“น้องฉางซี”
เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”
คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ
“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน
‘อย่างนี้ไม่เรียกว่าโกรธแล้วอยู่หรอกหรือ’
เสิ่นฉางซีผ่านเรื่องร้ายมามาก เผชิญการสูญเสียและความเจ็บปวดทั้งกายใจ ได้คำสอนสั่งของไต้ซือซูและการอบรมของนายท่านรอง นางจึงค่อนข้างมีความคิดอ่านเกินวัย นางมีความสุขุมใจเย็นพอๆ กับชอบหยอกล้อผู้อื่น ทว่าหลายปีที่ผ่านมา ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวนี้ทำให้เด็กในวัยเดียวกันไม่กล้าเข้าใกล้ เว้นแต่บุตรชายนายท่านใหญ่นามเการุ่ยเฉียง ที่อายุมากกว่านางสองปีให้ความใกล้ชิดสนิทสนมและออกหน้าปกป้องนางเสมอ
นางผู้ถูกมารดาและบิดาอบรมเลี้ยงดูเติบโตมาอย่างสมถะเรียบง่าย ไม่ว่าอย่างไรก็มองว่าสกุลเกาเป็นผู้มีพระคุณของนาง มิอาจตีตนเสมอเท่าเทียมได้ สิ่งใดหยิบจับทำงานเพื่อทดแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือและยังให้ที่อยู่อาศัยพร้อมเสื้อผ้าและอาหารการกิน นางจึงทำทั้งสิ้น
“ข้าออกไปทำธุระนอกเมืองให้บิดา คิดว่าจะกลับมาทันพิธีปักปิ่นของเจ้าแท้ๆ แต่กลับดินถล่มจึงเดินทางล่าช้า” เการุ่ยเฉียงคร้านจะใส่ใจท่าทีของนางอีก พูดพลางหยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้นาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าปักปิ่นปักผมมิได้ แต่ข้าอยากให้เจ้า” เขาผลักกล่องไม้เล็กใส่มือนาง สายตาของเขาเป็นประกายมุ่งหวังให้นางเปิดออก เสิ่นฉางซีไม่อาจขัดใจได้จึงเปิดกล่องไม้ออก พบปิ่นหยกสีเขียวงดงามสลักลายดอกเหมย ข้างกันมีหวีหยกวางคู่กัน นางเบิกตากว้างไม่คิดว่าเการุ่ยเฉียงจะให้ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้
“คุณชาย เอ่อ พี่รุ่ยเฉียง ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้ารับไว้มิได้หรอกเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นกอดอกไม่ยอมรับของที่นางยื่นส่งกลับมาให้เขา
“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า มอบของขวัญให้น้องสาวจะเป็นอะไรไป หึ!”
“เช่นนั้น...ข้าขอรับไว้” แม้นางจะประดับปักปิ่นไม่ได้ แต่มิได้หมายความว่าจะไม่ชอบสิ่งสวยงามเช่นนี้ “ขอบคุณมาก”
น้ำเสียงและรอยยิ้มที่ปรากฏความพึงพอใจของนางทำให้เการุ่ยเฉียงมองอย่างเหม่อลอย ห้าปีที่ผ่านมา เขาเห็นเด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เติบโตเป็นหญิงสาว แม้นางมีแผลเป็นบนหน้าผากและท่าเดินที่ผิดปกติชัดเจน แต่นางเป็นคนจิตใจอ่อนโยน ดวงตาคู่นี้งดงามนัก เมื่ออยู่ใกล้ทำให้รู้สึกใจสงบ
“พี่รุ่ยเฉียงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้คงยังไม่ได้กินข้าวเช้ากระมัง” เสิ่นฉางซีเอ่ยถามไม่รอคำตอบ นางหมุนตัวนำกล่องของขวัญเข้ามาเก็บในห้องแล้วเดินลากขาออกมาอีกครั้ง “มาเถิด เข้าไปในครัวกัน”
ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวานที่ชวนให้คนใจลอย เสิ่นฉางซีไม่เห็นว่าชายหนุ่มเดินตามมา นางจึงหยุดเดินแล้วเอี้ยวตัวหันไปส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง เการุ่ยเฉียงส่งยิ้มเก้อเขินแล้วรีบก้าวยาวๆ เดินเคียงข้างนาง เมื่ออยู่ใกล้กันเช่นนี้ เขารู้สึกได้ว่านางตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมนัก ศีรษะของนางแค่ไหล่ของเขาเท่านั้นเอง
ตั้งแต่วันแรกที่บิดารับนางไว้ในสกุลเกา แรกทีเดียวเขาสงสารเวทนาเด็กหญิงวัยสิบขวบผู้นี้เหลือเกิน บาดแผลของนางน่ากลัวนัก ยืนอยู่ห่างหลายก้าวยังได้กลิ่นเนื้อไหม้จากตัวนาง แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายยังรู้สึกหวาดกลัว นางต้องปิดดวงตาอยู่ครึ่งเดือน มารดาจึงให้แม่บ้านมาช่วยดูแลนางจนกระทั่งเด็กน้อยเปิดผ้าปิดตาแล้ว ดวงตาคู่นั้นงดงามกระจ่างใสราวกับแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ และเพราะนางถูก ‘ฝ่ามืออัคคี’ ทำร้าย เส้นผมของนางร่วงเป็นกระจุก มารดาเล็มปลายผมให้นาง ตัดส่วนที่ไหม้ทิ้งไปจนผมของนางยาวประบ่า หน้าตานางดูประหลาดนัก เมื่อเขามองไปทางนาง นางส่งยิ้มให้เสมอราวกับไม่รับรู้ความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกาย แต่มีอยู่ครั้งที่เขาบังเอิญไปพบท่านอาเกาเทียนฉีกำลังรักษาบาดแผลบนศีรษะให้นาง เด็กหญิงกัดผ้าในปากแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา เขาอายุมากกว่านางแค่สองปีแต่กลับรู้สึกว่านางเข้มแข็งมากกว่าเขานัก
ใช้เวลาครึ่งปีนางจึงลุกจากเตียงลงเดินได้ แต่การเดินนั้นก็ยังต้องลากขาข้างที่เจ็บ พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไป สกุลเกาชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่พอจะมีแววฝึกฝนวรยุทธ์ได้ไว้หลายสิบคน เขาเคยเห็นเด็กบางคนที่ล้อเลียนและรังแกเสิ่นฉางซี นางคือสิ่งเดียวที่เขาอยากปกป้อง แต่ความรักความห่วงใยที่มีให้เด็กหญิงผู้นั้นมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก
เสิ่นฉางซีเป็นเด็กกำพร้าที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นที่บิดารับอุปการะ นางเป็นบุตรสาวของสหายรัก สภาพร่างกายที่บาดเจ็บเรื้อรังไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์ได้ มารดาของเขารักใคร่เอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยนักเพราะอยากมีบุตรสาวสักคน ว่ากันตามจริง นางสามารถใช้ชีวิตประหนึ่งคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ได้ แต่นางมิได้อยู่เฉย นางชอบอยู่ในโรงครัว เขายังจำภาพที่นางปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อทำอาหาร นางชอบอยู่กับท่านอารองศึกษาเรื่องสมุนไพร อยู่กับมารดาหัดงานเย็บปัก และบางครั้งก็ฝึกเรียนเขียนอ่านกับเขา
เการุ่ยเฉียงเดินเคียงข้างเสิ่นฉางซีมาถึงโรงครัว เพียงใบหน้าของเด็กสาวโผล่เข้ามา หลี่เจี๋ย พ่อครัวใหญ่ก็เรียกใช้งานทันที แต่พอเงยหน้าขึ้นจากก้อนแป้งที่กำลังนวดอยู่ก็รีบหุบปากทันที
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ