ข้างตัวของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้เอาไว้ป้องกันตัว อย่าลืมสิว่าต่อจากไปนี้เจ้าต้องออกเดินทางไปกับกองคาราวานนานนับเดือน ข้าเป็นห่วงเจ้า เป็นห่วงมาก” กระแสเสียงเต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร แม้อยากไปปกป้องดูแลหญิงอันเป็นที่รักจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลและทำต่อไป
“แต่กริชเล่มนี้มีความหมายกับเจ้ามากนะราชิด ข้าจำได้ว่าท่านลุงเป็นคนมอบให้เจ้า ข้าว่าเจ้าเก็บไว้เถิด แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ากริชเล่มนี้เป็นตัวแทนความรักที่ท่านลุงมีต่อเจ้า ส่วนข้า เพียงแค่เจ้ามาส่งข้าถึงกองคาราวานอย่างปลอดภัย ข้าก็ขอบใจเจ้ามากแล้ว อีกอย่างข้าก็มีอาวุธป้องกันตัวของข้าอยู่แล้ว นี่ไงเล่า ท่านพ่อของข้ามอบให้ข้ากับมือ” มูนาแอบหยิบกริชคมกริบขนาดเล็กเหมาะสมกับเจ้าตัวที่ผู้เป็นพ่อมอบให้ก่อนที่เธอจะออกเดินทาง
“พ่อของเจ้ารอบคอบเสมอนะมูนา ถ้างั้นเจ้าก็เก็บกริชไว้ให้ดีละ แล้วเจ้าก็ควรใช้เมื่อยามจำเป็นเท่านั้น อย่าเที่ยวเอาไปข่มขู่ผู้อื่นล่ะ” ราชิดกล่าวเตือนด้วยความหวังดี แม้จะรู้สึกน้อยใจอยู่มากที่หญิงสาวไม่รับกริชที่เขารักมากเท่าชีวิตไว้ เพราะถ้าหากหญิงสาวรับไว้ อย่างน้อยๆ มูนาจะได้ระลึกถึงเขาและมีเขาอยู่เคียงข้างเสมอ
“ข้ารู้แล้วน่าราชิด เจ้านี่นะพูดเหมือนท่านพ่อของข้าเลย เอาละ ข้าต้องไปแล้ว ข้าขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยนะราชิด เอาไว้หากมีโอกาสเราคงจะได้พบกันอีก ราชิด เจ้าเป็นเพื่อนที่ข้ารักมากที่สุดนะ” มูนาคลี่ยิ้มให้เพื่อนรักภายใต้ผ้าฮิญาบ ก่อนจะยืนมองจนราชิดโดดขึ้นหลังม้าและควบห่างออกไปในเส้นทางเดิม โดยที่มูนาไม่ได้รับรู้เลยว่าหัวใจของเพื่อนบอบช้ำสักแค่ไหน ที่ต้องจำใจจากลาหญิงอันเป็นที่รักตลอดกาล
อวสานหนึ่งเดือนต่อมาข่าวการประกาศสละราชบัลลังก์ขององค์ฟาตินก็ดังไปทั่วประเทศอัสคาซาน รวมไปถึงประเทศใกล้เคียงที่ต่างก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีที่ถูกจัดภายในพระราชวังอัสเซโรซานาพร้อมการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เหล่าประชาชนทั่วประเทศอัสคาซานก็พากันร่วมเฉลิมฉลองในหมู่บ้านของตน พร้อมกับการได้รับข้าวของบริจาคจากราชวังที่องค์ฟาเดลทรงให้ตัวแทนนำออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชนของพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ประชาชนทุกคนต่างร่วมยินดีที่พระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศอัสคาซาน ในขณะภายในพระราชวังกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่อยู่นั้น ที่เนินทรายสูงมีหญิงชายนั่งกอดกันอยู่บนหลังม้าใกล้กับโอเอซิสขนาดเล็ก เพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านบาลายูดา หลังจากฟารีฟได้พามูนาเดินทางกลับไปเยี่ยมผู้ให้กำเนิดที่หมู่บ้านคาเบียนเซีย ที่เวลานี้มีแต่ความสงบสุขไม่ต่างจากหมู่บ้านบาลายูดา “ท่านพี่” มูนาขานเรียกเจ้าของอ้อ
ตอนที่ 82จังหวะรักร้อนแรงขึ้นพอๆ กับเสียงครวญครางของสองสามีภรรยา แล้วฟารีฟก็จับร่างเมียรักพลิกนอนคว่ำหน้า ขยับตัวขึ้นทาบทับ เบียดความรุ่มร้อนเข้าหา ปากหยักพรมจูบไปทั่วไหล่ลาดและแผ่นหลังเนียน มือหนาคว้าเอวเล็กไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อผสานความรักต่อกัน มืออีกข้างก็ลากผ่านไปทางด้านหน้าเพื่อเคล้นคลึงอกอิ่มไปพร้อมกัน เหงื่อไหลย้อยเป็นทางเมื่อความกระชั้นโถมขึ้นหนักหน่วง ชั่วอึดใจคนที่รับความแข็งแกร่งก็ครางลั่นยาวเหยียด สมองที่มืดมนสว่างวาบเมื่อความทรมานที่มาพร้อมความซาบซ่านถึงจุดสิ้นสุด มูนาถึงกับอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องฟุบหน้าแนบไปกับฟูกนุ่ม ด้านฟารีฟเมื่อเห็นว่าเมียรักเดินทางไปถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงเร่งทะยานพาตัวเองไปถึงจุดนั้นตามเธอไปติดๆ เพียงไม่นานก็เปล่งเสียงครางลึกอย่างสุขสม เมื่อปลดปล่อยความรักทั้งหมดทั้งมวลให้เมียรักจอมดื้อรั้นไปแล้ว ก่อนทิ้งร่างลงนอนทาบ อ้อมแขนกำยำสอดเข้าไปโอบกอดร่างนุ่มที่ยังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์รักไว้แน่น จูบซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แต่เหมือนความต้องการของเขาไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อเนื้อสัมผัสเนื้อจึงเกิดกระแสความปรารถนาขึ้น
ตอนที่ 81ฟารีฟขยับตัวเพียงนิดเพื่อจะเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนกายเมียรักออก ปากของเขาลากลงมาที่ลำคอระหง จูบซับอย่างเอาใจคนใต้ร่าง โดยที่มืออีกข้างก็สอดหายเข้าไปใต้ชายผ้าที่รั้งขึ้นมาจนถึงโคนขาเรียว วาดผ่านแผ่วเบาไปบนความนุ่มละมุมของความเป็นหญิง กอบกุมลูบไล้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจับร่างเล็กพลิกให้นอนคว่ำ แล้วเข้าทาบทับทางด้านหลัง ไซ้จมูกและปากไปกับก้านคอขาวผ่อง พร้อมปลดพันธนาการของตัวเองจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่า ผิดกับอาภรณ์บนกายเมียรักเขาค่อยๆ ถอดออกทีละชิ้น พยายามใจเย็นที่สุดในชีวิต ซึ่งเมื่อผิวนวลขาวของเมียรักเผยตรงจุดไหนเขาก็ก้มหน้าพรมจูบไปตรงนั้น แล้วจบลงที่สะโพกงอนงามหลังจากที่ตอนนี้หญิงสาวนอนเปลือยอวดเรือนร่างให้เห็นตลอดทั้งตัว“ยอดรักของพี่” ฟารีฟเคลื่อนตัวขึ้นไปกระซิบคำหวานใส่ใบหูเล็ก แล้วกดปากร้อนลงกับแก้มนุ่ม ทาบเรือนกายส่วนหน้าแนบชิดกับเรือนร่างบอบบางด้านหลัง ทำให้มูนาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นสามีจะไร้อาภรณ์เช่นเดียวกัน หนำซ้ำความแข็งขึงที่ถูไถไล้วนเวียนกับสะโพกของเธอ ก็ส่งผลให้ใบหน้าคมสวยร้อนผ่าวและเห่อแดงขึ้นมาทันตา
ตอนที่ 80“เจ้าจะกลับไปหาไอ้ราชิดหรือไงมูนา!” ฟารีฟตะคอกถามเสียงแข็งกระด้าง จากที่โมโหเพราะความดื้อรั้นของเมียรักอยู่นั้น ตอนนี้กลับมีแรงหึงหวงเข้ามาเพิ่ม ยิ่งทำให้ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อยบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น “หากใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน” มูนาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ขุ่นเคืองเขาที่ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องคือเขาคนเดียวเท่านั้นที่หลอกลวงเธอมาตลอด “มูนา!” ฟารีฟคำรามลั่น แววตาคมลุกวาวไม่จากกองไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นจุณ “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าข้า” ปากบอกขณะที่มือก็คว้าหมอนที่เกลื่อนพื้นขึ้นมาปาใส่ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เหี้ยมจัด ตามด้วยข้าวของที่พอจะฉวยหยิบขึ้นมาได้จนฟารีฟต้องถลันเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้แน่น พร้อมกับตวาดเสียงแข็งเพื่อปราม&nb
ตอนที่ 79หลายวันผ่านพ้นไปนับตั้งแต่เรื่องราวเศร้าสะเทือนใจชาวบ้านค่อยๆ จางหาย แต่ชาวบ้านทุกคนก็มิเคยลืมเลือนพ่อเฒ่าซุกกี ทุกอย่างในหมู่บ้านบาลายูดากลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งดูไม่ค่อยเป็นสุขนัก เมื่อเมียรักยังไม่ยอมพูดจาด้วย หลังฟารีฟเริ่มปฏิบัติการง้อเมียรักอยู่หลายวันแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และในค่ำคืนนี้ก็เช่นกันที่ฟารีฟยังคงเดินหน้าง้อเมียรักเช่นเดิมผิดกับมูนาที่นับวันก็ยิ่งโกรธเคืองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมากขึ้นทุกวัน หลังเขาสั่งกักขังเธอไว้แต่ในบ้านราวกับสัตว์เลี้ยงเมื่อเธอยืนยันว่าจะไปจากเขา ‘คนใจร้าย อย่าให้ข้าหนีไปได้นะ ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านแน่ คนหลอกลวง!’มูนาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธจัด หากแต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งระบายความเคียดแค้นกับผ้าห่มที่ถูกกระชากทิ้งลงพื้นไปไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าก็ถูกดึงกลับขึ้นมาแล้วจับขมวดเป็นก้อนกลมแล้วปาทิ้งอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ 78“นัจมีย์ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ พอเห็นนัจมีย์ก็รีบมาบอกคุณหนูนี่แหละเจ้าค่ะ หรือว่า! พวกชาวบ้านจะรู้กันแล้วว่าคนที่วางยาท่านพ่อเฒ่าคือคุณหนู แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะเจ้าคะคุณหนู” นัจมีย์โผเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาอันดาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก น้ำตาก็ไหลพรากด้วยความหวาดกลัว“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์ แล้วก็จำไว้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนวางยาท่านลุง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เป็นคนใส่ยาพิษลงไปในอาหารของท่านลุง แล้วก็เป็นเจ้าอีกเช่นกันที่ใส่ยาพิษลงไปในขนมของนังมูนา” อันดาสะบัดขาของตนออกจากเกาะกุมของสาวใช้“คุณหนู! เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” นัจมีย์หน้าไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงพร้อมส่ายหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตาไปมา“ก็มันเป็นเจ้าจริงๆ ที่เป็นคนวางยาท่านลุงของข้า” อันดายังคงโบ้ยความผิดให้สาวใช้“แต่นัจมีย์ทำไปเพราะคำสั่งของคุณหนูนะเจ้าคะ”“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์!” อันดาโผเข้าไปตบหน้าของสาวใช้ฉาดใหญ่ แล้วบังคับให้นัจมีย์ยอมรับผิดเพียงคนเดียว แต่นัจมีย์ยังไม่ได้