LOGINเขียนโดยแกรมม่า เมื่อ 4 ปีก่อน
ไดอารี่ที่รัก ฉันเขียนบันทึกประจำวันขึ้น เพราะอยากช่วยจดจำวันที่สำคัญที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิตฉัน วันนั้นเป็นวันที่ฉันสูญเสียคนที่รักมากที่สุด แต่ก็เป็นวันที่ฉันได้รู้จักบุคคลที่อยู่ในคำทำนายอีกเช่นกัน
ฉันกับขวัญเนตร เราเป็นคนรักกัน ฉันมีรักลึกซึ้งกับผู้หญิงคนนี้ได้กว่าสามปีแล้ว และฉันเองก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน
"แกรมม่า" น้ำเสียงที่เธอเรียกฉัน ทอดเสียงอย่างอ่อนโยนทุกครั้ง มันทำให้ฉันรู้สึกพิเศษ และเป็นที่รัก "เราไปร้านสะดวกซื้อกันไหม"
"เพิ่งไปเมื่อวานเองไม่ใช่เหรอ"
ฉันถามเพราะอยากดูซีรีส์ต่อให้จบ แต่เธอเข้ามาคล้องแขนแล้วทำตากลมโตใส่ อดไม่ได้ที่จะหมั่นเขี้ยว และยอมตามใจทุกครั้ง
"วันนี้ก็ซื้อของกินวันนี้ ส่วนเมื่อวานก็กินหมดแล้ว"
"ดูหน้าท้องสิ ขวัญเริ่มท้องย้วยแล้วนะ"
"หึ"
แม้จะงอนแต่ก็ทำเสียงน่ารัก
"ไม่ไป?"
"ไปสิ ขอสวมเสื้อแจ็คเก็ตแป๊บหนึ่ง" ฉันก้าวยาวๆ ไปหาเสื้อคลุม
คงสงสัยล่ะสิ ว่าฉันกับขวัญเนตร ใครเป็นรับเป็นรุก คนมักมองว่าฉันเป็นรับ เพราะหน้าตาสวยหวานและดวงตาโต แต่สำหรับเราสองคน เราผลัดกัน และฉันไม่ถือที่จะเปลี่ยนไปมา หรือเป็นแบบใดแบบหนึ่ง
อ้าย!! น่าอายจังเลย ดีนะที่ไม่มีใครอ่านบันทึกเล่มนี้
เราเดินไปท่ามกลางลานดาวและดวงจันทร์เต็มดวง คล้องแขนกันเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เราหยุดตรงทางข้ามม้าลาย ฉันปล่อยมือเธอ แล้วก้มลงมองมือถือ มือของฉันสัมผัสมือใครอีกคน พร้อมเสียงเบรกรถ ล้อรถบดขยี้ไปกับถนนยามค่ำคืน
ฉันใจหายวาบ เป็นห่วงคนน่ารักที่ยืนอยู่ข้างหน้า
รถคันนั้นกำลังจะชนเธอ!
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่ง เหลือแค่ฉันกับหญิงแปลกหน้าอีกคนที่เคลื่อนไหวได้ ละอองน้ำที่กระเด็นจากล้อรถก็หยุดราวกับโดนแช่แข็ง ฉันตาโตกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้
"ฉันหยุดเวลาได้ และก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าโดนตัวคนอื่นแล้วจะทำให้เขาหยุดเวลาได้ด้วย" เธอทำน้ำเสียงเหมือนอธิบายเรื่องดินฟ้าอากาศ ฉันพยายามจดจำหน้าตาแบบนี้เอาไว้ ผิวขาว ปากนิด จมูกหน่อย ผมดำขลับ เห็นแล้วนึกถึงเกิร์ลกรุ๊ปขึ้นมาทันที "ถ้าไม่รังเกียจ มาช่วยกันหน่อย"
"ช่วยอะไรอะ"
"ดันผู้หญิงคนนี้ให้พ้นวิถีรถชน"
"อ้อ ได้" ฉันกระพริบตาด้วยความงงงวย ก่อนใช้แรงผลักขวัญเนตรให้ถอยหลัง พ้นจากระยะที่รถจะชน
"เรียบร้อย คนขับรถช่างไม่ระวังเอาซะเลย แต่อย่างน้อยเราก็ไม่สูญเสียกันละนะ"
"ขอบคุณนะ" เธอพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แต่ฉันยังไม่หมดคำถามแค่นั้น "เดี๋ยวก่อน"
"อะไร"
"เธอชื่ออะไร"
"เรียกเราว่าเพนนี"
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ฉันจำได้ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน อยากถามอะไรเธอมากมาย แต่เธอยกมือขึ้นปราม
"พลังเราจะหมดแล้ว เราต้องเลิกหยุดเวลาได้แล้ว"
เธอกระพริบตา แล้วสรรพสิ่งก็เคลื่อนไหวดังเดิม ขวัญเนตรปกติดี หันมายิ้มให้ฉัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อฉันหันไปมองอีกครั้ง เธอก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
เราเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ในเวลาใกล้เที่ยงคืนแบบนี้ร้านแทบไม่มีคน ฉันเดินไปให้ไกลจากเครื่องปรับอากาศ แย่หน่อยที่เซ็นเซอร์ตามมนุษย์ไปทุกหนทุกแห่ง ทำให้ฉันหนีอากาศเย็นไปไม่พ้น
ขวัญเนตรเดินมาควงแขนฉันอย่างรู้งาน เธอรู้ว่าฉันขี้หนาว และดันตะกร้าให้ฉันถือ เราหยิบขนมจนเต็ม แล้วเดินไปจ่ายเงิน เสียงประตูอัตโนมัติเปิดออก พร้อมร่างสูงในชุดสีดำ เขาสวมหมวกและใส่หน้ากากมิดชิด เดินเข้ามาพร้อมปืนเลเซอร์
"โอนเงินเข้าบัญชีนี้ ไม่งั้นตาย" เขาดันเศษกระดาษให้พนักงานแคชเชียร์ กวาดปืนไปทั่วร้าน ทุกคนหลบลงที่ต่ำ ไม่อยากมีส่วนร่วมในการกรรโชกครั้งนี้ "ฉันรู้ว่าแกเจ้าของร้าน อย่าแกล้งโง่ โอนเงินบิทคอยน์ไปที่บัญชีสวิสเร็วๆ เข้า"
ตอนนั้นฉันเป็นแค่นักเรียนตำรวจ ยังไม่คล่องเรื่องการสู้กับผู้ร้ายเท่าไหร่ ฉันแอบอยู่หลังเชลฟ์วางของ ภาวนาให้พวกมันจากไปโดยไม่ทำร้ายใคร สายตาก็หันไปเจอเพนนีที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกล เธอหน้าซีดเหมือนอยากอาเจียน และโงนเงนเหมือนจะล้ม สงสัยการหยุดเวลาจะใช้พลังเธอไปเกือบหมด
แต่ที่ฉันไม่คาดคิดก็คือ ขวัญเนตรโยนตะกร้าใส่โจร อาศัยช่วงชุลมุนพยายามจะแย่งปืนเขา แต่โจรมีแต้มนำที่เขาสูงใหญ่และมีแรงสมชาย ปืนเลเซอร์จึงอยู่ในมือเขาอย่างมั่นคง
เขาตบหน้าขวัญเนตรหนึ่งทีด้วยความโมโห
"เสือก"
คำด่านั้นทำให้ฉันเองก็ของขึ้นเช่นกัน
โจรยิงปืนเลเซอร์มาทางคนรักของฉัน ส่วนฉันหันไปทางเพนนีอย่างหมดหวัง
ฟุ่บ!
เธอโดนเลเซอร์พุ่งตรงไปยังหน้าอก!
เศษเนื้อรอบๆ หัวใจไหม้เกรียม กลิ่นเนื้อย่างทำให้ฉันเวียนหัว หน้าอกเธอเป็นรูโหว่ เธอไม่ตายในทันที แต่พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ร่างกายกระตุกอย่างน่ากลัว ฉันอ้าปากอย่างหมดหวัง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร ไม่รู้ว่าจะล่ำลาด้วยถ้อยคำไหน น้ำตาไหลออกมาทำหน้าที่แทนฉัน
เมื่อโจรได้เงินเข้าบัญชีไปแล้ว เขาก็หนีไป
ไอ้เลว! แกฆ่าแฟนฉัน
แต่คนที่ผิดกว่าคือฉันไม่มีน้ำยาพอจะสู้กับโจรได้ และเพนนีก็ไม่มีแรงที่จะหยุดเวลาอีกแล้ว ฉันเข้าใจดี และไม่ได้โกรธเธอ
"เสียใจด้วยนะ" เพนนีบอกด้วยหน้าตาซีดเซียว "ฉันมาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ถ้าฉันมีพลังมากกว่านี้ เธอคงไม่ต้องตาย"
ฉันกอดเธอเป็นการล่ำลา และหัวใจของฉันก็ยังลืมขวัญเนตรไม่ได้จนถึงวันที่กลับมาอ่านไดอารี่ตอนนี้
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่
เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"
เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ