หยงเจี้ยนก้าวเข้าไปข้างหน้า
“ไปลากตัวนางจิ้งจอกม่านม่านนั่นมาจากคุกหลวง ข้าจะไต่สวนนางเอง” คำพูดที่ทั้งโกรธและเจ็บแค้น
เพียงอึดใจเดียว องครักษ์ก็พาม่านม่านมาที่หน้าหยงเจี้ยน ม่านม่านหรือมิ่นหมิ่นถูกบังคับให้คุกเข่าตรงหน้าเขา ใบหน้าโศกเศร้าแม้มีเห็นน้ำตาที่รินไหลลงมาอย่างเงียบๆ แต่ยังคงอยู่เลยไม่ขัดขืน
หยงเจี้ยนมองม่านม่านอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม นางจิ้งจอก”
มิ่นหมิ่นกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นมองหยงเจี้ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ใจของไท่จือคิดแบบไหน ข้าไม่อาจคาดเดาหรือเปลี่ยนใจไท่จือได้...แต่ข้าแค่จะบอกว่า ข้าไม่ได้ทำ ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นข้าที่ถูกใส่ความ”
เสียงของมิ่นหมิ่นสั่นเล็กน้อย อาภรณ์เปื้อนฝุ่นขะมุกขะมอม
ความจริงในใจของมิ่นหมิ่นนั้นหนักหน่วงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อคิดถึงเหตุผลที่ทำให้ยังคงไม่หนีจากที่นี่ทั้งที่สามารถออกจากวังไปได้ตั้งแต่ต้น แต่นางยังคงเชื่อว่า จะสามารถเปลี่ยนใจหยงเจี้ยนได้สักวันหนึ่ง
แม้จะเจ็บปวดสักเท่าไรก็ยังคงยึดมั่นในความรักที่มีให้เขา
หยงเจี้ยนได้แต่หัวเราะในลำคอ มือของเขาเลื่อนขึ้นจับที่ขมับก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งเย็นชา
“เจ้ามันร้ายกาจนัก ทุกสิ่งที่เจ้าทำก็เพื่อให้ได้ใจข้า...แล้วยังทำร้ายคนที่ข้ารัก น่าไม่อาย”
มิ่นหมิ่นกัดฟันแน่น กลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่ากระนั้นก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่มันหลั่งไหลออกมาในใจได้ น้ำตาเริ่มรินไหลออกจากตาโดยที่ไม่อาจควบคุมมันได้ ความเจ็บปวดในหัวใจที่ถูกตัดทอนอย่างไม่ปรานีทำให้มิ่นหมิ่นไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้
เสียดายเหลือเกิน…เสียดายเหลือเกินที่มอบหัวใจให้กับเขา เสียดายเหลือเกินที่มิ่นหมิ่นเคยหวังว่าหยงเจี้ยนจะหันกลับมารักมิ่นหมิ่นบ้าง
สำหรับมิ่นหมิ่นแล้ว ความรักที่เคยมีนั้นยังคงมีค่า
มิ่นหมิ่นไม่เคยล้มเลิกง่ายๆ ...แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปจากเขา ก็จะต้องจากไปอย่างไม่มีความลังเลอีกต่อไป…
“ไท่จือได้โปรด…” ลุกขึ้นยืนเดินมาตรงหน้า
“ไท่จือขอรับ ไท่จือเฟยตอนนี้กระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วขอรับ ร่างกายของไท่จือเฟยบอบช้ำไม่น้อยจากพลังเวทย์ของ….เอ่อ….เอ่อ..ม่านม่านคนนี้” ขันทีชี้มือไปที่มิ่นหมิ่นที่ยืนตรงหน้าหยงเจี้ยน
“นางมารเจ้าจะพรากคนที่ข้ารัก….จากข้าไปอีกแล้วหรือ”
มิ่นหมิ่นรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากอก เมื่อหยงเจี้ยนผลักร่างของหมิ่นมิ่นลงไปกองกับพื้น รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนราวกับไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่เขาก่อให้เกิดขึ้น
“เจ้ามันก็แค่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ นางมารเก้าหาง” หยงเจี้ยนพูดอย่างเย้ยหยัน
"คิดว่าจะมาหลอกลวงข้าได้ง่ายดายอย่างนั้นหรือ"
มิ่นหมิ่นหายใจถี่ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้เริ่มไหลรินลงมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้จะเจ็บปวดอย่างสุดใจแต่ก็ยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยความแน่วแน่
“ข้าไม่ผิด…ไท่จือได้โปรด...” น้ำเสียงมิ่นหมิ่นสั่นจากความเจ็บปวด
หยงเจี้ยนยิ้มเหยียด ย่อตัวลงข้างๆ แล้วยกมือขึ้นเชยคางมนของมิ่นหมิ่นอย่างเย็นชา
“เจ้าทำร้ายไท่จือเฟยของข้าปางตาย สังหารคนใกล้ตัวข้าที่ดีกับข้ามาตลอดแล้วยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก”
หยงเจี้ยนพูดเสียงต่ำแต่น้ำเสียงนั้นดุจคลื่นแห่งความเกลียดชัง
มิ่นหมิ่นกลั้นใจกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองแตกสลาย พยายามสงบสติอารมณ์แต่กลับไม่อาจห้ามความเจ็บปวดที่กัดกินภายในได้
“องครักษ์!” หยงเจี้ยนตะโกน
"คุมตัวนางจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้ไปให้นักปราชญ์ทั้งเก้าสร้างม่านมนตรากักขังรอวันประหาร!"
คำพูดนั้นเป็นเหมือนอาวุธร้ายที่มิ่นหมิ่นไม่สามารถหลีกหนีได้ เกิดบาดแผลใหญ่ในใจ มิ่นหมิ่นกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ น้ำตารินไหลไม่หยุด หยงเจี้ยนเข่นฆ่ามิ่นหมิ่นจากภายในอย่างรุนแรง
“พอกันที... จบสิ้นกันเพียงเท่านี้...ข้าเกลียดท่าน…ลาก่อน” มิ่นหมิ่นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
หยงเจี้ยนถอยหลังกรูดในท่าทีระมัดระวัง
“เจ้าจะทำร้ายข้าอีกแล้วใช่ไหม” หยงเจี้ยนพูดเสียงแข็งกร้าว
“พวกเจ้าจับนางไว้อย่าให้นางทำร้ายไท่จือ!” หัวหน้าองครักษ์กวานหยงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตวาดออกมาอย่างดุเดือด
องค์รักษ์ทุกคนกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วมือของพวกเขาถืออาวุธ หญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงกลางนั้นถูกล้อมรอบด้วยบุรุษองอาจหลายสิบคนพร้อมอาวุธในมือกำลังจะพุ่งเข้ามาทำร้าย
มิ่นหมิ่นรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีในตัว เริ่มร่ายมนตร์อย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเอง ม่านอาคมแสงสีทองก็ถูกสร้างขึ้นรอบตัว เวทมนตร์กระจายออกมาอย่างมหาศาล
“นางจิ้งจอก! เจ้ากำลังจะทำอะไร! ตั้งใจจะทำร้ายไท่จือหรือ?!” หัวหน้าองครักษ์กวานหยงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว พลังของมิ่นหมิ่นนั้นช่างยิ่งใหญ่จนอดจะเกรงกลัวไม่ได้
องครักษ์ที่มีอาวุธในมือโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่กลับต้องสะท้อนกับม่านอาคมที่มิ่นหมิ่นสร้างขึ้น หัวหน้าองครักษ์กวานหยงเห็นสถานการณ์ไม่ดีแต่ยังคงตะโกนเสียงดัง
“องครักษ์ จับนางมารนี่ไว้เร็วเข้า!” เสียงคำสั่งดังก้องไปทั่ว
มิ่นหมิ่นรู้ดีว่าไม่อาจใช้ม่านอาคมไปได้ตลอด มือขยับไปในอากาศและร่ายมนตร์อีกครั้ง พลังเวทย์มนต์ที่รุนแรงเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในรอบทิศทาง
มิ่นหมิ่นมองไปยังหยงเจี้ยนที่ยืนมองมาอย่างเย็นชา
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายข้าหรือใครได้อีก...”
หยงเจี้ยนกัดฟันแน่นดึงกระบี่เงินออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะจัดการนางเอง”
กระบี่เงินในมือของเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียวม่านอาคมที่มิ่นหมิ่นสร้างขึ้นก็แตกละเอียด มิ่นหมิ่นยืนตะลึง ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวหยงเจี้ยนก็โจมตีอย่างรวดเร็ว
กระบี่ในมือหยงเจี้ยนพุ่งตรงไปที่ร่างเล็กของมิ่นหมิ่นเสียบกระบี่ทะลุยอดอก
"เจ้า..." หยงเจี้ยนพยายามพูด แต่เสียงของเขายังคงแหบแห้ง เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกเหมือนร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงมรุดลงไปกับพื้น"โอ๊ย "มิ่นหมิ่นรีบเข้ามาขวางไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้น ท่าทางเต็มไปด้วยความห่วงใย ท่านยังไม่แข็งแรงเลยนะ อย่าพยายามขยับมากนัก ข้าจะคอยดูแลท่านเองหยงเจี้ยนถอนหายใจ ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยมิ่นหมิ่นที่ใกล้เข้ามา "เจ้าจิ้งจอกตัวนี้นี่ เฝ้าข้าตลอดเวลาเลยหรือ" หยงเจี้ยนถามออกไป รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถจำอะไรได้มาก จากที่ผ่านมาทุกสิ่งดูเหมือนจะพร่าเลือนและเต็มไปด้วยความสับสน คล้ายหลับแต่ก็เหมือนตื่นมิ่นหมิ่นยิ้มอ่อนโยน ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน ข้าคือมิ่นหมิ่น... จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างท่านมาเสมอ ข้าไม่เคยทิ้งท่านไปไหนเลย จริงจริ้งงงงงหยงเจี้ยนมองอย่างเงียบๆ สักครู่ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัยและสับสน แต่มุมปากของเขากลับยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยจากใบหน้านั้น ราวกับว่าคุ้นเคยกับเจ้าจิ้งจอกเหลือเกินไร้ผู้คนไร้สหายข้างกายมีเพียงจิ้งจอกป่า หยงเจี้ยนยิ้มหยันให้กับตัวเขาเองจิ้งจอกเช่นไรจึงมาดูแลมนุษย์ได้"ขอบคุณ...เจ้าช่วยข้า ใ
"พี่ใหญ่ต่อไปท่านก็คงไม่ต้องกังวลแล้วนะ ข้ารู้สึกถึงพลังของมิ่นหมิ่นที่กลับคืนมาแล้ว"มิ่นหมิ่นมองพี่ชายทั้งสามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ก่อนที่จะหันไปหาหลินหยู พี่ชายคนโตของนางที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แตกต่างจากพี่ชายคนอื่น ๆ ในการดูแลเธอ"พี่ใหญ่...ข้าอยากเรียนวิชาหยั่งรู้เจ้าค่ะ" มิ่นหมิ่นพูดอย่างออดอ้อนเสียงแผ่วเบา"ข้าอยากรู้วิธีใช้พลังของข้าอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าอยากเข้าใจว่าพลังของข้าคืออะไรและจะใช้มันได้ยังไง"หลินหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมิ่นหมิ่น เขาเป็นพี่ชายที่รักและห่วงใยมิ่นหมิ่นมากที่สุดจะต้านทานน้องสาวตัวน้อยได้ยังไง"เจ้าคือว่าที่ฮองเฮา ว่าที่ผู้นำเผ่าจิ้งจอกด้วยชาติกำเนิดของเจ้ามีญาณหยั่งรู้ติดตัวอยู่แล้ว" หลินหยูพูดเสียงนุ่ม "แค่ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง เจ้าก็สามารถใช้พลังนี้ได้แล้ว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะต้องฝึกฝนมันมากมาย"มิ่นหมิ่นมองพี่ชายใหญ่ด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น "จริงเหรอเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องฝึกเลยเหรอ"หลินหยูหัวเราะเบาๆพร้อมกับส่ายหัว "มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบนั้นหรอก เจ้าแค่ต้องฝึกวิธีการควบคุมมัน แต่เจ้ามีพลังในตัวเองแล้ว เจ้าคือผู้ที่เกิดมาพ
"ไม่ต้องทุ้มเทเพียงนั้น ข้าหมดสิ้นทุกอย่างไร้ซึ่งทุกสิ่งแล้ว" หยงเจี้ยนกล่าวเสียงเบkแต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้เขาจะยังคงไม่มีพลังมากพอ แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อมิ่นหมิ่นจากความสงสัยเป็นความขอบคุณในความเงียบสงบทั้งสองคนยังคงประสานพลังให้แก่กันอย่างเงียบๆในสุสานบรรพชนที่รกร้างนี้ร่างกายของหยงเจี้ยนค่อยๆฟื้นคืนความแข็งแรงขึ้นทีละน้อย เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและพลังที่ไหลเวียนผ่านเส้นเลือด แค่เขาหายใจลึกๆก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เข้ามาช่วยสนับสนุนให้ร่างกายเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง“เจ้าคือใครกัน"มิ่นหมิ่นไม่ตอบในทันทีเพราะเริ่มอ่อนแรง กำลังนั่งขัดสมาธิและคอยเดินลมปราณให้กับเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มหม่นหมองเล็กน้อย "ข้าแค่เป็นจิ้งจอกเก้าหางที่หนีออกมา...เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตในโลกนี้ ดีใจที่ได้ช่วยท่าน" น้ำเสียงของสดใสน่าเอ็นดูแต่อ่อนแรงไปมากแล้วหยงเจี้ยนยังคงมองมิ่นหมิ่นด้วยความสงสัย รู้สึกถึงความอุ่นจากลมปราณที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายใน รู้สึกถึงกำลังวังชาที่กลับมามิ่นหมิ่นหยุดการเคลื่อนไหวลมปราณผ่านมือ พูดด้วยน้ำเ
มิ่นหมิ่นที่มักจะไม่สามารถปฏิเสธคำขอของมารดาได้ ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะคว้าผลไม้นั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า "ขอบคุณพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะนำมันไปเก็บไว้ที่ตำหนักหลานฮวาของข้า แล้วค่อยกินมันวันพรุ่งนี้" มิ่นหมิ่นยิ้มออดอ้อนและเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับผลไม้ในมือฮองเฮามองตามร่างเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นที่เดินออกไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ทองคำมิ่นหมิ่นเดินออกจากห้องของฮองเฮาด้วยรอยยิ้มหวานที่ซ่อนความกังวลไว้ในใจ มือจับผลไม้อมตะในมือด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต สายตามองไปที่เสี่ยวเอินที่ยังคงยืนอยู่ข้างหลังราวกับจะไม่ให้มิ่นหมิ่นคาดสายตา“เสี่ยวเอินมานี่”"เจ้าคะองค์หญิงมิ่นหมิ่น ท่าน...มีอะไรให้เสี่ยวเอินรับใช้" เสี่ยวเอินตามมาหยุดข้างๆ มิ่นหมิ่นหันไปยิ้มให้สาวใช้ก่อนจะพูดเสียงเบา "ขอบใจเจ้ามากที่มาตามข้าไปพบท่านแม่ แต่วันนี้ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือเจ้ากลับไปแปรงขนของเจ้าตามเดิมเถอะ แค่ข้าต้องการเดินไปที่ตำหนักดอกไม้ของข้าด้วยตัวข้าเอง""เจ้าค่ะ..." เสี่ยวเอินพูดเสียงอ่อนๆ ไม่พยายามจะขัดใจมิ่นหมิ่นก่อนจะยิ้มและเดินออกไปจากตำหนักมิ่นหมิ่นเดินไปตามทาง
เสียงเรียกเบาๆ ดังทะลุม่านอาคมมิ่นหมิ่นกางใบหูของจิ้งจอกก่อนจะรีบปล่อยร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนให้นอนลงเหมือนเดิมแล้วพุ่งตัวกลับไปยังม่านอาคมภายในม่านอาคมสาวใช้คนสนิทนามเสี่ยวเอิน รีบวิ่งมาหามิ่นหมิ่น “มาแล้วหรือเพคะ” เดินตามหลังองค์หญิงมิ่นหมิ่นไปอย่างเร็วรี่สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เสียงของนกขับขาน แต่สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเอินตกใจคือมิ่นหมิ่นกลับหายไปจากห้องนั่งเล่นไป เดินหาจนทั่วและเดินเลยเกือบจะถึงทางออกม่านอาคมจึงเจอมิ่นหมิ่น"องค์หญิงไปเล่นซนตรงไหนมาเพคะ" เสี่ยวเอินถามเสียงตื่นเต้น ขณะที่รีบตามไปอย่างเร่งรีบ "ฮองเฮาให้ข้าตามท่านไปเพื่อเอาผลไม้อมตะเพคะ"มิ่นหมิ่นเดินต่อไปโดยไม่หันไปมองสาวใช้ที่วิ่งตามหลังมา ท่าทางเบื่อหน่ายแล้วเบ้ปากเล็กๆ เมื่อได้ยินคำว่า "ผลไม้อมตะ…เหอะ ผลไม้อมตะนั่น ข้ากินทุกปีจนเบื่อแล้ว ครบปีอีกแล้วหรือเฮ้อ….." มิ่นหมิ่นพึมพำเสียงเบา พลางคิดถึงความจำเจของการกินผลไม้ทุกปีที่เริ่มจะเบื่อเต็มทนเสี่ยวเอินรีบก้าวเข้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หยุดยืนตรงหน้ามิ่นหมิ่นและพูดเหมือนกล่อมเด็ก"แต่ว่าองค์หญิงมิ่นหมิ่นเจ้าค่ะ ผลไม้อมตะนี้มีแต่ท่านกับฮองเฮาที่ได้ก
ขณะที่องครักษ์หลายคนพุ่งเข้าไปใช้ทวนฟาดฟันอย่างไม่มีความปรานี เพื่อไม่ให้มิ่นหมิ่นมีโอกาสหนีรอดกลับถูกม่านอาคมผลักให้กระเด็นออกมาแต่ยิ่งทุ้มเทแรงไปเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนกลับมหาศาลมิ่นหมิ่นกระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างของมิ่นหมิ่นเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกจากปากของตัวเอง ความเจ็บปวดทำให้สายตาพร่ามัวหยงเจี้ยนมองมิ่นหมิ่นอย่างเย็นชากระบี่ของเขาถูกดึงออกจากร่างของมิ่นหมิ่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากมิ่นหมิ่นปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลรินออกมา ความรักที่เคยมีให้เขา กำลังจะถูกทำลายลงด้วยมือของเขาเองพี่ชายทั้งสามของมิ่นหมิ่นก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พี่ใหญ่หลินหยูที่ใช้พัดในมือกวาดออกไปด้วยท่าทางที่เยือกเย็น พลังยุทธ์ขั้นสูงที่เขาใช้ทำให้เหล่าองครักษ์ล้มระเนระนาดไม่สามารถต้านทานได้ หลินซินและหลินหานรีบเข้าไปประคองมิ่นหมิ่นที่บาดเจ็บและพามิ่นหมิ่นออกจากที่นั่น“นางจิ้งจอกหนีไปแล้ว!” หยงเจี้ยนที่ล้มลงกับพื้นตะโกนเสียงดังหยงเจี้ยนลุกขึ้นมองไปยังเส้นทางที่มิ่นหมิ่นหนีไป ก่อนจะสะดุดตากับสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น กำไลหยกที่เขามอบให้มิ่นหมิ่นในคืนเหน็บหนาวหยงเจี้ยนยืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ดวงตาของเขา