เขียนโดยเพนนี เมื่อ 3 วันก่อน
"สวัสดีค่ะ ดิฉันพริมา ภัทรโสภณ เป็นอาจารย์แนะแนวที่โรงเรียนน้องเรวัชค่ะ"
ฉันแนะนำตัวแก่ผู้ปกครองของเด็ก เธอดูวุ่นอยู่ในครัวก่อนที่จะออกมาคุยกับฉัน คิ้วขมวดน้อยๆ ด้วยความสงสัย
"แล้วมีธุระอะไรคะ"
"น้องไม่ได้ไปโรงเรียนมาหนึ่งเดือนแล้ว ดิฉันอยากทราบว่าน้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ" ฉันพูดตามสคริปต์อย่างเบื่อหน่าย ไม่เคยชอบเลยจริงๆ ที่จะต้องไปหานักเรียน เกลี่ยกล่อมให้เด็กกลับเข้ามาในระบบ เพราะเด็กพวกนี้ตัดสินใจแล้วว่า โรงเรียนไม่เหมาะกับเขา และฉันก็เชื่อว่าการศึกษาสำหรับคนแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ใครใคร่เรียนเองก็เรียน ใครใคร่เรียนกับคนเป็นๆ ก็เรียน และวิธีเรียนไม่จำกัดแค่ในห้องเรียนด้วยนี่นา
"เข้ามาก่อนสิคะ อาจารย์...เอ่อ..อาจารย์ชื่อเล่นว่าอะไรคะ"
"เพนนีค่ะ"
ฉันทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องรับแขก แม่ของเด็กขึ้นไปตามนายเรวัชลงมา เขาดูง่วงงุน ผมชี้โด่ชี้เด่ หน้าม้ายาวจนแทบปิดตา นี่คงอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้กระทั่งจะออกไปตัดผมเลยสินะ
เขากล้าสบตาฉัน เข้าใจล่ะ นานๆ คนอยู่ติดบ้านก็ชอบเข้าสังคมเหมือนกัน แต่บรรยากาศรอบตัวเขาบอกฉันว่า เด็กคนนี้มีดีกว่าที่เห็น ถ้าลองทำงานเกี่ยวกับเด็กมาแบบนับไม่ถ้วน จะแยกแยะได้เอง ว่าใครมีของหรือไม่มีของ และฉันก็แยกแยะได้
เขาทักฉัน และแม่ของเขาก็ขอตัวไปทำภารกิจต่อ ปล่อยให้เราคุยกันตามลำพัง ฉันต้องเกลี่ยกล่อมให้เขาเห็นประโยชน์จากการไปโรงเรียนให้ได้ นั่นคือหน้าที่ที่ฉันต้องทำในวันนี้
"นายเรวัช อยู่ม.หกแล้ว อาจารย์พูดถูกไหมคะ"
"ครับ ผมเป็นหนุ่มแล้ว ชอบคนอายุมากกว่าด้วย"
ถึงเขาจะโปรยเสน่ห์ แต่ขอโทษเถอะ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ทำให้ฉันหวั่นไหวได้
นึกถึงอ้อยอิ่งขึ้นมาทำไมไม่รู้
"เธอซ้ำชั้นมาสามปีแล้วถูกไหมคะ"
เขาลอบถอนหายใจ ก็ยังดีที่มีความเกรงใจกันอยู่บ้าง ไม่แสดงออกเต็มร้อยว่าเบื่อการเรียนในระบบ
"ครับ"
"โรงเรียนมันน่าเบื่อว่าไหม" ฉันกระซิบกับเขา ให้รู้ไปเลยว่าฉันก็เบื่อเหมือนกัน "สมัยก่อนครูก็เกเรไปเรื่อย เคยถูกจับไปขายด้วยล่ะ"
"หรือครับ? ผมก็ว่า อย่างอาจารย์เดบิวต์ไปเป็นเกิร์ลกรุ๊ปได้สบายๆ"
ฉันยิ้มเขินอายแบบนี้ทุกครั้งที่มีคนชม ก็พอรู้ว่าปากนิดจมูกหน่อยแบบนี้ มันน่ารักอะนะ
"ก่อนหน้านั้น เล่าให้ครูฟังก่อน ว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมไปโรงเรียน"
"ผม...ผมคิดว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มีแค่ทางเดียว เหมือนกับที่เด็กเรียนไม่ใช่เด็กที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรุ่นครับ"
ว่าแล้วเชียว เขามีของ มีทัศนคติและมีวิธีคิดเป็นของตัวเอง ถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้อง และพยายามให้มากพอ เขาจะเป็นดาวของรุ่นได้เลย
ฉันเชียร์เต็มที่ ไอ้ลูกศิษย์เจ้าชู้เอ้ย!
"แล้วทางที่เธออยากไป เป็นทางไหนเหรอเรวัช"
"เรียกผมว่าเรย์ก็ได้ครับ อาจารย์เพนนี" เขาแนะนำชื่อเล่นออกมา เมื่อคิดว่าเจอคนที่เข้าใจ "อาจารย์รู้จัก VR ไหมครับ"
"รู้จักสิ โลกเรามาถึงทางแยกอยู่พอดี"
ฉันเอ่ยสั้นๆ เพื่อให้รู้ว่าได้ยินข่าวมาบ้างอยู่เหมือนกัน ข่าวที่ว่าการใช้แว่นและเสื้อสูทเพื่อใช้ชีวิตในโลกเสมือนกำลังจะกลายเป็นของล้าสมัย เพราะต้องออกจากระบบมากินนอนหรือถ่าย ไม่สามารถจะอยู่ในโลกเสมือนตลอดทั้งวันได้ มีคนคิดจะผ่าตัดฝังอุปกรณ์เข้าไปในสมอง ให้เราใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งร่างกายในชีวิตจริงอีก
"ผมคิดว่าจะผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์เข้าไปในตัว ปล่อยร่างกายให้คนช่วยรักษาชีวิตไว้ด้วยการป้อนอาหารทางสายยาง แล้วใช้ชีวิตในโลกเสมือนแทน"
"ทำไมล่ะ โลกนี้ไม่ดีพอสำหรับเธอเหรอ"
"ผมหาทางร่ำรวยในโลกเสมือนได้ แล้วผมก็รู้จักโลกเสมือนทุกซอกทุกมุม อีกอย่างมันแฟนตาซี กว่าเยอะ อาจารย์เคยไหมที่จะกระโดดสูงกว่าสองเมตร โหนตัวข้ามตึก หรือกระทั่งกินยาต่อชีวิตในโลกของเราได้"
ฉันเถียงไม่ออก แต่ฉันก็รักโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่า
"แต่กฎหมายเราไม่อนุญาตให้เด็กต่ำกว่ายี่สิบปี ตัดสินใจผ่าตัดเองได้ ต้องให้ผู้ปกครองรับรอง แล้วพ่อแม่เธอว่าอย่างไร"
"อีกอาทิตย์เดียวผมจะจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ผมกับแฟนจะอยู่ในโลกเสมือนจนกว่าร่างกายเราจะหมดลมหายใจ มันไม่ต่างอะไรเลยกับโลกแห่งความเป็นจริง แถมดีกว่าทุกอย่าง"
"เมื่อเธอตายในเกม ทรัพย์สินทุกอย่างจะหายไป แล้วเธอต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่"
"ก็จริง แต่ผมมียาต่อชีวิตนี่ครับ"
"อาจารย์เข้าใจ ไหนเธอลองบอกสิ เธอลิ้มรสชาติอาหารได้อร่อยเท่านี้ในโลก VR หรือเปล่า"
"ไม่ครับ แต่ภาพในนั้นสวยกว่ามาก ได้กลิ่น ได้สัมผัสสมจริงด้วยเทคโนโลยีล้ำโลกที่เรามี และในนี้เรามีอวตาร ต่อให้หน้าตาธรรมดาแค่ไหน ก็เสกสรรค์ให้สวยหล่อได้ เบื่อเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ จนคนที่ตามล่าเรา อาจหาเราไม่เจออีกเลย"
ฉันแปลกใจกับประโยคที่ล่าเรื่อง'ตามล่า' แต่ไม่ได้ถามออกไป
ฉันเก็บประวัติการเรียนของเขาใส่กระเป๋าผ้า การสัมภาษณ์จบแค่นี้ เพราะฉันไม่มีความสามารถ จึงไม่อาจเกลี่ยกล่อมอะไรได้อย่างที่ควรจะเป็น
“อาจารย์ยอมแพ้ คุยกับเธอแล้วก็คิดว่าไปเดบิวต์ยังง่ายกว่า แต่ถ้าเธออยากจะคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆ เธอสามารถโทรหาอาจารย์ได้ สัมผัสในโลกจริงอาจดีกว่านี้ ถ้าเธอเปิดใจ อาจารย์ทิ้งเบอร์โทรไว้ให้นะ"
ฉันขอให้เกิดปาฎิหารย์ภายในเจ็ดวันนี้ด้วยเถิด
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่
เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"
เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ