Masukขณะที่องครักษ์หลายคนพุ่งเข้าไปใช้ทวนฟาดฟันอย่างไม่มีความปรานี เพื่อไม่ให้มิ่นหมิ่นมีโอกาสหนีรอดกลับถูกม่านอาคมผลักให้กระเด็นออกมาแต่ยิ่งทุ้มเทแรงไปเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนกลับมหาศาล
มิ่นหมิ่นกระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างของมิ่นหมิ่นเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกจากปากของตัวเอง ความเจ็บปวดทำให้สายตาพร่ามัว
หยงเจี้ยนมองมิ่นหมิ่นอย่างเย็นชากระบี่ของเขาถูกดึงออกจากร่างของมิ่นหมิ่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
มิ่นหมิ่นปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลรินออกมา ความรักที่เคยมีให้เขา กำลังจะถูกทำลายลงด้วยมือของเขาเอง
พี่ชายทั้งสามของมิ่นหมิ่นก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พี่ใหญ่หลินหยูที่ใช้พัดในมือกวาดออกไปด้วยท่าทางที่เยือกเย็น พลังยุทธ์ขั้นสูงที่เขาใช้ทำให้เหล่าองครักษ์ล้มระเนระนาดไม่สามารถต้านทานได้ หลินซินและหลินหานรีบเข้าไปประคองมิ่นหมิ่นที่บาดเจ็บและพามิ่นหมิ่นออกจากที่นั่น
“นางจิ้งจอกหนีไปแล้ว!” หยงเจี้ยนที่ล้มลงกับพื้นตะโกนเสียงดัง
หยงเจี้ยนลุกขึ้นมองไปยังเส้นทางที่มิ่นหมิ่นหนีไป ก่อนจะสะดุดตากับสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น กำไลหยกที่เขามอบให้มิ่นหมิ่นในคืนเหน็บหนาว
หยงเจี้ยนยืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กำไลหยกนั้นอย่างเงียบๆ นี่คือสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขากับมิ่นหมิ่น… มันคือความทรงจำที่เขาพยายามจะลืม แต่กลับยิ่งร้าวรานใจเขามากขึ้น
“มิ่นหมิ่น...ม่านม่าน” เสียงของเขาพึมพำออกมาเบาๆ
ยืนนิ่งอยู่กับที่ เรื่องราวสองปีที่ผ่านมาหลั่งไหลพรั่งพรูราวสายน้ำ หัวใจที่มืดบอกของหยงเจี้ยนเริ่มตระหนักได้ว่าเขาพลาดไปแล้ว ม่านม่านนางมารจิ้งจอกที่เขาตราหน้า…คือมิ่นหมิ่นหญิงเดียวในดวงใจ
สองปีก่อน
ท่ามกลางป่าไม้ที่มีดอกไม้ป่าสีสดใสและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใหญ่ จิ้งจอกน้อยที่ตัวเล็กพอๆ กับกระต่ายวิ่งกระโดดไปมาอย่างอิสระ เสียงฝีเท้าของมันตบพื้นเบาๆ มิ่นหมิ่นกะพริบตาไปมาพร้อมกับหางขาวนุ่มนิ่มที่ยาวย้อยไปตามพื้น มันหยุดพักหายใจหนักๆ บนก้อนหินใหญ่
คิ้วบางของมันก็ขมวดเข้าหากัน
"อือออ...ออกมาเที่ยวครั้งแรก มันก็ดีเหมือนกันนะ" มิ่นหมิ่นพึมพำเบาๆ เสียงดั่งเพลงหวาน
"พวกพี่ๆ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม จะรู้ไหมว่าข้าออกมา...ฮ่าๆๆๆ ไม่มีทางหรอก"
หันไปมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารใกล้ๆ และดวงจันทร์ที่สาดแสงอ่อนๆ ลงมายังป่าด้านล่าง มิ่นหมิ่นก็ยังรู้สึกตื่นเต้นราวกับเด็กที่เพิ่งได้ออกไปเล่นนอกบ้านครั้งแรก
"ข้าจะไปที่ไหนดีน้าาา ดูสิ... มันกว้างขนาดนี้เชียว!" หางของมิ่นหมิ่นสะบัดไปมาบนพื้นด้วยความตื่นเต้นสุดๆ
เสียงลมหวิวจากทิศทางหนึ่งก็พัดมาอย่างเงียบเชียบ ทำให้จิ้งจอกน้อยหยุดและหันไปมองตามแรงดึงดูดที่มันสัมผัสได้ รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกไป
“กลิ่นอะไรน่ากลัวจัง หรือนี่ที่พี่ใหญ่หลินหยูเรียกว่ากลิ่นแห้งความตาย แต่ทำไมมันเศร้าขนาดนี้”
มิ่นหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เดินบ้างกระโดดบ้างไปตามกลิ่นช้าๆ
จนมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แต่เงียบเหงา ในมุมมืดของเรือนหลังนั้นกลับมีแสงบางอย่างส่องประกายราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่คอยดึงดูดมิ่นหมิ่นเข้าไปในเงามืดนั้น
มีร่างหนึ่งที่ร่างกายซูบซีดคล้ายกับกระดูกมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจ… ผมเผ้ารุงรังไม่น่ามองดวงตาหลับสนิท เหลือเพียงลมหายใจที่รวยริน
"ใครกัน..." เสียงหวานๆ ของมิ่นหมิ่นดังขึ้นอย่างเกรงกลัว แต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย
ร่างนั้นค่อยๆ ขยับเมื่อรู้สึกถึงการมาของจิ้งจอกน้อย ดวงตาที่แดงก่ำดูเหมือนจะไม่เคยเห็นแสงสว่างของภายนอกมานาน
บุรุษหนุ่มผู้ถูกขังอยู่ในสุสานบรรพชนนั้นเริ่มเคลื่อนไหว แต่ไม่อาจขยับกายความรู้สึกเหมือนกำลังจะตายทรมานเหลือเกิน อ้อมแขนที่กอดรัดตัวเองนั่นแนบแน่นจนน่าสงสารคงเพราะอาการหนาวและยังบาดเจ็บ
"...ใครกัน…" เสียงเขาเบาเหมือนกระซิบดูอ่อนแรง
จิ้งจอกน้อยตะลึงกับสิ่งที่เห็น มิ่นหมิ่นไม่เคยเห็นมนุษย์ผู้ชายที่ร่างกายดู…ทุรนทุรายเช่นนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นความอยากรู้อยากเห็นของจิ้งจอกน้อยก็ยังมีมากกว่าความกลัวตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้
"ไม่ต้องกลัวนะข้าไม่ใช่คนร้าย ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก ข้า...ข้าคือจิ้งจอกน้อย (เสี่ยวหูหลี) ท่านไม่ต้องกลัวแล้ว"
บอกด้วยเสียงสดใสซึ่งทำให้หยงเจี้ยนเหลือบตามองจิ้งจอกน้อยด้วยความสงสัย
"เสี่ยวหูหลี…" กระนั้นก็คล้ายความฝันหรือความจริงไม่อาจแยกแยะ
"ข้าช่วยท่านดีกว่านะ…มะ…"
มิ่นหมิ่นบอกอย่างมั่นใจ แม้ตัวของมิ่นหมิ่นจะเล็กนิดเดียวแต่ความตั้งใจที่จะช่วยคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ทิ้งตัวลงนอนข้างกายหยงเจี้ยนกลายร่างเป็นมิ่นหมิ่นที่น่าเอ็นดู
อีกคนคว้าเอวบางกอดรัดคลายความหนาว มิ่นหมิ่นรู้สึกประหลาดใจ หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ท่านแม่อย่าจากข้าไป” หยงเจี้ยนพร่ำเพ้อด้วยพิษไข้ ดวงตาพร่าเลือน
มิ่นหมิ่นได้แต่ถอนหายใจยาว อ้อมกอดของหยงเจี้ยนกอดรัดไม่ปล่อย ใจดวงน้อยของจิ้งจอกที่อ่อนต่อโลกกลับเต้นรัวกว่าเดิมไม่พัก
เวลาผ่านไปนานแสนนาน ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนขยับกายลืมตาขึ้นช้าๆ ภายใต้แดดยามบ่าย
“น้ำ…ข้ากระหายน้ำเหลือเกิน” เสียงแหบแห้งของหยงเจี้ยนทำให้มิ่นหมิ่นรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“ดื่มน้ำดีไหม”
มิ่นหมิ่นดีดนิ้วแป๊ะก็มีจอกน้ำใสอยู่ตรงหน้ารีบยกจอกน้ำจ่อที่ริมฝีปากแห้งผากของหยงเจี้ยน
“กินเสียหน่อย” ร่างผอมซูบซีดรีบกลืนน้ำอย่างยากลำบาก มิ่นหมิ่นยิ้ม
“ท่านมีไข้ ด้วยนะ กินยาเสียหน่อยแล้วข้าจะถ่ายทอดลมปราณของข้าให้กับท่าน แต่บอกไว้ก่อนนะว่าลมปราณข้านะขั้นหนึ่งอยู่เลย อีกสองวันในแดนจิ้งจอกหรืออีก20ปีโลกมนุษย์จึงจะขั้นสอง อย่าขำนะ ข้าเพิ่ง180ปีก็ต้องอ่อนด๋อยเป็นธรรมดา”
“องค์หญิงมิ่นหมิ่น องค์หญิงมิ่นหมิ่น อยู่ไหนเจ้าค่ะองค์หญิงงงงงงง”
หยงเจี้ยนยิ้มขึ้นมุมปากอย่างยียวน ก่อนจะพูดด้วยเสียงยั่วยุ "แต่แม่นางน้อยม่านม่านคงไม่ยินดีที่ชาร่วมดื่มชาสินะ" พูดเหมือนจะล้อเลียนขำๆม่านม่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินชมตำหนักบูรพาอย่างไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่หยงเจี้ยนและหยงซินยืนอยู่ที่ทางเข้าของตำหนักบูรพา เสียงของหยงซินดังขึ้นอีกครั้ง"พี่สี่ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้า ทั้งๆ ที่ข้าเองก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับท่าน..."หยงเจี้ยนหันไปมองน้องชายอย่างเย็นชา "นั่นมันเรื่องของเจ้า และนี่ก็เรื่องของข้า ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งกับเจ้าซะหน่อย น่ารำคาญจริงๆ เลย" หยงเจี้ยนแสดงท่าทีรำคาญชัดเจน เดินไปทันทีทิ้งหยงซินมองตามม่านม่านและหยงเจี้ยนที่เดินไปอย่างเงียบๆ …หยงเจี้ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะชงชา เขาก้มหน้าลงอย่างตั้งใจในการเตรียมชา มองดูน้ำร้อนที่ไหลลงจากกาน้ำในมืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมือของหยงเจี้ยนเคลื่อนไหวอย่างละเมียดละไม พิถีพิถันในการเลือกและชงชา ค่อยๆ เติมน้ำร้อนลงในกาน้ำชา ด้วยท่าทางอ่อนโยนไม่รีบร้อน หลังจากนั้นก็ยกกาน้ำชาและเทชาลงในจอกสองใบตรงหน้าอย่างประณีต โดยไม่ให้มีหยดใดตกหล่นลงบนโต๊
ตำหนักบูรพา"ลมอะไรกันที่สามารถหอบนางสวรรค์ม่านม่านมาถึงนี่ได้"หยงซินพูดทีเล่นทีจริง เสียงเย้ยหยันขบขันทำให้บรรยากาศในห้องดูไม่เป็นทางการเอาเสียเลย หยงซินหัวเราะเบาๆ พร้อมจ้องมองม่านม่านที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆม่านม่านยิ้มหวานหยด ไม่ยี่หระกับการพูดไม่ให้เกียรติของหยงซิน ก่อนจะพูดเสียงเบา“ข้าได้ยินว่า…ไท่จือสองสามวันก่อนนอนไม่ค่อยหลับ ข้าจึงนำชานอนหลับมามอบให้ด้วยตัวเอง”หยงซินมองม่านม่านด้วยสายตาประหลาดใจ"เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ ช่วยเหลือดูแลคนในวังหลวงไม่ว่าจะสูงต่ำเพียงใด" เขาพูดพลางยิ้มอย่างขบขัน อี้จือและซีหยินเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ อี้จือมองแวบหนึ่งไปที่หยงซินแล้วหันไปมองม่านม่าน สายตาดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักแต่ก็พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้“มาแล้วหรือข้ากำลังรออยู่พอดีเลย” คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องกลับมาเครียดอีกครั้ง อี้จือที่เคยชินกับคำพูดรุนแรงนี้ไม่ยอมหลบเลี่ยง"หญิงแพศยา เจ้ายังมาทำอะไรแบบนี้ได้อีกหรือ ข้าได้ยินว่าเจ้าตกน้ำแล้วหายเข้าไปในห้องของพี่สี่ตั้งนานสองนาน อย่าคิดว่าข้าจะหูหนวกตาบอดนะ""พี่ห้า ฮะฮ่าาาา ท่านก็อย่าโมโหไปหน่อยเลยน่า ข้าอยู่ที่นั่น
อี้จือที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ซีหยินหันมองตาม เบิกตามองหลินซินไปชั่วครู่ สายตาแวววาวหากแต่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ"นั่นคือหลินซิน…เจ้าก็เคยพบเขาแล้วนี่”ซีหยินหันไปมองอี้จือก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าเล็กน้อย เสียงของหลินซินดังขึ้นเบาๆ ในระยะห่างจากพวกเขา"ข้าแค่ผ่านไป…ขออภัยทั้งสองด้วย" หลินซินกล่าวเสียงเรียบก่อนที่จะเดินหายไปทั้งสองมองตามร่างของหลินซินไปเงียบๆ ช่วงเวลานั้นเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ซีหยินมองตามหลินซินด้วยดวงตาเคลิ้มฝัน“คนอะไร ทั้งสุภาพและอ่อนโยน ขี้เกรงใจอีกต่างหาก งู้ยยย…ข้าจะต้องหาทางรู้จักเขาให้มากกว่านี้ให้จงได้”ในตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้แสงคบเพลิงสะท้อนเงาของขุนนางและองครักษ์ที่หมอบเรียงรายอยู่เบื้องหน้า เสียงลมหายใจหอบสั้นตึงเครียดปะปนกับเสียงสั่นเครือของผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้หยงฉี"ฝ่าบาทได้โปรด…ฝ่าบาทได้โปรด ข้าน้อยสมควรตาย…" เสียงนั้นแตกพร่าด้วยความสั่นกลัว"ฉับ!"ยังไม่ทันที่เสียงสะอื้นจะจบลง คมกระบี่สับลงดั่งสายฟ้าฟาดด้วยมือของฮ่องเต้หยงฉี ลำคอของขุนนางคนนั้นขาดสะบั้นหลุดล่วงจากบ่ากลิ้งบนพื้นไปไกล เลือดฉีดพุ่งกร
"ว่ามา" หยงเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน"ระหว่างนี้…ท่านห้ามมองหญิงงามล่มสวรรค์คนนั้น ห้ามใส่ใจนาง ห้ามเข้าใกล้นาง ห้ามพูดกับนางและ…ท่านห้ามชอบนาง เพราะข้าริษยานาง ที่ท่านสี่ใส่ใจนางมากกว่าข้า" อี้จือพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แสดงความริษยาออกมาอย่างชัดเจนหยงเจี้ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของอี้จือเป็นอย่างดี"เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้ใครมาเข้ามาแย่งความสนใจของข้าไปจากเจ้าได้" พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของอี้จือ ลูบเบาๆ ตามแก้มนุ่มอี้จือเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างดีใจ ก่อนหน้านี้หยงเจี้ยนคงสับสนอยู่บ้างเพราะตนเองเป็นไท่จือเฟยจึงผลักไส แต่ในที่สุดไม่ว่าอย่างไรหยงเจี้ยนก็ยังคงรักตนเองที่สุด ยังให้คำมั่นสัญญา จากที่ไม่คิดทำอะไรในตอนนี้ถึงกลับลงมือเคลื่อนไหวแล้วเพื่อข้า…เช่นนั้นข้าจะรอหยงเจี้ยนกับอี้จือก้าวออกมานอกตำหนัก เสี่ยวเอ๋อร์เดินเข้ามาช้าๆ ก้าวเบาๆ ถึงขั้นย่องเข้ามา ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาหยงเจี้ยนแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา"องค์ชายขอรับ…ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางน้อยม่านม่านไม่ได้ไปที่ตำหนักฝ่าบาทนะขอรับ นางเดินไปทางตำหนักบูรพาแล้วขอรับ…"อี้
ในห้องเงียบสงัดอี้จือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในตำหนักของหยงเจี้ยน ขณะที่ซวนซ้วนยืนข้างๆ คอยเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ ของอี้จืออย่างระมัดระวัง มือบางของอี้จือจับที่ขอบโต๊ะแน่น ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในกระจกเงา รอยน้ำตายังคงพร่ามัวในดวงตาของนาง ดวงตาแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดอย่างมากมายเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาหยงเจี้ยนเดินเข้ามาในห้องและยืนอยู่ที่ประตูสักครู่ก่อนจะเดินตรงไปที่ซวนซ้วน คว้าผ้าเช็ดผมจากมือของซวนซ้วนแล้วเริ่มเช็ดผมให้กับอี้จือด้วยมือของตนเอง อี้จือมองผ่านกระจกเงาไปที่หยงเจี้ยน น้ำตาค่อยๆ หยดลง ขณะที่มือบางของอี้จือกระชับมือของหยงเจี้ยนเอาไว้แน่น"ท่านพี่...ท่านช่วยพาข้าออกจากตรงนี้ที"เสียงของอี้จือแผ่วเบาและเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตายังคงไหลริน ราวกับไม่สามารถทนต่อความอัดอั้นที่อยู่ภายในได้อีกแล้ว เสียงสะอื้นที่มาพร้อมกับคำขอทำดูน่าสงสารจับใจหยงเจี้ยนหรี่ตาลงและตอบกลับเสียงแหบเบา"อดทนรอ..." เพียงคำพูดสั้นๆ แต่มันก็มีน้ำหนักมากมาย หากเขาบอกให้รอ นางก็จะรอ แม้จะยากเพียงใดก็ตามอี้จือก้มหน้า น้ำตาที่พยายามจะซ่อนไว้ก็หยดลงมาอีกครั้ง หลับตาลงและยิ้มให้กับคำพูดนั้น แม
"ท่านสี่ท่านกำลังจะไปไหน?"อี้จือถามด้วยสายตาหวานจนม่านม่านจับสังเกตได้ ท่าทางของอี้จือช่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถปิดบังได้ ม่านม่านได้แต่ยิ้มบางๆ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าอี้จือเป็นคนที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง"ข้ากำลังจะไปถวายพระพรเสด็จพ่อ" หยงเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในดวงตาของเขากลับมีแวววาบบางอย่างที่อี้จือไม่ทันสังเกตอี้จือยิ้มเศร้าๆ แววตาของนางดูแปลกไปเมื่อได้ยินคำตอบจากหยงเจี้ยน"อี้จือก็กำลังจะไปขอประทานอนุญาตจากฝ่าบาทกลับไปที่บ้านเฉินเช่นกัน"คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวท่ามกลางทางเดินดูหม่นหมองเล็กน้อย ความเศร้าที่อยู่ในคำพูดของอี้จือทำให้ม่านม่านรู้สึกถึงเช่นกัน"หลบหน่อยๆๆๆๆๆๆ!" เสียงเอะอะโวยวายของเสี่ยวเอ่อร์ก็ดังขึ้นมาแทรกกลางความเงียบ ตะโกนมาอย่างรีบร้อนทำให้ม่านม่านและอี้จือหันไปมองทันที สุนัขขนปุยตัวใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ซีหยินวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มันดูเหมือนจะมีพละกำลังเหลือล้น วิ่งเข้ามาชนกับอี้จือและม่านม่านทั้งสองคนหงายหลังพร้อมกันขาแทบลอยจากพื้นร่างทั้งสองกำลังจะตกลงไปในน้ำข้างทางเดิน หยงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบคว้าแขนอี้จือไว้ทันทีแต่ในระ







![[Unlimited Money] ระบบเงินทุนไร้ขีดจำกัด](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)