LOGINสายลมนิ่งสงบของเช้าวันถัดมา ไม่ต่างจากความนิ่งเงียบภายในตำหนักรองที่หลิงอันต้องย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราวหลังอภิเษก
หลิงอันในชุดชายาฉบับเรียบง่าย—ผ้าไหมสีอ่อนปักลายเมฆบาง—ยืนเงียบอยู่ริมบานหน้าต่าง มองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นเหมยกำลังเริ่มผลิบาน ทว่าในใจกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า เมื่อคืน…หลังถูกพาตัวกลับจวน องค์ชายเยี่ยนหยางไม่ได้ตรัสอะไรอีก นอกจากให้คนพาหล่อนกลับตำหนักรอง เหมือนต้องการเว้นระยะห่าง เหมือนกำลังคิด…หรือกำลังระแวง… หลิงอันไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน—สายตาของเขาในวินาทีนั้นมันคุ้นเคยจนน่ากลัว เหมือนเขากำลังจ้อง “นาง” ตัวตนของหล่อนก่อนมาอยู่ในจวนใหม่… ก่อนหล่อนจะลบตนเองออกจากสายตาเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านางคือใคร หรืออาจ…ยังไม่แน่ใจเท่านั้น --- ช่วงสาย องค์ชายเยี่ยนหยางเสด็จออกจากตำหนักเพื่อไปศาลาว่าราชการฝ่ายทหาร เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรองรีบวิ่งวุ่นขึ้น เพราะก่อนเสด็จพระองค์ทรงรับสั่งให้คนเตรียมสิ่งหนึ่ง “พระชายาเพคะ องค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้ารับพระบัญชาในสวนด้านในเพคะ” นางกำนัลคนสนิทรายงานด้วยท่าทีเกรงตัว หลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย เพิ่งแต่งเข้าจวนมาไม่นาน พระองค์กลับเรียกพบเพียงลำพังเสียแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ใจเต้นเสียทีเดียว สิ่งที่นางกังวลยิ่งกว่าคือ— ท่าทางคุ้นเคยของเขาที่เห็นนางเมื่อคืน มันทำให้ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว หล่อนพยักหน้า แล้วจึงเดินตามนางกำนัลไปยังสวนพฤกษาที่อยู่ด้านในสุดของตำหนักรอง --- สวนด้านในเงียบสงบ ไร้ผู้คนโดยรอบ เพียงแค่ก้าวแรก หลิงอันก็เห็นเขาแล้ว องค์ชายเยี่ยนหยางยืนหันหลังให้ หลังกว้างสง่างามในชุดผ้าไหมสีดำปักลายนกเหยี่ยวทองอย่างเรียบหรู ผมยาวถูกรวบด้วยป้ายหยก มีเพียงปลายผมสองสามเส้นหลุดลู่ตามลม ดูเหมือนกำลังรอ… และกำลังคิดอะไรบางอย่างมานานแล้ว “ถวายพระพรเพคะ องค์ชาย” หล่อนก้มตัวลงอย่างนอบน้อม เพราะรู้ดี—ตอนนี้ตนยังไม่ใช่หญิงที่เขาไว้ใจ “เงยหน้า” น้ำเสียงของเขานิ่ง ทว่าไม่เย็นชาอย่างเมื่อวาน มันฟังดู…เหมือนกำลังกล้ำกลืนบางอย่างไว้ในอก หลิงอันจึงค่อยๆ เงยขึ้น ช้อนสายตาสบเข้ากับดวงตาคมของเขา ทันทีที่ดวงตาสองคู่ประสานกัน เยี่ยนหยางชะงักคล้ายถูกดึงเข้าสู่อดีตบางช่วง เงาของเด็กสาวในชุดสีฟ้าอ่อนที่เคยวิ่งไล่ตามเขาในลานฝึกดาบ เงารอยยิ้มของใครบางคนที่เคยเฝ้าอยู่หลังเสา เงาความผูกพันที่เขาเคย “ลืมไป” อย่างไม่ตั้งใจ มันแล่นกลับมาดั่งฉากภาพกระทบใจ เขาไม่แสดงท่าทีตกใจ ไม่ร้องเรียกชื่อ แต่สายตากลับคมขึ้น เหมือนพยายามมองทะลุหน้ากากของหล่อน “…เจ้าคุ้นหน้าข้าอย่างประหลาด” เสียงของเขาเบาลงเล็กน้อย แต่กดลึกจนหล่อนตัวแข็ง เขาก้าวเข้ามาอีกก้าวจนระยะห่างหายไปเกือบหมด หลิงอันไม่กล้าขยับ “ในวันอภิเษก…เจ้าไม่กลัวข้าเลยแม้แต่น้อย” คิ้วเขาขมวดเบาๆ “แม้ข้าจะดูเย็นชากับเจ้า เจ้าก็ยังมองข้าด้วยสายตาที่เหมือนไม่เคยหายไปจากใจ” หลิงอันกำมือแน่นซ่อนในชายแขนเสื้อ เขาจำได้หรือไม่— หรือเพียงแค่สัญชาตญาณของเขาที่ไม่เคยหลอกตัวเองได้ เยี่ยนหยางจ้องหล่อนอยู่นาน ก่อนถามตรงๆ “นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน…จริงหรือไม่” คำถามนั้นทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรงวูบ ทุกอย่างเหมือนจะตกอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความจริงกับความลับ หลิงอันกัดริมฝีปากเบาๆ “เพคะ… เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หม่อมฉันพบพระองค์ในฐานะชายา” คำตอบไม่โกหก เพียงแต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง น้ำเสียงหล่อนเรียบนิ่ง แต่ใจกลับสั่นจนแทบยืนไม่ไหว องค์ชายเยี่ยนหยางมองลึกเข้าไปจนหล่อนรู้สึกเหมือนถูกอ่านทุกรายละเอียด เขาโน้มตัว…เพียงนิดเดียว ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ แผ่วผ่านแก้มหล่อน “แต่ทำไม…ข้าถึงรู้สึกเหมือนเจ้าเคยยืนตรงนี้มาก่อนแล้วหลายครั้ง?” คำถามนี้ชัดเจนว่าพระองค์กำลังเริ่มสงสัย ไม่ใช่ในฐานะคู่แต่งงาน แต่ในฐานะ…ใครบางคนในอดีตของเขา หลิงอันต้องรวบรวมสติทั้งหมดก่อนเอ่ยตอบ “บางที…อาจเป็นข้าดวงไม่ดีเพคะ ที่บังเอิญมีใบหน้าเหมือนคนรู้จักเก่าของพระองค์” เยี่ยนหยางไม่เชื่อ เขาไม่หลับตา ไม่ถอย ไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว “เจ้า— เสียงเขาต่ำลง “เหมือนเด็กคนหนึ่ง…ที่ข้าเคยสัญญาจะปกป้อง” หลิงอันชะงักเหมือนถูกแทงกลางใจแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยตอบเยี่ยนหยางกลับยืนตรงขึ้น ถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังปรามตัวเองไม่ให้รีบร้อนเกินไป “วันนี้ข้าเพียงต้องการบอกเจ้า…” เขาเว้นช่วง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว” ท่าทีไม่เหมือนเมื่อคืนเลยเมื่อก่อนเขาเย็นชา แต่วันนี้—อ่อนลงจนแทบจำไม่ได้ “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ารู้สึกหวาดกลัวข้า แต่ถ้าเจ้ามีความลับใดๆ…อย่าคิดปิดบังนานมากนัก” ประโยคหลังทุ้มต่ำอย่างมีความหมายหลิงอันใจเต้นอีกครั้งพระองค์ใกล้เกินไป ไวเกินไป และ…“คุ้นเคย” เกินไปก่อนเขาจะเสด็จจากไป เยี่ยนหยางพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้หล่อนยืนอึ้งอยู่นาน “เจ้า…ยิ้มแบบนั้นอีกครั้งให้ข้าเห็นสิ” เขาไม่รอคำตอบ เอียงหน้าเล็กน้อย ยิ้มจางๆ “รอยยิ้มแบบที่เจ้ามี…เมื่อหลายปีก่อน” ไม่ถามว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่แต่พูดเหมือน “มั่นใจ” ในระดับหนึ่งแล้วหลิงอันยืนนิ่งแตะอกข้างซ้ายเบาๆหัวใจสั่นแรงจนจะหลุดออกมาจากอกองค์ชายเยี่ยนหยางอาจยังไม่จำได้ทั้งหมดแต่เขากำลัง “เริ่มจำ” หล่อนทีละนิดทีละวินาทีที่ดวงตาสองคู่ได้สบกันและนั่นอาจเป็นทั้งความหวัง…และอันตรายที่สุดในเวลาเดียวกัน หลิงอันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนานหลายอึดใจ หลังร่างสูงขององค์ชายเยี่ยนหยางเดินลับสายตาไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบและเสียงใบเหมยไหวตามลมที่คอยซ้ำจังหวะหัวใจของนางที่เต้นไม่เป็นส่ำ คำพูดของเขายังคงดังก้องในหู “รอยยิ้มแบบที่เจ้ามี…เมื่อหลายปีก่อน” เขาจำได้จริงหรือ? หรือแค่สัญชาตญาณของเขาที่ไม่เคยลืมคนสำคัญคนหนึ่ง? หลิงอันกำชายกระโปรงแน่นเพื่อบังคับตัวเองไม่ให้คิดมากจนเกินไปทั้งที่จริง…เพียงคำพูดชั่ววูบของเขา ก็ทำให้กำแพงที่นางสร้างขึ้นมาตลอดหลายปีเริ่มร้าวแล้ว --- ยามบ่าย พระองค์กลับมาที่ตำหนักเร็วกว่าที่ใครคาด ข่าวนี้ทำให้บรรดานางกำนัลในตำหนักรองรีบเตรียมตัวกันจนวุ่นวาย หลิงอันรู้ตัวอีกที นางก็ถูกเชิญไปยังห้องหนังสือส่วนตัวขององค์ชาย เมื่อประตูเลื่อนเปิดออก หล่อนก็เห็นเขานั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ ทั้งที่ยังสวมชุดออกศึกสีดำทองแต่ปลดกระดุมบนสุดออก ทำให้ลำคอขาวกับแผงอกที่แข็งแรงบางส่วนเผยให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ ภาพนั้นทำให้หล่อนรีบลดสายตาลงโดยอัตโนมัติ “เข้ามา” เขาตรัสเรียบๆ แต่แฝงความอ่อนลงอย่างชัดเจนกว่าตอนเช้า หลิงอันก้าวเข้าไปอย่างช้าๆกลิ่นหมึก กลิ่นกระดาษ และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากชุดของเขาผสมกันจนอบอวลไปทั่วห้องเมื่อเดินใกล้ขึ้น หล่อนก็เห็นว่าเขากำลังมองอะไรอยู่เป็นเอกสารรายชื่อคนในจวน…รวมถึง ประวัติสั้นๆ ของหล่อน ใจหล่อนกระตุกวูบเขากำลังตรวจสอบนางงั้นหรือ “เพคะ…องค์ชายต้องการให้กระหม่อมมาช่วยงานหรือเพคะ?” เขาไม่ตอบแต่กลับมองหล่อนแทนมองนานเสียจนหล่อนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องสุดท้ายเขาก็วางเอกสารลงช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่เคยเรียนขุนนางหญิง ไม่เคยแตะพิธีการในวังแต่กลับเดินสงบนิ่งต่อหน้าฝูงชนในวันอภิเษก…เหมือนคนที่ทำเช่นนั้นมาทั้งชีวิต” หลิงอันหลบตาเพราะนั่นคือสิ่งที่นางฝึกมาก่อนเคย เข้าวังในฐานะเด็กฝึกหัดชั้นล่าง แต่ทุกอย่างเลือนหายไปหลังถูกส่งออกนอกเมืองพร้อมครอบครัวที่ตกอับ เยี่ยนหยางลุกขึ้นจากเก้าอี้ทุกย่างก้าวของเขาทำให้นางใจเต้นแรงราวกับเสียงรองเท้าของเขากระทบกับหัวใจนางโดยตรง จนกระทั่งเขาหยุดอยู่ตรงหน้าระยะใกล้จนลมหายใจของเขาผ่านแก้มหล่อน “เจ้ามีความลับมากมาย…หรือน้อยกว่านี้ ข้าจะรู้ในไม่ช้า” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่วันนี้…ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้าเป็นคนยังไง” เขายกมือขึ้นปลายนิ้วแตะปลายคางหล่อนเบาๆ เบามาก…แต่ทำให้นางสะดุ้งจนเขาหัวเราะในลำคออย่างพอใจ “อย่าเกร็งไป ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้า” เขาเว้นจังหวะ “ตอนนี้” คำว่า “ตอนนี้” ทำให้แก้มนางร้อนวูบจนหลบตาแทบไม่ทัน เยี่ยนหยางมองปฏิกิริยานั้นแล้วคิ้วกระตุกนิดๆ เหมือนชอบใจดวงตาเขาเริ่มมีประกายบางอย่าง—อ่อนโยนปนรวมหวง และ…คุ้นเคย “เจ้ารู้หรือไม่” เขาพูดต่อ “ยามเจ้าเขิน เจ้ามักหลบตาข้าเหมือนเด็กเมื่อก่อนนั่นไม่มีผิด” หัวใจหล่อนแทบหยุดเต้นเขาจำ สิ่งเล็กๆ แบบนั้นได้ด้วยงั้นหรือ? หลิงอันบังคับเสียงให้นิ่งที่สุด “กระหม่อมเพียง…รู้สึกเกรงพระองค์เพคะ” “งั้นหรือ” เขาโน้มหน้าลงมาอีกความใกล้ทำให้นางถอยหลังโดยอัตโนมัติ แต่เพียงก้าวเดียวหลังนางก็โดนขอบโต๊ะพอดีไม่มีทางถอยไปได้อีกเยี่ยนหยางกั้นพื้นที่ไว้ มือหนึ่งวางบนโต๊ะด้านหลังหล่อนอีกมือยกขึ้นแตะแก้มอย่างแผ่วเบาจนนางตัวสั่น “แต่ข้ากลับไม่ได้เกรงเจ้าเลยสักนิด” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม “มีแต่รู้สึกคุ้นเคย…จนอยากจับเจ้าไว้ใกล้ๆ” หลิงอันเงยหน้าอย่างตกใจแล้วก็เผลอสบตาเขาเต็มๆแววตานั้น—ร้อน ทอแสงและเต็มไปด้วยคำถามที่เขายังไม่ได้เอ่ย " กลัวข้าหรือไม่” เขาถามเบาๆแต่เป็นเบาที่กดลึกถึงขั้วหัวใจหลิงอันส่ายหน้า “…ไม่เพคะ” “ดีมาก” เขากระซิบ ริมฝีปากเฉียดไรผมหล่อน “เพราะต่อจากนี้…ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าห่างจากสายตาอีก” --- หลังจากนั้นเขาก็ถอยออกมาหนึ่งก้าวคล้ายต้องบังคับตัวเองไม่ให้ไปไกลกว่านั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่เพียงการใกล้ชิด มันคือ แรงดึงดูดตั้งแต่ครั้งอดีต ที่ยังไม่เคยหายไป เยี่ยนหยางปรายตามองเอกสารบนโต๊ะก่อนพูดเสียงเรียบ “ข้าจะจัดตำแหน่งงานให้เจ้าอยู่ใกล้ข้าในจวนนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องทำตัวระวังจนเหนื่อย” หลิงอันเงยหน้าอย่างตกใจเขาไม่รอคำตอบแต่ยิ้มบางในแบบที่เขาไม่เคยยิ้มให้ใครง่ายๆ “อย่างน้อย…ข้าอยากมองเจ้าให้ชัดกว่านี้” เขายืนหันหลังให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแต่ก่อนพ้อกรอบประตู เขาหันกลับมาพูดเพียงคำเดียว “หลิงอัน—” เขาเรียกชื่อหล่อนเป็นครั้งแรกด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเคย “อย่าหนีข้าอีก” คำว่า “อีก” ทำให้หล่อนตัวแข็งทื่อ เขากำลังจำได้จริงๆ…เพียงแต่ยังไม่เต็มทั้งหมดและนั่นทำให้หล่อนทั้งหวั่นไหว…และกลัวว่าจะไม่มีที่ซ่อนอีกต่อไป หลิงอันเริ่มสงสัย…องค์ชายในนิยายทำไมถึงไม่เหมือนที่ควรเป็น หลังจากองค์ชายเยี่ยนหยางเดินออกจากห้องหนังสือไปแล้ว หลิงอันยังคงยืนพิงโต๊ะอยู่ที่เดิม มือกำชายอาภรณ์แน่นราวกับจะพยายามรวบรวมลมหายใจที่ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ไม่ใช่แค่ระยะใกล้ที่ทำให้ใจเต้นแรง…แต่เพราะสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจอย่างยิ่ง—นี่ไม่ใช่องค์ชายเย่นหยางในนิยายที่นางเคยอ่านเลย องค์ชายในนิยายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ ไม่ไว้หน้าใคร และไม่เคยมองชายาแม้แต่น้อยแต่ชายคนที่ยืนอยู่ต่อหน้านางเมื่อครู่—สายตานั้นอบอุ่นเกินไปน้ำเสียงนั้นอ่อนลงเกินไปท่าทางนั้น…คุ้นเคยเกินไป หลิงอันยกมือแตะแก้มที่เขาเพิ่งสัมผัสผิวของนางยังอุ่นจากปลายนิ้วของเขา “เป็นไปไม่ได้…” นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ เพราะที่นางอ่านในนิยาย—องค์ชายเยี่ยนหยางเป็นคนที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงไม่เคยสนใจใครและไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้เขา…ยิ้มน้อยๆ ให้หล่อน แถมยังพูดเหมือนกำลัง จำอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับนาง หลิงอันเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กในมุมห้องหนังสือสายตาทอดไปยังหน้าต่างที่ลมพัดม่านพลิ้วเบาๆ “หรือว่า…นิยายผิด?” นางพูดกับตัวเองเบาๆ แต่รีบส่ายหัวทันที “ไม่น่าใช่ ตัวละครทุกตัวดำเนินตามเนื้อเรื่อง…โดยเฉพาะคนที่ย้อนเข้ามาเหมือนเรา” เพื่อนสนิทในชาติก่อนของนาง ก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่หลุดเข้ามาและเธอก็ยังเป็นคนแบบเดิม—ทั้งโลภ ทั้งริษยา ทั้งร้ายลึก ทุกอย่างดำเนินตรงตามนิยายไม่มีผิด แต่เยี่ยนหยาง…ต่างออกไปหลิงอันกอดตัวเองเบาๆ “หรือว่า…องค์ชายก็ย้อนมาเหมือนกัน?” ความคิดนี้ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงอีกครั้งเพราะหากเป็นเช่นนั้น…เหตุผลทั้งหมดก็จะสมเหตุสมผลในทันทีความคุ้นเคยที่เขามีต่อเธอ สายตาที่ทำเหมือนรู้จักกันมานานความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยให้ใครในนิยาย…แต่นั่นก็น่ากลัวเช่นกันเพราะในนิยาย—องค์ชายเยี่ยนหยาง ตายในตอนท้ายของเรื่องจากการวางแผนขององค์ชายเหยียนหมิงร่วมกับสนมหลายฝ่าย ไม่ใช่เพียงตายธรรมดา…แต่เป็น ความตายที่โหดร้ายที่สุดในเรื่อง หลิงอันขยุ้มผ้าชายกระโปรงแน่นขึ้น “ข้าไม่อยากเห็นท่านตายอีก…ไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติไหน” หัวใจหล่อนเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อคิดถึงฉากนั้นฉากที่ทำให้นางร้องไห้ทั้งคืนหลังอ่านจนจบ ฉากที่ทำให้นางเกลียดตัวเองในโลกก่อนและฉากที่ทำให้เธออยากย้อนเข้ามาแก้ไขทุกอย่าง แม้ในตอนนั้นจะไม่รู้ว่า เขา คือคนสำคัญของหัวใจตั้งแต่ต้น หลิงอันจ้องไปยังทิศที่องค์ชายเดินไปแววตานุ่มลึกที่มองเธอเมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ “องค์ชายเยี่ยนหยาง…ท่านไม่เหมือนในนิยายจริงๆ” นางพึมพำพร้อมรอยยิ้มบาง “หรือจริงๆ แล้วท่านก็เหมือนข้า—ที่ย้อนเข้ามาใหม่อีกครั้ง” ลมอ่อนพัดผ่านหน้าต่างใบไม้ปลิวเข้ามาตกบนตักของเธอ เป็นใบไม้รูปพระจันทร์เสี้ยวที่หาได้ยากในสวนนี้ หลิงอันหยิบมันขึ้นมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนคำสาบาน “ถ้าท่านย้อนมาเหมือนกัน… ข้าจะไม่ปล่อยให้เนื้อเรื่องเดิมทำร้ายท่านอีก” แววตาของเธอเริ่มแน่วแน่ไม่ใช่เพียงหญิงสาวที่ถูกบังคับให้เป็นชายาอีกต่อไป แต่เป็นคนที่เลือกจะยืนเคียงข้างองค์ชายผู้เปลี่ยนชะตาไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร—นางจะอยู่เพื่อหาคำตอบให้ได้ แม้ว่าคำตอบนั้น…อาจผูกหัวใจของทั้งสองเข้าหากันอย่างไม่อาจแก้ได้อีกเลยบนโต๊ะอาหารไม้หอมภายในตำหนักหลงเยว่ มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยเบาๆ กับเสียงลมยามค่ำที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง หลิงอันนั่งกินข้าวอย่างสำรวมท่วงท่าเรียบร้อยตามแบบสตรีในวังแต่ไม่ถึงกับเกร็ง—เป็นความสบายที่ไม่ต้องเสแสร้ง ตรงข้ามกันองค์ชายเยี่ยนหยาง… กลับไม่ได้แตะตะเกียบมานานแล้วสายตาของเขาหยุดอยู่ที่นาง ไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปากแต่เพราะภาพตรงหน้ามันทับซ้อนกับความทรงจำที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ในอดีต—ในชีวิตของ เฟิงเหยาหญิงสาวคนหนึ่งเคยนั่งตรงนี้ยิ้มให้เขาแบบเดียวกัน เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอย่ามัวแต่มอง ข้าวจะเย็นเสียก่อน” “….” เยี่ยนหยางหลุบตาลงช้าๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางโดยไม่รู้ตัวหลิงอันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท…?” “อาหารไม่ถูกพระโอษฐ์หรือเจ้าคะ” คำถามนั้นดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ไม่” เสียงขององค์ชายต่ำ นุ่มกว่าที่เคย “เพียงแต่…” เขาหยุดคำพูดราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “…เจ้ากินแล้ว ดู…สบายใจดี” หลิงอันชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ “เพราะที่นี่คือ ตำหนักของหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันคิดว่า…การกินข้าวอย่างสงบ คือความสุขเล็ก ๆ ที่ควรรักษาไว้” คำต
แสงอรุณอ่อนสาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักหลงเยว่ หลิงอันลืมตาขึ้นช้า ๆ ราวกับไม่คุ้นชินกับความเงียบสงบเช่นนี้ ในอดีต…เวลานี้เธอคงต้องลุกขึ้นก่อนฟ้าสาง เตรียมรับคำดูแคลน คำสั่ง และการกลั่นแกล้งแต่ในชาตินี้—ไม่มีเสียงใดเร่งเร้า ไม่มีใครตะโกน มีเพียงกลิ่นชาหอมจาง ๆ และเสียงฝีเท้าเบาที่คุ้นเคย “ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านในหลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ชุดสีเข้มเรียบง่าย แต่สะอาดเนี้ยบ ใบหน้าเย็นชาตามเคย ทว่าดวงตากลับอ่อนลงอย่างที่เธอเริ่มคุ้น “เพคะ” หลิงอันตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง “หม่อมฉันตื่นสายหรือไม่” เยี่ยนหยางส่ายหน้า “ยังไม่ถึงยามเช้า ข้าเพียง… คิดว่าเจ้าคงไม่ชินกับที่นี่” คำว่า ไม่ชิน ทำให้หลิงอันยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของหญิงสาวอ่อนแอในนิยายแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดมามากเกินพอ “หม่อมฉันชินกับที่ใดก็ตาม… หากไม่ต้องระวังว่าจะมีใครผลักตกบันไดอีก” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบรรยากาศในตำหนักเงียบลงฉับพลัน เยี่ยนหยางชะงักมือที่ยกถ้วยชาค้างกลางอากาศสายตาคมเข้มจับจ้องนางนิ่ง—ไม่ใช่ด้วยความไม่พอใจ แต่เป็น
ตำหนักหลงเยว่ในยามค่ำสงัดเงียบมีเพียงเสียงลมพัดต้องผ้าม่าน หลิงอันนั่งอยู่ในห้องรองรับอันกว้างใหญ่ รอองค์ชายเยี่ยนหยางตามมารยาทของชายาใหม่ แม้เขาไม่เคยสั่งให้นางรอเลยก็ตาม ในนิยาย… องค์ชายเยี่ยนหยางไม่สนใจแม้แต่มองหน้าชายาแรกพบด้วยซ้ำ…แต่วันนี้ เขากลับช่วยข้าจากการล้ม… แม้สีพระพักตร์จะยังเย็นชาเหมือนเดิมก็ตาม ขณะที่ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินหินหน้าตำหนัก เงาร่างสูงในชุดองค์ชายสีดำทองก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ประตูเปิดออก องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ตรงนั้น—คิ้วเข้ม ดวงตาเย็นสงบ แต่แววลึกในดวงตานั้น… แปลกประหลาด คล้ายจับจ้องนางคล้าย… คุ้นเคยเสียอย่างนั้น หลิงอันรีบลุกขึ้นคุกเข่า “ถวายพระพรเพคะ พระองค์กลับมาแล้ว” เยี่ยนหยางเดินตรงเข้ามาโดยไม่สั่งให้นางลุกขึ้นเสียก่อน แต่กลับหยุดยืนตรงหน้า มองนางอย่างพิจารณา แทบจะนานเกินมารยาทขององค์ชายผู้สุขุม “เจ้า…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วลง “หน้าตาคล้ายคนคนหนึ่ง” หลิงอันเงยหน้าขึ้น “คล้ายผู้ใดเพคะ?” เยี่ยนหยางส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับไม่อาจระบุได้ “ไม่รู้… แต่มันทำให้ข้าไม่อยากเมินเฉยใส่เจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้” เขาพูดด้วยน้ำเส
สายลมนิ่งสงบของเช้าวันถัดมา ไม่ต่างจากความนิ่งเงียบภายในตำหนักรองที่หลิงอันต้องย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราวหลังอภิเษก หลิงอันในชุดชายาฉบับเรียบง่าย—ผ้าไหมสีอ่อนปักลายเมฆบาง—ยืนเงียบอยู่ริมบานหน้าต่าง มองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นเหมยกำลังเริ่มผลิบาน ทว่าในใจกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า เมื่อคืน…หลังถูกพาตัวกลับจวน องค์ชายเยี่ยนหยางไม่ได้ตรัสอะไรอีก นอกจากให้คนพาหล่อนกลับตำหนักรอง เหมือนต้องการเว้นระยะห่าง เหมือนกำลังคิด…หรือกำลังระแวง… หลิงอันไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน—สายตาของเขาในวินาทีนั้นมันคุ้นเคยจนน่ากลัว เหมือนเขากำลังจ้อง “นาง” ตัวตนของหล่อนก่อนมาอยู่ในจวนใหม่… ก่อนหล่อนจะลบตนเองออกจากสายตาเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านางคือใคร หรืออาจ…ยังไม่แน่ใจเท่านั้น --- ช่วงสาย องค์ชายเยี่ยนหยางเสด็จออกจากตำหนักเพื่อไปศาลาว่าราชการฝ่ายทหาร เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรองรีบวิ่งวุ่นขึ้น เพราะก่อนเสด็จพระองค์ทรงรับสั่งให้คนเตรียมสิ่งหนึ่ง “พระชายาเพคะ องค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้ารับพระบัญชาในสวนด้านในเพคะ”นางกำนัลคนสนิทรายงานด้วยท่าทีเกรงตัว หลิงอันสะดุ้งเล็กน้
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านกระจกบานกว้างของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ราวกับต้องการเตือนให้หลินอันตั้งสติ แต่ทว่าความเจ็บร้าวที่กลางอกกลับทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก เสียงพูดคุยคุ้นเคย—เสียงที่เธอไว้ใจที่สุดกลับทำให้โลกทั้งใบพังทลายลงอย่างไร้ชิ้นดี “ดีเหมือนกันนะที่มันตายนั่นแหละ”เสียงหัวเราะของ ไป๋เสวี่ยอัน เพื่อนสนิทที่เธอรักเหมือนพี่น้อง ดังลอดมาจากประตูที่แง้มไว้ “ก็เพราะแกนี่แหละ ถึงได้จัดการได้เนียนขนาดนั้น” ชายเสียงทุ้มตัวสูงที่เธอเคยเห็นเป็นคนดี—แฟนของเธอ—ตอบกลับ หัวใจหลินอันเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอตั้งใจเพียงจะเอาของฝากมาให้เพื่อนหลังกลับจากต่างจังหวัด แต่กลับได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินที่สุดในชีวิต “หลินอัน…แค่ของเล่น ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ใครจะไปทนคบกับผู้หญิงน่าเบื่อนั่นได้ล่ะ” เสียงหัวเราะเหยียดหยันตามมา มันคือเสียงของคนที่เคยบอกรักเธอ ขาเธออ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว แต่ก็ยังยื้อประตูไว้ไม่ให้เปิดออก เธอรู้ดีว่าหากถูกพบตอนนี้ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้อีก “อย่างน้อยเธอก็ตายไปแล้ว เรื่องมันก็จบสักที” ไป๋เสวี่ยอันพูดอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “เอาจริง ๆ ฉันเคยอยากฆ่ามันตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ







