LOGINตำหนักหลงเยว่ในยามค่ำสงัดเงียบมีเพียงเสียงลมพัดต้องผ้าม่าน หลิงอันนั่งอยู่ในห้องรองรับอันกว้างใหญ่ รอองค์ชายเยี่ยนหยางตามมารยาทของชายาใหม่ แม้เขาไม่เคยสั่งให้นางรอเลยก็ตาม
ในนิยาย… องค์ชายเยี่ยนหยางไม่สนใจแม้แต่มองหน้าชายาแรกพบด้วยซ้ำ…แต่วันนี้ เขากลับช่วยข้าจากการล้ม… แม้สีพระพักตร์จะยังเย็นชาเหมือนเดิมก็ตาม ขณะที่ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินหินหน้าตำหนัก เงาร่างสูงในชุดองค์ชายสีดำทองก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ประตูเปิดออก องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ตรงนั้น—คิ้วเข้ม ดวงตาเย็นสงบ แต่แววลึกในดวงตานั้น… แปลกประหลาด คล้ายจับจ้องนางคล้าย… คุ้นเคยเสียอย่างนั้น หลิงอันรีบลุกขึ้นคุกเข่า “ถวายพระพรเพคะ พระองค์กลับมาแล้ว” เยี่ยนหยางเดินตรงเข้ามาโดยไม่สั่งให้นางลุกขึ้นเสียก่อน แต่กลับหยุดยืนตรงหน้า มองนางอย่างพิจารณา แทบจะนานเกินมารยาทขององค์ชายผู้สุขุม “เจ้า…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วลง “หน้าตาคล้ายคนคนหนึ่ง” หลิงอันเงยหน้าขึ้น “คล้ายผู้ใดเพคะ?” เยี่ยนหยางส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับไม่อาจระบุได้ “ไม่รู้… แต่มันทำให้ข้าไม่อยากเมินเฉยใส่เจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่คำพูดนั้นทำให้หลิงอันใจเต้นแรงจนต้องก้มหน้าซ่อนสีหน้านี่มันไม่เหมือนในนิยายเลยสักนิด… ในนั้นเขาจะไม่พูดอะไรแบบนี้… เยี่ยนหยางมองท่าทางประหม่า ๆ ของหลิงอันแล้วเลิกคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงตัวสั่น? ข้าทำอะไรให้กลัวหรือ?” “มะ… ไม่ได้กลัวเพคะ เพียงแต่… ไม่คาดคิดว่าจะได้รับความเอ็นดูเช่นนี้” เยี่ยนหยางหลุดขำเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะแบบหายาก “เอ็นดู?” เขาก้มลงเล็กน้อยจนใบหน้าคมคายอยู่ระดับสายตานาง “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเลย” แต่ข้าอยากทำ…คำหลังเป็นเพียงความคิดที่เขาไม่พูดออกมา ลมยามค่ำพัดเข้ามาทำให้ปลายผมยาวของหลิงอันปลิวขึ้นเล็กน้อย เยี่ยนหยางยื่นมือขึ้น—เหมือนตั้งใจจะจับ ปัด หรือจัดให้เข้าที่ ทว่าเขาหยุดกลางอากาศ เหมือนมีบางอย่างห้ามไว้คล้ายความคุ้นเคยที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ต่อไปนี้” เขาพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น “เจ้าอยู่ตำหนักนี้ ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น รวมถึงข้าด้วย” หลิงอันหลุบตา “เพคะ” แต่ในใจกลับถามตัวเองไม่หยุดทำไมองค์ชายเยี่ยนหยางถึงไม่เหมือนในเรื่อง?หรือว่า… โลกนี้ไม่ใช่แค่นิยายจริง ๆ? หลิงอันนั่งอยู่ตรงเบาะรองรับหลังโต๊ะชา องค์ชายเยี่ยนหยางนั่งฝั่งตรงข้ามในท่วงท่าสง่างามตามแบบชนชั้นสูง แต่สิ่งที่ทำให้นางประหม่าไม่ใช่อำนาจที่แผ่ออกจากเขา—แต่เป็นสายตาที่มองมาตลอดเวลา ไม่ใช่มองแบบจับผิดไม่ใช่มองแบบรำคาญแต่เป็น “มองเพื่อหาคำตอบ” บางอย่างและยิ่งเขามองนานเท่าไร หัวใจนางก็เต้นแรงขึ้นเท่านั้น เยี่ยนหยางเอ่ยขึ้นเบื้องหน้า “เจ้ามองข้าเหมือนข้าผิดปกติไป” หลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย “…หามิได้เพคะ เพียงแต่—” “เพียงแต่?” เขาโน้มตัวเล็กน้อย สีหน้ายังเย็นชา แต่แววตา… ดุจหมาป่าหนุ่มที่กำลังสนใจบางสิ่ง “เพียงแต่…” หลิงอันเม้มริมฝีปาก “ไม่คิดว่าพระองค์จะสนพระทัยหม่อมฉันขนาดนี้เพคะ” เยี่ยนหยางนิ่งไปเล็กน้อยราวกับคำพูดนั้นแทงใจเขา “ข้าก็ไม่คิดเช่นกัน” เขาพูดจริงจังจนหลิงอันเงยหน้าขึ้นอย่างลืมตัว งดงาม…ดวงตาเย็นของเขาสั่นไหววูบหนึ่งราวกับกำลังต่อสู้ใจกับอะไรบางอย่างแล้วเขาก็เอ่ยเสียงเบา แต่ชัดเจน “ตั้งแต่แรกเห็น ข้ารู้สึกเหมือน… เคยเจอเจ้ามาก่อน” หลิงอันชะงักนิ้วที่วางบนขอบถ้วยชานิ่งไปทันที หัวใจเต้นแรงแบบไม่ควรเป็นไปได้เพราะตามตรรกะแล้ว… นางเพิ่งทะลุมิติมายังโลกนี้ นางไม่เคยเกี่ยวข้องกับเขามาก่อน “ข้าคิดว่าหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยลืมคนคนหนึ่ง” เยี่ยนหยางพูดต่อ “แต่หน้าตาของนาง… ข้าไม่เคยจำได้ชัด” เขาหลุบตาลงมองหลิงอันนิ่งและหนักแน่น “จนกระทั่งข้าเห็นเจ้า” หลิงอันตัวแข็งทื่อราวกับถูกตรึง ไม่นะ… ในเรื่องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้องค์ชายไม่ควรมีอดีตเกี่ยวข้องกับชายาเลยด้วยซ้ำ…นางกำมือแน่นใต้แขนเสื้อทุกอย่างกำลังเบี่ยงจากเนื้อเรื่องเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยนหยางมองปฏิกิริยาของนางแล้วขมวดคิ้ว เขาผลักถ้วยชานางเข้าหาอย่างเอาใจ “หลิงอัน เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้กล่าวเพื่อบังคับเจ้า แต่… ข้าอยากเข้าใจความรู้สึกนี้” เขาวางมือบนโต๊ะใกล้นางมากจนถ้าเธอขยับเพียงนิดเดียว นิ้วทั้งสองจะสัมผัสกัน “ข้าเพียงต้องการให้เจ้ารู้ว่า ข้าจะไม่เมินเฉยหรือทอดทิ้งเจ้า” หลิงอันกลืนน้ำลายความอบอุ่นในถ้อยคำทำให้นางสับสนกว่าเดิม “เพคะ… แต่ในฐานะชายาแรกพบ เช่นนี้มัน—” “หลิงอัน” เขาเอ่ยเรียกชื่อเต็มของนางครั้งแรกเสียงเข้ม ทุ้ม และอบอุ่นอย่างประหลาด โรแมนติกจนหัวใจนางเหนื่อยล้า “ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเจ้า รวมถึงตัวข้าเองด้วย” พูดจบ เยี่ยนหยางลุกขึ้นก้าวเข้ามาใกล้จนเงาของเขาคลุมร่างนางทั้งตัว เขายืนมองนางเหนือหัว หยุดอยู่เพียงระยะที่ลมหายใจแทบจะสัมผัสกันมือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ราวกับตั้งใจจะสัมผัสแก้มนาง แต่สุดท้ายหยุดกลางอากาศอีกครั้ง เขาถอนใจเบา ๆ “คืนนี้พักผ่อนให้ดี” น้ำเสียงนุ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ “ข้าจะคิดว่าทำไมข้าถึงคุ้นหน้าเจ้าขนาดนี้” แล้วเขาก็ผละไปทิ้งหัวใจของหลิงอันไว้ให้เต้นวุ่นจนไม่อาจสงบได้อีกนางมองประตูที่ปิดลงความคิดวุ่นวายเต็มหัวองค์ชายเยี่ยนหยาง… ไม่เหมือนในเรื่องเลยสักนิดเดียวหรือว่า… เนื้อเรื่องกำลังเปลี่ยนเพราะข้า? ค่ำคืนนั้น ลมในตำหนักหลงเยว่พัดแรงราวกับจะฉุดดึงความลับบางอย่างขึ้นสู่ผิวน้ำ เยี่ยนหยางทอดกายลงบนเตียง หัวใจหนักอึ้งด้วยความคิดสับสนที่ประดังเข้ามาไม่หยุดตั้งแต่ได้พบหลิงอัน เหตุใด…นางถึงคุ้นตาเขานัก? เหตุใด…เขาถึงรู้ทันทีว่านางไม่ใช่คนเลวร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว?ดวงตาหลับลงและทันทีโลกทั้งใบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ --- ประตูบันไดหนีไฟกระแทกดัง “ปัง!” ท่ามกลางแสงไฟสลัวและกลิ่นโลหะคาว ๆ ที่ลอยตลบร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง กลิ้งตกลงมาจากชั้นบนสุดเสียงร่างกระแทกขั้นบันไดทีละช่วงแรงจนหัวใจของผู้มองเจ็บลามไปถึงกระดูก “อันอัน——!!” ชื่อหนึ่งพุ่งขึ้นมาในใจของเยี่ยนหยางทันทีหรือเรียกให้ถูก… เฟิงเหยา—ชื่อของเขาในอดีตชาติ—ตะโกนจนเสียงสั่นเขาวิ่งลงบันไดอย่างเสียสติหัวเข่ากระแทกพื้นเมื่อประคองหญิงสาวขึ้นแนบอก “อันอัน…” ใบหน้าของเธอซีดราวกับถูกพรากวิญญาณไปแล้วเลือดไหลจากขมับลงบนเสื้อตัวเขาริมฝีปากบางสั่นระริกเหมือนกำลังจะเรียกชื่อเขาอีกครั้ง “เฟิง…เหยา…” เสียงแผ่วเบาเหมือนลมหายใจสุดท้ายหัวใจเขาแตกละเอียแต่สิ่งที่ทำให้เลือดในอกเย็นยะเยือกยิ่งกว่า—คือเสียงฝีเท้าบนชั้นลอยด้านบน เขาเงยหน้าและพบสองคนที่เขาจำได้ขึ้นใจแม้จะไม่อยากจำ เพื่อนสนิทของหลิงอัน—หญิงที่ทำตัวเป็นห่วงใย แต่รอยยิ้มตอนนี้บิดเบี้ยวด้วยความสะใจ แฟนเก่าของหลิงอัน—ชายที่ควรจะรักนางที่สุด กลับยืนกอดอกมองลงมาราวกับกำลังชมละคร ไม่มีความตกใจไม่มีความห่วงใยไม่มีแม้แต่เศษความเป็นมนุษย์เพื่อนสนิทผสานสายตากับชายคนนั้น แล้วพูดเบา ๆ แต่ชัดเจน “ก็แค่ได้ในสิ่งที่ควรได้เสียที” ชายคนนั้นยิ้มเหยียด “ก็แค่ผลักเบาๆ เอง จะโทษใครได้ล่ะ ขาอ่อนจนตกลงมาเอง” เฟิงเหยาที่อยู่ในฝันกัดฟันจนเลือดซึมลมหายใจขาดห้วงด้วยความโกรธที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิตใดเขาอุ้มอันอันขึ้นน้ำตาของเขาหยดลงบนแก้มเธอโดยไม่รู้ตัว “อันอัน…ทนก่อนนะ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล…อย่าเพิ่งหลับนะ…” เธอพยายามจะยกมือขึ้นแตะหน้าเขาแต่ปลายนิ้วเย็นเสียจนเขาแทบหมดสติตาม “เฟิงเหยา…อย่า…โทษ…ใคร…" “ไม่!” เสียงเขาแตกพร่า “ต่อให้สวรรค์ลงโทษ ผมก็จะลากคนผิดมาชดใช้ให้ได้ทั้งชีวิต!” เขาอุ้มเธอวิ่งออกนอกตึกแต่เพียงก้าวแรกที่ออกสู่ถนน— ไฟหน้ารถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง เร็ว แรง เหมือนตั้งใจ “อันอัน——!!” เสียงโลกแตกสะท้อนในหัวเขารถพุ่งเข้าชนเต็มแรงทุกอย่างสั่นสะเทือนจนกระดูกแทบแตก เสียงกระจกแตกดังลั่นเลือดของเขาไหลอาบแก้มของเธอภาพสุดท้ายก่อนดวงตาจะปิดลง แล้วโลกก็ดับสนิท --- (กลับสู่ปัจจุบัน) เยี่ยนหยางลุกพรวดขึ้นนั่งหายใจหอบแรงเหงื่อท่วมทั้งแผ่นหลัง ภาพเหล่านั้นยังชัดอยู่ในสมอง ชัดราวกับเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเผชิญเมื่อชั่วลมหายใจที่ผ่านมา “เฟิงเหยา…” เขาพึมพำชื่อที่ผุดขึ้นมาอย่างเจ็บปวดชื่อที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจำมันได้อย่างไรและสตรีที่เขาอุ้มไว้ในฝันสตรีที่เขาสูญเสียไปทั้งที่หัวใจเขาไม่เคยลืม—คือ หลิงอัน ในตอนนี้ใบหน้าเดียวกันแววตาเดียวกันความอบอุ่นแบบเดียวกันเขายกมือกดหน้าอกตัวเองหัวใจเต้นแรงจนเจ็บเพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่า ต้องปกป้องนางแม้ไม่รู้จักกันมาก่อนในโลกนี้ เขา…เคยสูญเสียนางมาแล้วหนึ่งครั้งและในชาตินี้เขาจะไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรทั้งสิ้น หลิงอันตื่นขึ้นมาในตำหนักหลงเยว่ด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าองค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ข้างเตียงเงียบ ๆ แทนที่จะส่งคนรับใช้มาดูแลเหมือนทุกครั้ง ดวงตาของเขาลึกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีเรื่องมากมายซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำสงบนั้น “ฝันร้ายหรือเพคะ?” หลิงอันถามอย่างไม่คิดมาก เห็นเขามองมาอย่างประหลาดตั้งแต่เมื่อคืน เยี่ยนหยางส่ายศีรษะเบา ๆ แต่สายตากลับตรึงอยู่บนใบหน้าของนางอย่างพิจารณา ทุกกริยา ทุกคำพูด ทุกลมหายใจ...เขากำลังเทียบกับภาพในอดีตที่เพิ่งตื่นขึ้นมาในความฝัน—ภาพของหญิงสาวที่เขาเรียกว่า อันอัน หญิงสาวที่ตายไปต่อหน้าต่อตาเขา หญิงสาวที่โลกภายนอกไม่เคยช่วยเหลือ…รวมถึงเขาเองด้วย แต่หลิงอันตรงหน้า แม้คล้าย แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างเหมือนเดิมเสียทีเดียว “หม่อมฉันถามผิดหรือเพคะ?” นางชะงักเมื่อเห็นเขาจ้องนานเกินปกติ “เจ้า…” เยี่ยนหยางเกือบหลุดถาม แต่รีบเก็บถ้อยคำ “เจ้าฝันอะไรหรือไม่เมื่อคืน?” “ฝัน?” หลิงอันนิ่งคิด “ไม่เพคะ…แค่รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจะจำได้ แต่ก็ไม่ชัดเลย” ประโยคนั้นทำให้หัวใจเยี่ยนหยางสะดุดเหมือนความหวังเล็กๆ ถูกปล่อยให้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเขากลืนน้ำลาย ก่อนหันหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนสีหน้าที่ควบคุมไม่ทัน “งั้นหรือ… ก็ไม่เป็นไร” น้ำเสียงเขาอ่อนลงอย่างผิดสังเกต จนหลิงอันรู้สึกได้ หลิงอันเอียงคอมอง ก่อนหน้านี้องค์ชายผู้นี้เย็นชาราวกับน้ำแข็งบนยอดเขา แต่วันนี้กลับเหมือนคนที่รู้จักนางมานาน นัยน์ตาอบอุ่นขึ้น พูดจาเบากว่าเดิม และเหมือนพยายามจับสังเกตนางทุกอิริยาบถ นี่มันไม่เหมือนในนิยายเลย…ในนิยายต้นฉบับ องค์ชายเยี่ยนหยางควรเย็นชา ไม่สนใจ ไม่แม้แต่เหลียวแล แต่นี่…เขากำลังกังวลว่านางฝันร้ายไหมด้วยซ้ำ “องค์ชายเพคะ…” หลิงอันลองเอ่ยอย่างระมัดระวัง “วันนี้ทรงดูแปลกไปจริง ๆ นะเพคะ” เยี่ยนหยางชะงักเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาแปลกไป—เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ ‘เพียงองค์ชายเยี่ยนหยาง’ แต่ยังเป็น เฟิงเหยา ชายคนหนึ่งที่เคยสูญเสียอันอันไปอย่างน่าเจ็บปวด เขาเงียบ ก่อนตอบเรียบ ๆ “เจ้าแค่คิดไปเอง” แต่ปลายนัยน์ตาที่มองนางกลับอ่อนโยนเกินกว่าจะปิดบังได้ จนหลิงอันกลายเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียเองโดยไม่รู้ตัว เยี่ยนหยางสังเกตทุกอย่าง…แม้กระทั่งท่าทางนางที่เหมือนสมัยก่อนบางช่วง และยิ่งเขาเห็น นิ่งคิดเท่าไร ความสงสัยก็ยิ่งท่วมท้น เจ้าใช่อันอันของข้าหรือไม่…แต่เขายังไม่กล้าถามเพราะถ้าคำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับมันได้อีกครั้งหรือไม่ “พักผ่อนต่อเถิด” เขาพูด ก่อนหมุนตัวเดินออกไป ทว่าก่อนพ้นประตู เขาหยุดและหันกลับมามองเท้าเท่านั้น ไม่ใช่ใบหน้าของนาง “…หลิงอัน” เขาเรียกชื่อเธออย่างช้า ๆ ราวกับลองชั่งน้ำหนักบางอย่าง “ข้า…จะอยู่ใกล้เจ้าในช่วงนี้ เจ้าจงอย่าได้หวาดกลัว” พูดจบเขาก็จากไป ทิ้งให้นางมองตามอย่างงุนงงมากกว่าเดิมองค์ชายเปลี่ยนไปจริง ๆ …แต่ทำไมกัน? หลิงอันกำหมัดแน่นนี่ไม่เหมือนในนิยายเลยแม้แต่น้อย และในอีกฟากหนึ่งของตำหนัก เยี่ยนหยางกำลังยืนพิงกำแพง หัวใจหนักอึ้ง เขาจำทุกอย่างได้แล้วคืนฝันนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่คืออดีตของเขา—อดีตที่เขาปล่อยให้ “อันอัน” ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว อดีตที่เขาสาบานว่าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่า “หลิงอัน” ตรงหน้าจะใช่อันอันเดิมหรือไม่…ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปอีกบนโต๊ะอาหารไม้หอมภายในตำหนักหลงเยว่ มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยเบาๆ กับเสียงลมยามค่ำที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง หลิงอันนั่งกินข้าวอย่างสำรวมท่วงท่าเรียบร้อยตามแบบสตรีในวังแต่ไม่ถึงกับเกร็ง—เป็นความสบายที่ไม่ต้องเสแสร้ง ตรงข้ามกันองค์ชายเยี่ยนหยาง… กลับไม่ได้แตะตะเกียบมานานแล้วสายตาของเขาหยุดอยู่ที่นาง ไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปากแต่เพราะภาพตรงหน้ามันทับซ้อนกับความทรงจำที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ในอดีต—ในชีวิตของ เฟิงเหยาหญิงสาวคนหนึ่งเคยนั่งตรงนี้ยิ้มให้เขาแบบเดียวกัน เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอย่ามัวแต่มอง ข้าวจะเย็นเสียก่อน” “….” เยี่ยนหยางหลุบตาลงช้าๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางโดยไม่รู้ตัวหลิงอันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท…?” “อาหารไม่ถูกพระโอษฐ์หรือเจ้าคะ” คำถามนั้นดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ไม่” เสียงขององค์ชายต่ำ นุ่มกว่าที่เคย “เพียงแต่…” เขาหยุดคำพูดราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “…เจ้ากินแล้ว ดู…สบายใจดี” หลิงอันชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ “เพราะที่นี่คือ ตำหนักของหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันคิดว่า…การกินข้าวอย่างสงบ คือความสุขเล็ก ๆ ที่ควรรักษาไว้” คำต
แสงอรุณอ่อนสาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักหลงเยว่ หลิงอันลืมตาขึ้นช้า ๆ ราวกับไม่คุ้นชินกับความเงียบสงบเช่นนี้ ในอดีต…เวลานี้เธอคงต้องลุกขึ้นก่อนฟ้าสาง เตรียมรับคำดูแคลน คำสั่ง และการกลั่นแกล้งแต่ในชาตินี้—ไม่มีเสียงใดเร่งเร้า ไม่มีใครตะโกน มีเพียงกลิ่นชาหอมจาง ๆ และเสียงฝีเท้าเบาที่คุ้นเคย “ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านในหลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ชุดสีเข้มเรียบง่าย แต่สะอาดเนี้ยบ ใบหน้าเย็นชาตามเคย ทว่าดวงตากลับอ่อนลงอย่างที่เธอเริ่มคุ้น “เพคะ” หลิงอันตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง “หม่อมฉันตื่นสายหรือไม่” เยี่ยนหยางส่ายหน้า “ยังไม่ถึงยามเช้า ข้าเพียง… คิดว่าเจ้าคงไม่ชินกับที่นี่” คำว่า ไม่ชิน ทำให้หลิงอันยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของหญิงสาวอ่อนแอในนิยายแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดมามากเกินพอ “หม่อมฉันชินกับที่ใดก็ตาม… หากไม่ต้องระวังว่าจะมีใครผลักตกบันไดอีก” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบรรยากาศในตำหนักเงียบลงฉับพลัน เยี่ยนหยางชะงักมือที่ยกถ้วยชาค้างกลางอากาศสายตาคมเข้มจับจ้องนางนิ่ง—ไม่ใช่ด้วยความไม่พอใจ แต่เป็น
ตำหนักหลงเยว่ในยามค่ำสงัดเงียบมีเพียงเสียงลมพัดต้องผ้าม่าน หลิงอันนั่งอยู่ในห้องรองรับอันกว้างใหญ่ รอองค์ชายเยี่ยนหยางตามมารยาทของชายาใหม่ แม้เขาไม่เคยสั่งให้นางรอเลยก็ตาม ในนิยาย… องค์ชายเยี่ยนหยางไม่สนใจแม้แต่มองหน้าชายาแรกพบด้วยซ้ำ…แต่วันนี้ เขากลับช่วยข้าจากการล้ม… แม้สีพระพักตร์จะยังเย็นชาเหมือนเดิมก็ตาม ขณะที่ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินหินหน้าตำหนัก เงาร่างสูงในชุดองค์ชายสีดำทองก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ประตูเปิดออก องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ตรงนั้น—คิ้วเข้ม ดวงตาเย็นสงบ แต่แววลึกในดวงตานั้น… แปลกประหลาด คล้ายจับจ้องนางคล้าย… คุ้นเคยเสียอย่างนั้น หลิงอันรีบลุกขึ้นคุกเข่า “ถวายพระพรเพคะ พระองค์กลับมาแล้ว” เยี่ยนหยางเดินตรงเข้ามาโดยไม่สั่งให้นางลุกขึ้นเสียก่อน แต่กลับหยุดยืนตรงหน้า มองนางอย่างพิจารณา แทบจะนานเกินมารยาทขององค์ชายผู้สุขุม “เจ้า…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วลง “หน้าตาคล้ายคนคนหนึ่ง” หลิงอันเงยหน้าขึ้น “คล้ายผู้ใดเพคะ?” เยี่ยนหยางส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับไม่อาจระบุได้ “ไม่รู้… แต่มันทำให้ข้าไม่อยากเมินเฉยใส่เจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้” เขาพูดด้วยน้ำเส
สายลมนิ่งสงบของเช้าวันถัดมา ไม่ต่างจากความนิ่งเงียบภายในตำหนักรองที่หลิงอันต้องย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราวหลังอภิเษก หลิงอันในชุดชายาฉบับเรียบง่าย—ผ้าไหมสีอ่อนปักลายเมฆบาง—ยืนเงียบอยู่ริมบานหน้าต่าง มองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นเหมยกำลังเริ่มผลิบาน ทว่าในใจกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า เมื่อคืน…หลังถูกพาตัวกลับจวน องค์ชายเยี่ยนหยางไม่ได้ตรัสอะไรอีก นอกจากให้คนพาหล่อนกลับตำหนักรอง เหมือนต้องการเว้นระยะห่าง เหมือนกำลังคิด…หรือกำลังระแวง… หลิงอันไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน—สายตาของเขาในวินาทีนั้นมันคุ้นเคยจนน่ากลัว เหมือนเขากำลังจ้อง “นาง” ตัวตนของหล่อนก่อนมาอยู่ในจวนใหม่… ก่อนหล่อนจะลบตนเองออกจากสายตาเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านางคือใคร หรืออาจ…ยังไม่แน่ใจเท่านั้น --- ช่วงสาย องค์ชายเยี่ยนหยางเสด็จออกจากตำหนักเพื่อไปศาลาว่าราชการฝ่ายทหาร เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรองรีบวิ่งวุ่นขึ้น เพราะก่อนเสด็จพระองค์ทรงรับสั่งให้คนเตรียมสิ่งหนึ่ง “พระชายาเพคะ องค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้ารับพระบัญชาในสวนด้านในเพคะ”นางกำนัลคนสนิทรายงานด้วยท่าทีเกรงตัว หลิงอันสะดุ้งเล็กน้
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านกระจกบานกว้างของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ราวกับต้องการเตือนให้หลินอันตั้งสติ แต่ทว่าความเจ็บร้าวที่กลางอกกลับทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก เสียงพูดคุยคุ้นเคย—เสียงที่เธอไว้ใจที่สุดกลับทำให้โลกทั้งใบพังทลายลงอย่างไร้ชิ้นดี “ดีเหมือนกันนะที่มันตายนั่นแหละ”เสียงหัวเราะของ ไป๋เสวี่ยอัน เพื่อนสนิทที่เธอรักเหมือนพี่น้อง ดังลอดมาจากประตูที่แง้มไว้ “ก็เพราะแกนี่แหละ ถึงได้จัดการได้เนียนขนาดนั้น” ชายเสียงทุ้มตัวสูงที่เธอเคยเห็นเป็นคนดี—แฟนของเธอ—ตอบกลับ หัวใจหลินอันเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอตั้งใจเพียงจะเอาของฝากมาให้เพื่อนหลังกลับจากต่างจังหวัด แต่กลับได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินที่สุดในชีวิต “หลินอัน…แค่ของเล่น ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ใครจะไปทนคบกับผู้หญิงน่าเบื่อนั่นได้ล่ะ” เสียงหัวเราะเหยียดหยันตามมา มันคือเสียงของคนที่เคยบอกรักเธอ ขาเธออ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว แต่ก็ยังยื้อประตูไว้ไม่ให้เปิดออก เธอรู้ดีว่าหากถูกพบตอนนี้ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้อีก “อย่างน้อยเธอก็ตายไปแล้ว เรื่องมันก็จบสักที” ไป๋เสวี่ยอันพูดอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “เอาจริง ๆ ฉันเคยอยากฆ่ามันตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ







