Chapter 4
องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน
“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”
“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”
องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก
“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว
“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”
สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใดมิทราบได้ จางม่านอวี้อยากเจอเฉินต้าเหว่ยก่อนเข้าวังมาก จางม่านอวี้มีคำถามหลายคำถามที่จะถามเขา และอยากได้ยินประโยคหนึ่งจากปากเขาเช่นกัน ทว่านางคงไม่ได้ยินคำที่อยากได้ยิน นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขากับนางจะอยู่กันคนละทาง เปรียบได้ว่าคนละโลกก็ว่าได้ จางม่านอวี้ได้แต่ภาวนา ขอให้เฉินต้าเหว่ยกลับมาทันก่อนที่นางถูกส่งตัวเข้าวัง
เป็นคำภาวนาเพียงหนึ่งเดียวที่จางม่านอวี้อยากได้...
ขบวนเกี้ยวจากสำนักราชวังโดยคำสั่งของฮองเฮาจิวหยวนมาหยุดหน้าบ้านจางเฟย โดยมีเจ้าของบ้านมายืนต้อนรับ ก่อนที่จางเฟยจะให้พ่อบ้านหวังไปตามบุตรสาวคนที่สี่มาขึ้นเกี้ยว เพื่อเดินทางไปเมืองหลวง ไปทำหน้าที่พระสนมตามที่ฮองเฮาต้องการ
ภายในห้องส่วนตัวของว่าที่พระสนม จางม่านอวี้กำลังนั่งอยู่หน้ากระจก นางมองดูใบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยความเศร้ามากกว่าความสุขที่ตนเองกำลังจะได้เป็นพระสนม สถานะที่ผู้คนจะยกย่องและให้เกียรติ แต่นางรู้ดีว่า เบื้องหลังของตำแหน่งนี้มีความทุกข์ซ่อนอยู่ พระสนมของฮ่องเต้จูหมิงมีนับร้อย ถูกหมางเมินเกินครึ่ง คนที่ถูกเมินเฉย ฮ่องเต้ไม่ให้ความสนใจก็ไม่ใช่ว่าจะสุขสบาย เพราะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในวัง ข้าทาสบริวารก็ไม่ได้มีมาก มีแค่คนสองคนไว้คอยรับใช้ เรือนที่พักก็ไม่ใช่ว่าจะกว้างใหญ่
ต่างกับพระสนมที่อยู่ในพระเนตรฮ่องเต้ จะได้รับการดูแลอย่างดี สถานที่พักกว้างขวาง มีนางในรับใช้สูงศักดิ์ส่วนตัวหลายคน ทุกอย่างที่พระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ได้รับ ตรงกันข้ามกับพระสนมนอกสายตาอย่างสิ้นเชิง จางม่านอวี้คิดว่า ตนเองก็คงเป็นพระสนมอย่างหลัง ที่จะอยู่นอกพระเนตรฮ่องเต้จูหมิงตลอดกาล ทว่านางกลับมองว่า มันเป็นเรื่องดี เพราะนางเองก็ไม่ต้องการเป็นเมียคนแก่คราวพ่อ นางจะตั้งใจทำงานให้เสร็จสิ้น เพื่อที่ตนจะได้รับอิสระ ไม่ต้องติดอยู่ในกรงทองอันใหญ่โต
“วันนี้คุณหนูสวยจังค่ะ” หลินหลินชมจากใจ
“ข้าไม่สวยมากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอกหลินหลิน ที่สวยขึ้นอาจเป็นเพราะชุด เครื่องประดับผมและเครื่องแต่งหน้าที่ช่วยส่งเสริม แล้วข้าก็ไม่อยากสวย ข้าอยากเป็นจางม่านอวี้คนเดิมมากกว่า” จางม่านอวี้เอ่ยเสียงเศร้า “เจ้าให้คนไปดูต้าเหว่ย ได้เรื่องว่าไงบ้าง”
“ข้าให้จ้าเตียวไปดูแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลินตอบ สงสารเจ้านายสาวยิ่งนัก
“ต้าเหว่ยคงยังไม่กลับมาแน่ๆ ถ้ามาเขาต้องมาหาข้าเป็นคนแรก”
ว่าที่พระสนมพูดเหมือนรู้ว่า นางจะไม่ได้พบหน้าเพื่อนสนิทก่อนเข้าวัง หลินหลินไม่มีคำใดเอ่ย นอกจากความสงสารที่มีให้จางม่านอวี้จับใจ
“คุณหนูสี่ขอรับ” เสียงเรียกหน้าประตูห้องที่หลินหลินจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร นางรีบเดินไปเปิดเพื่อฟังข่าวที่ให้ไปไว้วาน
“ได้เรื่องว่าไงจ้าเตียว” หลินหลินถาม
“ท่านรองแม่ทัพยังไม่กลับ” คนถามหน้าเศร้า พยักหน้ารับรู้ ก่อนปิดประตูแล้วเดินกลับมาหาคุณหนูสี่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านรองแม่ทัพยังไม่กลับเจ้าค่ะ”
เหมือนมีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของจางม่านอวี้ มีไม่กี่คนที่นางอยากล่ำลาก่อนเข้าวัง หนึ่งในบุคคลเหล่านั้นคือ รองแม่ทัพเฉินต้าเหว่ย ทว่าตอนนี้ความหวังของนางคงหมดลงแล้ว เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น
“คุณหนูขอรับ เกี้ยวมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านหวังยืนเรียกคุณหนูสี่หน้าประตูห้อง
หลินหลินประคองจางม่านอวี้ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่นางจะเดินไปเปิดประตูให้คุณหนูสี่ ที่ต้องบอกว่าหากใครเห็นจางม่านอวี้ตอนนี้ คงรู้ได้ว่า นางรู้สึกอย่างไรกับการไปเป็นพระสนมฮ่องเต้
ขบวนเกี้ยวเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านจางเฟย โดยมีชาวบ้านที่ให้ความสนใจมายืนดูขบวนเกี้ยวที่พวกเขาไม่ได้เห็นกันบ่อยนักด้วยความตื่นเต้น หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า จางม่านอวี้ไม่เหมาะที่เป็นพระสนม เนื่องจากความงามไม่โดดเด่น เนื่องจากทุกคนต่างรู้ดีว่า พระสนมของฮ่องเต้จูหมิงมีความงดงามทั้งสิ้น บางคนมีความงามมากยังไม่เป็นที่พอพระทัย แล้วหน้าตาแบบจางม่านอวี้ ฮ่องเต้คงไม่เหลียวมองแน่นอน ซึ่งจางม่านอวี้ก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น
Chapter 9สองวันมานี้จางม่านอวี้คิดหาวิธีเข้าใกล้พระสนมมู่เซียน โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกล้วงความลับ เดิมทีจางม่านอวี้ตั้งใจเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับมู่เซียน แต่คิดไปคิดมา วิธีนี้คงไม่ได้ผล คนฉลาดอย่างสนมมู่เซียนต้องสงสัยว่า ตนเข้าไปทำความรู้จักเพื่อเหตุผลใด เพราะปกติเหล่าพระสนมจะชิงดีชิงเด่น ชิงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ น้อยนักที่จะสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และนั่นอาจส่อพิรุธให้มู่เซียนจับได้ จางม่านอวี้จึงคิดหาทางอื่น ที่จะทำให้มู่เซียนไว้ใจและเชื่อใจนาง ทว่างานนี้นางทำคนเดียวไม่ได้ นางต้องมีคนช่วยและมีอีกเรื่องหนึ่งที่จางม่านอวี้บอกจิวฮองเฮา เรื่องนั้นคือเรื่องการติดต่อระหว่างนางกับฮองเฮา ก่อนจะถึงวันแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระสนม จางม่านอวี้คิดว่า ไม่สมควรเจอกันบ่อยนักเพราะอาจทำให้มู่เซียนเกิดความสงสัย ทางใดที่ทำให้มู่เซียนเกิดความคลางแคลงใจ จำต้องตัดทิ้งเพื่อความสำเร็จในวันหน้า จางม่านอวี้ใช้วิธีเขียนจดหมายถึงฮองเฮาจิวหยวน ให้นางทำตามแผนที่ตนเขียนไว้อย่างละเอียดภายในจดหมายฉบับนั้น ก่อนจะให้เจี่ยเหว่ยนางกำนัลรับใช้ที่จิวฮองเฮาส่งมา นำสารดังกล่าวไปตำหนักกลาง จิวฮองเฮาเปิดจด
Chapter 8 เฉินหมิงไม่คิดว่า บุตรชายจะรักจางม่านอวี้มากกว่าอนาคตของตัวเอง ถึงได้ยอมสละอะไรหลายอย่างเพื่อนาง ที่เขาไม่ขัดความคิดของบุตรชายเป็นเพราะ หน้าที่ที่จางม่านอวี้ไปทำนั้นมีความเสี่ยงมาก ขุนนางในวังล้วนแต่เป็นเสือและสิงห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อำนาจก็มีมาก ยิ่งต้องไปต่อสู้กับพระสนมมู่เซียนที่ใครต่างรู้ดีว่า มีอำนาจมากแค่ไหน จางม่านอวี้จำเป็นต้องมีคนช่วยอีกทางหนึ่ง แล้วรู้ด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของเฉินต้าเหว่ยคือ จะได้ใกล้ชิดจางม่านอวี้“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็เห็นตามนั้น” เฉินหมิงตอบกลับ “แล้วเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวังได้ยังไง”“ข้ามีวิธีขอรับท่านพ่อ”การที่เฉินต้าเหว่ยตัดสินใจลาออกจากการเป็นรองแม่ทัพ ไปทำงานเป็นขุนนางในวังก็เพื่อช่วยเหลือจางม่านอวี้ เขาต้องมีวิธีที่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น“ข้าไม่ห้ามเจ้าว่าจะทำอะไร และไม่ห้ามเจ้าไม่ให้รักม่านอวี้ เพราะรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องดี เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง” เฉินหมิงพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกลูก“ขอบคุณขอรับท่านพ่อที่เข้าใจข้า” เฉินต้าเหว่ยคำนับบิดา “ข้าขอตัวไปหาเฉียนเจ้าก่อนนะขอรั
Chapter 7“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในตำหนักชิวเป่า เป็นตำหนักในส่วนของพระสนมขั้นสามและสี่อยู่”“เพคะฮองเฮา”“ส่วนนางกำนัลรับใช้ ข้าจะให้ฮุ้ยเจี้ยนกับเจียเหม่ยไปดูแลเจ้า สองคนนี้เป็นคนของข้า จะคอยส่งข่าวให้เจ้ารู้ว่า เจ้าต้องทำอะไร”“หม่อมฉันขอให้สาวใช้ของข้าอยู่รับใช้หม่อมฉันที่นี่ด้วยได้ไหมเพคะ”“ข้าว่าอย่าดีกว่า มีคนของข้าแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คนของเจ้า”ฮองเฮาไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือรับรู้เรื่องแผนการกำจัดพระสนมมู่เซียนมากนัก ยิ่งรู้มากการที่ข่าวจะรั่วไหลก็มากตาม“หม่อมฉันกลับคิดว่ามีความจำเป็นเพคะ”“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าจำเป็น” ฮองเฮาถามกลับ“หม่อมฉันต้องการให้มีคนที่หม่อมฉันไว้ใจที่สุดอยู่ใกล้ด้วย หลินหลินอยู่กับหม่อมฉันตั้งแต่เกิด เราโตมาด้วยกัน และรักกันเหมือนพี่น้อง หม่อมฉันไม่เคยมีความลับกับหลินหลิน เช่นเดียวกับที่หลินหลินไม่เคยมีความลับกับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในวังที่เปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่กว้างใหญ่และน่ากลัว แล้วยังต้องแบกภาระหน้าที่ที่ต้องทำอีกด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาคนที่ไว้ใจที่สุดในการทำงาน ซึ่งหม่อมฉันไม่ไว้ใจคนของฮองเฮา เพ
Chapter 6ขบวนเกี้ยวมาหยุดเมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง จางม่านอวี้ก้าวลงมาจากเกี้ยว นางยืนมองไปรอบๆ ที่เป็นลานกว้างมีทหารหลายสิบนายเดินตรวจตรา ห่างไปตรงหน้าราวห้าสิบเชี้ยะเป็นประตูบานใหญ่ซึ่งนางคิดว่า คงเป็นประตูวัง จางม่านอวี้มองประตูบานนั้นนิ่ง หากนางก้าวผ่านขอบประตูบานนั้น นั่นหมายความว่า นางจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจ ไม่อาจหันหลังกลับ ทางเดียวต่อจากนี้คือ เดินหน้าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพียงแค่เห็นความกว้างใหญ่ของวังหลวง จางม่านอวี้สัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา ด้านหลังประตูบานนั้นนางไม่รู้จักใครเลย แปลกทั้งสถานที่และคน อย่างหลังนางถึงกับหนักใจ นางรู้มาว่า คนในวังหลวงแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่ละคนเสมือนจิ้งจอกล่าเนื้อ รวมถึงขนบธรรมเนียมที่ต่อจากนี้ไปนางต้องเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่นางเองก็ไม่รู้ว่า จะทำได้ดีหรือไม่ “แม่นางจาง เชิญขอรับ ฮองเฮารออยู่”หลีกงกงบอกว่าที่พระสนม จางม่านอวี้พยักหน้าเดินตามหลีกงกงข้ามผ่านประตูสีแดงเข้าไปในเขตวัง ความรู้สึกของจางม่านอวี้เวลานี้ นางรู้สึกร้อนเท้า แต่ละก้าวที่จางม่านอวี้ก้าวเดินเสมือนเดินบนกองไฟอย่างไงอย่างนั้น ค
Chapter 5เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามเฉินต้าเหว่ยควบม้าคู่ใจด้วยใจอันร้อนรน การขี่ม้าครั้งนี้ถือว่าเร็วที่สุดในชีวิต เร็วกว่าตอนออกศึกรบเสียอีก ทว่าความเร็วของม้ายังไม่เพียงพอ เขาอยากให้มันเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ตามทันขบวนเกี้ยวที่มารับจางม่านอวี้เข้าวัง แต่ความเร็วของม้าทำได้เพียงแค่นี้ ช้ากว่าใจเฉินต้าเหว่ยเป็นร้อยเท่าทันทีที่แม่ทัพหนุ่มกลับมาจากส่งสารสำคัญจากต่างเมือง เขาได้รับข่าวร้ายจากบิดาเรื่องจางม่านอวี้ ตอนนั้นเฉินต้าเหว่ยรู้สึกงงงวย ความไม่เข้าใจแฝงในความรู้สึกที่อยู่ๆ จางม่านอวี้ได้เป็นพระสนม นางกำลังจะเป็นของชายอื่น ซึ่งผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น รองแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรไม่รู้ที่มาที่ไปของการเข้าวังของนาง ในใจของเขาตอนนี้รู้เพียงว่า ต้องตามนางให้ทัน เขาจึงรีบควบม้าตามขบวนเกี้ยวอย่างไม่ลดละระยะทางจากเมืองหลานหยูไปเมืองหลวงมีระยะทางหลายร้อยลี้ ขบวนเกี้ยวที่มารับจึงใช้ม้าในการลากเกี้ยวแทนคนแบกหาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น เนื่องจากม้าเดินไม่ได้วิ่ง ส่งผลให้แรงอาชาไนยของรองแม่ทัพหนุ่มนำพาเขามาทันขบวนเกี้ยวที่มองเห็นในระยะสายตาเฉินต้าเหว่ยรีบเร่
Chapter 4องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใด