ตอนนั้นทั้งกลุ่มเพื่อนของเธอและกลุ่มเพื่อนของเขา ต่างพากันแซวตลอดเวลา พิมพ์ใจจำได้แค่ว่า เธอแนะนำตัวกับพี่รัญว่า
“ชื่อพิมพ์ใจนะคะ เรียกพิมพ์เฉย ๆ ก็ได้ เรียนอยู่มอสี่ค่ะ พี่ชื่ออะไรคะ เรียนอยู่ที่ไหนคะ”
พอถามเขาเสร็จแล้ว พิมพ์ใจก็สั่นไปทั้งตัว ทั้งเขิน ทั้งอาย และพี่รัญคงรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขาจึงเขียนข้อมูลทุกอย่างของเขาใส่กระดาษแล้วยื่นให้เธอ
พิมพ์ใจจึงได้ข้อมูลของเขาเอามาให้เพื่อน เป็นอันว่าวันนั้น เธอชนะคำท้าของเพื่อน ๆ และก็เอาชนะใจของผู้ชายเงียบขรึมอย่างพี่รัญได้ด้วย
เพราะหลังจากวันนั้น พี่รัญก็แอดไลน์มาหาเธอ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น เริ่มคุ้นเคยที่จะทักทายพูดกันทุกวัน บอกฝันดีก่อนนอนทุกคืน และความสัมพันธ์เริ่มพัฒนามาจนถึงขั้นตกลงคบกันเป็นแฟน
เป็นความรักใส ๆ ที่มีแต่ความปรารถนาดีให้กัน พี่รัญให้เกียรติน้อง ไม่เคยล่วงเกินน้อง และเขาไม่คิดจะทำมันเลย เขาอยากให้น้องรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา ยิ่งนานวัน หัวใจสองดวงก็ยิ่งผูกพัน ยิ่งรัก ยิ่งเข้าอกเข้าใจกัน
...น้องยังเด็ก อารัญจึงไม่อยากทำให้เธอเสียใจ ไม่อยากทำให้เธอต้องแปดเปื้อนใด ๆ เขารอน้องได้เสมอ รอจนถึงวันที่น้องพร้อมเพื่อเขาจริง ๆ ไม่ว่านานแค่ไหนเขาก็จะรอ
“ไปไหนมา”
คุณพิมพ์พรนั่งกอดอกอยู่บนโซฟาในห้องโถง เธอมองลูกสาวด้วยสายตาดุ
“พิมพ์ไปติวหนังสือกับเพื่อนมาค่ะ”
“เพื่อนคนไหน”
“เพื่อนที่โรงเรียนค่ะ”
“นี่ลูกสาวของฉันกลายเป็นเด็กขี้โกหกไปตั้งแต่เมื่อไรนะ”
“พิมพ์...เอ่อ...”
“มานี่ซิ !”
พิมพ์ใจเดินเข้าหามารดา เด็กสาวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับผู้เป็นแม่ เธอวางกระเป๋าและหนังสือลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยตรงหน้า
“แม่จะให้พิมพ์ตอบอีกครั้งว่า ไปติวหนังสือกับเพื่อนคนไหน”
“พิมพ์ไปติวหนังสือกับเพื่อนจริง ๆ นะคะ”
คุณพิมพ์พรถอนหายใจ
“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใคร”
คุณพิมพ์พรเปิดรูปในโทรศัพท์มือถือ แล้วยื่นให้ลูกสาวดู
“เพื่อนแม่ส่งรูปนี้มาให้แม่ดู ทีนี้จะบอกความจริงกับแม่ได้หรือยังว่า พิมพ์ไปติวหนังสือกับใคร”
“พิมพ์...เอ่อ...พิมพ์ไปติวหนังสือกับ...พี่รัญค่ะ”
พิมพ์ใจบอกเสียงแผ่วเบา
คุณพิมพ์พรถอนหายใจแรง แล้วเอ่ยถามลูกสาวต่อว่า
“เขาเป็นใคร พ่อแม่เป็นใคร รู้จักกันได้ยังไง”
พิมพ์ใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่ฟัง จริง ๆ เธออยากจะบอก อยากจะเล่าให้แม่ฟังทุกเรื่องราวนั่นแหละ เพียงแต่แม่ของเธอไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเลย ท่านยุ่งตลอด ทั้งออกงานสังคมกับพ่อเลี้ยงของเธอ สังสรรค์กับเพื่อน ไหนจะไปไปเที่ยวต่างประเทศนาน ๆ ท่านไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน และไม่เคยสอบถาม ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยรับฟังเรื่องราวใด ๆ ที่เธออยากจะบอกเล่าเลย ครั้งนี้ที่ท่านสนใจมาไต่ถาม ก็คงเพราะเพื่อนของท่านส่งรูปของเธอกับพี่รัญมาให้ท่านดู ท่านคงกลัวเสียหน้า หากลูกสาวไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม
“เป็นลูกนายตำรวจยศใหญ่เสียด้วย แม่ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โต โอเค...แม่อนุญาตให้คบกันได้ และห้ามปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาด ลูกสาวแม่มีแฟนเป็นลูกคนรวยมีหน้ามีตาในสังคมแบบนี้ แม่จะได้เอาไปเกทับอีพวกปากหอยปากปู”
คุณพิมพ์พรยิ้มพอใจ และไม่คิดจะขัดขวาง
พิมพ์ใจยิ้มเจื่อน เธอรู้ดีว่า แม่อนุญาตให้เธอคบกับพี่รัญ เพราะครอบครัวของพี่รัญรวยและมีหน้ามีตาทางสังคม แม่ไม่ได้สนใจที่เธอบอกว่า พี่รัญเป็นคนดี ช่วยติวหนังสือให้เธอ และไม่เคยล่วงเกินเธอเลย เธออยู่กับพี่รัญแล้วอบอุ่นสบายใจ
แม่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะแม่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ สองแม่ลูก”
คุณมานะชัยเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เขาเดินเข้ามาหาสองแม่ลูก
“คุยเรื่องแฟนของลูกค่ะ คุณพี่”
คุณมานะชัยนั่งลงที่เก้าอี้เดี่ยวบุผ้าหนานุ่ม เขายิ้มให้ทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“หนูพิมพ์มีแฟนแล้วเหรอ ผมว่า ลูกยังเด็กอยู่เลยนะ”
“อุ๊ย ! ไม่เด็กแล้วล่ะค่ะ โตเป็นสาวแล้ว พรอนุญาตให้คบกันได้ เพราะแฟนของพิมพ์เป็นลูกชายคนเดียวของพันตำรวจเอกอธิป กับคุณราณี...ผู้บริหารบริษัทอสังหารายใหญ่เชียวนะคะ”
“อ้อ ! ลูกชายสองคนนี้เองเหรอ ผมรู้จักพวกเขาดี โดยเฉพาะพันตำรวจเอกอธิป ผมรู้จักดีเชียวล่ะ ตอนนี้ประจำอยู่ต่างจังหวัด และก็กำลังจะขอย้ายกลับมาประจำในพื้นที่ที่เราอยู่ เขาเป็นนายตำรวจที่ซื่อตรง ยอมหัก ไม่ยอมงอ”
“เห็นมั้ยคะ คุณพี่ยังรู้จักพวกเขาเลย คนมีหน้ามีตาในสังคมแบบนี้ เหมาะสมกับลูกสาวของเราที่สุดค่ะ”
คุณพิมพ์พรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจกับว่าที่ลูกเขย
คุณมานะชัยมีสีหน้าเคร่งเครียดลงนิดหน่อย ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น
พิมพ์ใจถอนหายใจบางเบา ไม่รู้ว่าเธอควรจะดีใจที่แม่ยอมรับพี่รัญ หรือควรรู้สึกอย่างไรกันแน่ เพราะดูเหมือนแม่จะชอบใจความร่ำรวยและความมีหน้ามีตาในสังคมของพี่รัญ มากกว่าจะมองเห็นถึงความดีของเขา
หลังจากวันที่ พิมพ์ใจบอกเล่าเรื่องการคบกันระหว่างเธอกับอารัญให้ผู้เป็นแม่รับรู้ เธอก็ได้พาอารัญมาแนะนำให้แม่กับพ่อเลี้ยงรู้จัก และพี่รัญก็พาเธอไปแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวของเขาเช่นกัน
อารัญไม่สนใจข่าวพวกนั้นหรอก เพราะคนอื่นไม่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกับเขากับพิมพ์ใจ แค่ครอบครัวของเราเข้าใจและยอมรับกัน รักและเข้าใจกัน เขาก็ไม่เห็นต้องแคร์คนอื่นเลยเขาแคร์เฉพาะคนที่ยืนข้างกายเขาในตอนนี้ต่างหาก เขาอยากให้เธอมีความสุขในทุกวัน ไม่อยากให้ใครหรืออะไรมาทำให้เธอทุกข์ร้อนใจสักนิด ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขากับภรรยา อารัญก็กอดเอวบางรั้งเธอมาแนบชิดอย่างปกป้องหวงแหน“ซื้อไว้สักยูนิตดีมั้ยครับ เอาไว้แอบหนีเจ้าพอร์ชไปจู๋จี๋กันสองต่อสอง” อารัญกระซิบถามยิ้ม ๆพิมพ์ใจหันขวับไปมองสบตาสามี เธอขึงตาใส่คนหื่น“พี่รัญ หน้าไม่อาย”“อายทำไมล่ะครับ พี่ชอบ” อารัญบอกพลางทำทีเหลือบตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระซิบบอกเมียว่า“วิวห้องมุมดีมากเลยนะครับ จัดที่ระเบียงน่าจะฟินมาก โอ๊ย !”คนคิดหื่นกลางวันแสก ๆ โดนเมียหยิกจนต้องร้องโอดโอยเบา ๆ กระนั้นคนถูกเมียหยิกก็ยังยิ้มกรุ้มกริ่มได้การโอบกอดเมียไว้แนบกายตลอดเวลา การส่งสายตาหวานเชื่อมมองกัน และการพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกของสามีภรรยา ทำให้คนที่มองพวกเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในงานหมั่นไส้วาสินีก็มางานนี้เช่นกัน พอเห็นภาพสวีตของสองคนนั้นแล้วก็อดไม่ได้
เมื่อห้วงเวลาแสนเสียวเบาบาง พิมพ์ใจก็นอนหอบหายใจแรงจนทรวงอกสะท้านขึ้นลงอารัญดูดเนื้อนวลเต็มปาก เขาดื่มด่ำกับความหวานละมุนอย่างพอใจ ก่อนจะไล้เลียไปทั่วทุกซอกหลืบความสาว แล้วจึงค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นมา เขาพรมจูบเนินเนื้ออวบอูมนวลเนียนไร้พุ่มไหม ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นมา เพื่อจูบสลับกับไล้เลียผิวเนียนจากหน้าท้องแบนราบ ขึ้นมาถึงชายโครง ก่อนจะเข้าครอบครองทรวงอกอวบอิ่มด้วยปากร้อนผ้าว ดูดดึง ไล้เลีย จนเมียครางหวิวในลำคอ และเริ่มมีอารมณ์อยากขึ้นมาอีกครั้ง“พิมพ์จ๋า...ขึ้นให้พี่นะครับ”อารัญกระซิบอ้อนเสียงแตกพร่าพิมพ์ใจลืมตาขึ้นสบตาคมเข้ม หญิงสาวผลักอกกว้างเบา ๆ สามีของเธอก็เอนกายลงนอนหงายอย่างเต็มใจอารัญนอนมองเมียป่ายขาคร่อมตัวเขา แล้วหยัดกาย นั่งคุกเข่าคร่อมอยู่ตรงกลางหว่างขา เธอล้วงมือลงจับหัวมนทู่เอามันไปถูไถกลางกลีบเนื้ออ่อนนุ่ม“ซี้ด ! พิมพ์จ๋า...”อารัญครางเสียว แล้วกัดฟันแน่น เขายื่นมือไปจับเอวบางไว้หลวม ๆ มองใบหน้าเมียอย่างแสนรัก แสนเสน่หา อารัญกลั้นหายใจ ในตอนที่เมียจับหัวอวบใหญ่กดลงตรงปากทางแอ่งอุ่นนุ่มลื่น และพอเธอโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย กดสองมือลงบนอกกว้าง แล้วขย่มลงมา
“พี่รัญ...พอแล้ว” พิมพ์ใจทั้งดิ้น ทั้งขำ เธอทุบบ่ากว้างไปหนึ่งที คนขี้แกล้งจึงหยุดอารัญทาบทับตัวเองลงบนเรือนกายเนียนนุ่ม เขาสอดแขนลงใต้แผ่นหลังบาง กกกอดเธอไว้เต็มอ้อมอก และซุกหน้าอยู่ซอกคอหอมกรุ่น“เฮ้อ ! รู้สึกดีจังเลย พี่อยากกอดพิมพ์ไว้แบบนี้ตลอดไป”พิมพ์ใจยิ้มอ่อนหวาน เธอยกแขนขึ้นกอดเขาไว้เต็มวงแขน ตัวเขาใหญ่โตกว่าเธอมาก พอถูกเขาทาบทับและกอดไว้แน่น ๆ แบบนี้ เธอรู้สึกหนักอยู่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวทั้งใจมันมากกว่า“งั้นก็กอดอย่างนี้ไปจนถึงเช้าเลยดีมั้ยคะ”ทำไมจะไม่รู้ว่า สามีอยากทำมากกว่ากอด เพราะตอนนี้ ความเป็นชายของเขาแข็งคึกแนบอยู่กับต้นขาของเธอคนอยากทำมากกว่ากอดรีบพลิกตัวลงนอนหงาย โดยกอดรัดเมียให้มานอนเกยก่ายอยู่บนตัวเขาแทน“อยากทำมากกว่ากอด แต่วันนี้เหนื่อยจังเลยครับ พิมพ์จ๋า พิมพ์ที่รัก ทำให้พี่หน่อยนะครับ”พิมพ์ใจยิ้มอย่างรู้ทัน หญิงสาวลุกขึ้นนั่งคร่อมหน้าท้องแกร่ง เธอไขว้มือลงจับชายกระโปรงชุดนอนแล้วดึงออกทางศีรษะเธอไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน ดังนั้น สิ่งที่อารัญเห็นตอนนี้คือ เรือนร่างขาวนวลล้อแสงไฟ กับเต้านมอวบใหญ่ของคุณแม่ลูกหนึ่งแม้น้องพอร์ชจะเลิกกินนมแม่ไปแล้ว
พอได้ไอติมถ้วยเล็กมาแล้ว อารัญก็พาลูกชายไปนั่งรอที่ม้านั่งตัวยาวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับร้านขนม เขานั่งหันหลังให้ร้าน ใช้ตัวบังลูกชายที่นั่งอยู่บนตัก ป้อนไอติมให้ลูกกินอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะเลอะ แล้วแม่พิมพ์จะจับได้คุณพ่อรัญยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นลูกกินอย่างมีความสุข พอลูกชายกินไอติมจนหมดถ้วย เขาจึงเอ่ยถามว่า“อร่อยมั้ยครับ”“อะหย่อยฮับ” น้องพอร์ชเงยหน้าขึ้นมาตอบและยิ้มหวานให้คุณพ่อ“เปื้อนขนาดนี้ เช็ดปากให้ลูกหน่อยมั้ยคะ”เสียงดุ ๆ มาพร้อมกับทิชชูเปียกยื่นมาตรงหน้าคุณพ่อคนตามใจลูกถึงกับใจหายวาบ เขาเงยหน้ามองคุณแม่หน้าหวานแต่ตาดุ แล้วยิ้มแหยให้เธอ“พิมพ์บอกแล้วว่า ช่วงนี้ น้องพอร์ชต้องงดไอติมและเครื่องดื่มเย็น”“กะ...ก็ลูกอยากกิน” ไม่รู้จะเถียงยังไง และก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลใดไปเถียงพิมพ์ใจถอนหายใจแรง หญิงสาวเช็ดปากเช็ดแก้มเลอะไอติมของลูกชาย“กลับบ้านกันได้แล้วค่ะ วันนี้ต้องมีคนโดนทำโทษแน่นอน”พิมพ์ใจพูดพร้อมกับส่งสายตาดุให้สามี ก่อนจะหันไปมองลูกชาย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร เจ้าเด็กหัวหมอก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน“จุนแม่ฮับ จุนแม่คนฉวย จุนแม่ใจดี๊ดีของพอร์ช”พิมพ์ใจถึงกับส่ายหน้ากับ
พิมพ์ใจเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่สองพ่อลูกนั่งอยู่ เธอยื่นสองมือไปหาลูกชาย เพื่อจะอุ้มไปนั่งรอคุณพ่อที่โซฟา“ไม่อาว...พอร์ชจะอยู่กับจุนพ่อ” เจ้าหนูหันหน้าเข้าหาคุณพ่อ แขนเล็กป้อมกอดลำคอแกร่งไว้แน่น ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ไม่ยอมไปหาคุณแม่อารัญกอดลูกชายไว้ด้วยวงแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างลูบศีรษะอย่างรักใคร่เอ็นดูสุดหัวใจ“พี่รัญคะ ส่งลูกมาให้พิมพ์เถอะค่ะ พี่รัญจะได้ทำงาน”“ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว พี่อุ้มลูกไว้เอง พิมพ์ไปนั่งรอที่โซฟาเถอะ”พิมพ์ใจถอนหายใจบางเบา พลางคิดในใจว่า ดื้อทั้งพ่อทั้งลูกเลย แต่เธอก็ยอมเดินไปนั่งรอที่โซฟาแต่โดยดี“คุณแม่ไปแล้วครับ”คุณพ่อกระซิบกระซาบบอก น้องพอร์ชจึงค่อย ๆ เหลียวหลังไปมอง พอเห็นว่าคุณแม่ไปนั่งอยู่ตั้งไกลแล้ว เด็กชายก็ยิ้มพอใจ เขาขยับตัวนั่งลงบนตักของคุณพ่อ พิงหลังกับอกอบอุ่นที่เขาชื่นชอบอารัญสอดแขนลงใต้รักแร้คนตัวเล็ก โอบกอดลูกไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ตรวจงาน เซ็นเอกสารไปเรื่อย ๆน้องพอร์ชนั่งนิ่ง ไม่ดื้อ ไม่ซน นั่งรอคุณพ่อทำงานอย่างเรียบร้อยครู่เดียวอารัญก็ทำงานเสร็จ เขาจึงอุ้มลูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และพาเดินไปหาคุณมาที่นั่งอ่า
พอพูดถึงบ้านตัวเอง ใบหน้าของพิมพ์ใจก็หม่นเศร้าลง หญิงสาวมองไปนอกหน้าต่างรถ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่เธอคุ้นเคย และรถก็กำลังเคลื่อนเข้าใกล้บ้านที่เคยเป็นของครอบครัวเธอ เธออยากเห็นอีกสักครั้ง อยากเห็นบ้านที่เธอเคยพักพิง ที่ที่เคยมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกัน...อยากเห็นก่อนที่มันจะถูกขายไปเป็นของคนอื่นอารัญกระชับมือนุ่มที่กุมอยู่ เขามองใบหน้าด้านข้างของพิมพ์ใจ เธอกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขารู้ว่าเธอรอดูตอนที่รถขับผ่านบ้านของเธอ แต่เขาจะไม่ให้รถขับผ่านไปเฉย ๆ เขาจะให้คนขับรถจอด เพื่อเธอจะได้ลงไปดูบ้านหลังเดิมของเธอได้ชัด ๆพิมพ์ใจย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อรถตู้จอดที่หน้าประตูรั้วบ้านที่ถูกปิด และมีโซ่กับแม่กุญแจอันใหญ่คล้องไว้ หญิงสาวหันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเธออารัญยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะบอกเธอว่า“ลงไปดูใกล้ ๆ มั้ยครับ”“ลงไปดูได้เหรอคะ”เพราะที่ประตูรั้วบ้านมีแผ่นป้ายปิดประกาศเอาไว้ว่า เป็นทรัพย์ของธนาคารแห่งหนึ่ง พิมพ์ใจจึงไม่แน่ใจว่า เธอจะเข้าไปดูใกล้ ๆ ได้จริงเหรอ“ได้สิครับ มาเถอะ พี่พาไปเอง”เมื่อคนขับรถเปิดประตูด้านข้างรถ อารัญลงจากรถก่อน แล้วหันมาประคองคุณแม่ท้องคนสวย