Mag-log inร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนถูกห่มผ้าบางๆ วางไว้บนเกี้ยวหลังใหญ่ที่เคลื่อนไหวช้าๆ เลาะผ่านถนนโรยด้วยกรวดหินของวังหลวง เสียงล้อเกวียนดังกังวานระยับในยามร่องรอยบาดแผลยังคงปรากฏบนผิว ขณะที่หน้าอกที่เคยผายผอมยังหายใจพร้อมกับความรู้สึกยากบรรยาย
มิ่นหมิ่น เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้วิ่งตามเกี้ยวผ่านป่าเขาจนเท้าระบม ตั้งใจจะให้แน่ชัดว่าหยงเจี้ยนถูกพาไปที่ใดกันแน่ ดวงตาเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นส่องประกายไม่ต่างจากดวงไฟอ่อนในคืนที่มืดมิด ความกลัวกับความหวังผสมกันเป็นหนึ่งเมื่อเกี้ยวค่อย ๆ หายลับเข้าไปในจวนของท่านราชครูเฉิน
“จวนราชครู หวังว่าท่านจะปลอดภัยที่นี่นะ”
เงาร่มไม้และกำแพงสูงกั้นทัศนวิสัยไว้ มิ่นหมิ่นหยุดยืนอยู่ข้างทาง หัวใจของมิ่นหมิ่นเต้นแรง สูดดมกลิ่นแปลกพลางส่ายหยน้าไปมา
ภายในจวน ท่านราชครูเฉินยืนอยู่หน้าประตูรับรอง ท่าทางสง่างามยังคงอยู่ แต่สายตาบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า เขาหันไปมองอี้จือลูกสาวคนเดรียวที่นรั่งตำแหน่งไท่จือเฟยได้ไม่นาน สีหน้าโศกสลด เพราะความกังวล
"จะไม่เป็นไรใช่ไหม หากว่าฝ่าบาทจะรู้เรื่องนี้"
ราชครูเฉินพูดขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงไม่ดังแต่ดึงความเงียบในห้องให้กลายเป็นความตึงเครียด
อี้จือก้มศีรษะ น้ำเสียงแหบพร่าเมื่อตอบด้วยน้ำตาคลอสองตา
"ท่านพ่อ ได้โปรด... ลูกไม่อาจดูดาย จะปล่อยให้ท่านสี่ต้องพบจุดจบแบบนั้นได้หากช้ากว่านี่ท่านสี่หามีชีวิตไๆ ม่"เหมือนจะสะกดลมหายใจให้สงบ แต่ายังไม่วสายสะอื้นอย่างหนัก
ราชครูเฉินถอนหายใจยาว ดวงตาของเขาเห็นภาพรวมทั้งการเมืองเกียรติยศและความเสี่ยง
"ตัดใจเสีย อี้จือ" เขาวางมือบนโต๊ะไม้ ท่าทางของคนเป็นพ่อผสมกับความเด็ดขาด
"ท่านสี่คนนี้ไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าเป็นถึงไท่จือเฟย อีกหน่อยตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่ไกล อย่าได้เอาตัวเองมาพัวพันกับคนที่ไร้วาสนาเช่นองค์ชายสี่คนนี้"
อี้จือสะอื้น เสียงสั่นจนแทบขาดใจ
"ท่านพ่อ... ท่านแค่ให้ท่านสี่มีชีวิตอยู่ต่อไป ลูกไม่อาจทนเห็นเขาตายได้"
น้ำตาไหลเป็นทาง แค่ต้องการให้คนที่รักยังคงหายใจต่อไป แม้จะต้องแลกกับศักดิ์ศรีและตำแหน่งก็ตาม
ราชครูเฉินจ้องบุตรีนิ่งนานเขาเห็นความแน่นอนในดวงตาอี้จือที่ยากจะเปลี่ยน ความรักที่เธอมีต่อหยงเจี้ยนเป็นไฟที่ลุกโชน แม้จะสร้างความเสี่ยงให้กับฐานอำนาจก็ตาม
"อี้จือ...ถ้าเจ้าใจดีที่จะเสี่ยงเพราะความรัก ข้าจะไม่ขวางเจ้าอย่างเด็ดขาด แต่ข้าขอเตือนว่าโลกนี้โหดร้ายกว่าที่เจ้าคิด ทุกการกระทำย่อมต้องมีผลตอบแทน" เขาก้าวเข้าไปใกล้ เสียงทุ้มมีความอบอุ่นปนเศร้าสงสาร
"ข้าจะช่วยเท่าที่ข้าทำได้ แต่เจ้าอย่าทำให้ตัวเองจมหายไปเพราะคนที่ยังไม่แน่ว่าจะยืนเคียงข้างเจ้าได้หรือไม่ เขาไม่อาจลุกขึ้นมายืนได้อีกแล้วท่านสี่ผู้ไร้ที่ยืนในวังหลวงคนนี้เจ้าไม่ควรข้องแวะ"
อี้จือกลั้นน้ำตา พยายามรวบรวมความเข้มแข็งแล้วพยักหน้า
"ข้ารู้... แต่ข้าเลือกแล้ว ท่านพ่อ ข้าไม่ยอมให้เขาตายเพราะคนอื่นปั้นเรื่องใส่ร้าย ข้าจะดูแลเขาเอง"ท่านราชครูเฉินถอนหายใจยาว
ข้างนอกกำแพงเล็ก ๆ ใกล้ประตูทางเข้า มิ่นหมิ่นยังยืนนิ่ง หูจับสัญญาณทุกคำพูด เสียงใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของราชครูรู้สึกเหมือนได้รับพลังบางอย่างพลังของคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างแม้โลกจะไม่เห็นด้วย
มิ่นหมิ่นหันหลังวิ่งเร็วเหมือนลม ผ่านสวนดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉาในยามเย็น เงาสีทองของพระอาทิตย์ตกดินกำลังฉายแสงยาวขึ้นบนพื้นหญ้าผืนกว้าง ร่างเล็กของเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ความห่วงใยและความสงสัยที่ก่อตัวในใจทำให้ไม่อาจหยุดได้ในตอนนี้ วิ่งตรงผ่านม่านอาคมเข้าไปที่วังจิ้งจอกที่เงียบสงบ เสียงของฝีเท้าบนพื้นดินดังระรัวในยามที่มิ่นหมิ่น เร่งฝีเท้าท่ามกลางความมืดมิดที่เริ่มล้อมรอบ
เมื่อถึงที่หมาย มิ่นหมิ่นเปิดประตูใหญ่เข้าไปในห้องของหลินหยูพี่ใหญ่ทันที ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความคิดและการฝึกฝน
"พี่ใหญ่!"มิ่นหมิ่น เรียกออกไปก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพี่ชายคนโตของ
"ข้ามีญาณหยั่งรู้บางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ พี่คิดว่ามันเชื่อถือได้แค่ไหน"
หลินหยูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เขากำลังอ่าน สายตาของเขาอ่อนโยนและมีความเข้าใจในท่าทีของน้องสาว เขาวางหนังสือลงช้าๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
"เชื่อถือได้มากทีเดียวหากว่ามาจากการที่เจ้าจะฝึกฝนเพิ่มเติม"
มิ่นหมิ่นมองไปที่พี่ใหญ่ด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ พูดอย่างไม่มั่นใจ
"พี่ใหญ่... ข้าก็ฝึกแล้วนะ แต่ข้าสงสัยว่ามันจะเชื่อได้ไหม... หรือมันอาจจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่น"
หลินหยูยิ้มอ่อนโยนให้กับน้องสาว เขามองดวงตาของมิ่นหมิ่น ที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้วตอบ
"เชื่อได้มากทีเดียว... พี่มั่นใจในตัวเจ้ามาก หากเจ้าฝึกฝนเพิ่มขึ้น เจ้าจะเข้าใจมันดีขึ้นเองว่าทุกญาณหยั่งรู้ล้่วนส่งสัญญาณเตือน"
มิ่นหมิ่นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่
“ขอบคุณพี่ใหญ่” แล้วก็เตรียมตัวจะวิ่งออกไป แต่ทันใดนั้นหลินหยูที่ยืนขึ้นและคว้าข้อมือของมิ่นหมิ่น เอาไว้ทำให้มิ่นหมิ่น หยุด
"ว่าแต่เจ้าหยั่งรู้เรื่องใดกัน" เ
ขาถามเสียงเบาแต่จริงจัง สายตาของเขาหยุดที่ใบหน้าของน้องสาวด้วยความสงสัยเล็กน้อย แม้ว่าหลินหยูจะเป็นพี่ชายที่มีความเข้าใจน้องสาว แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจได้
มิ่นหมิ่นยิ้มให้กับคำถามของพี่ใหญ่ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น
"ความลับเจ้าค่ะ" พร้อมกับยิ้มให้หลินหยู ก่อนจะดึงมือออกจากการจับของเขาและวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลินหยูมองตามร่างของน้องสาวที่วิ่งไปอย่างกระตือรือร้น เขากะพริบตาแล้วส่ายหัวไปมา ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับพึมพำเบาๆ
"ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้านะ... แต่ก็ปล่อยเจ้าไม่ได้เช่นกัน..." เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่มิ่นหมิ่นไม่อาจได้ยินมันแล้ว เพราะออกจากห้องไปแล้ว
"ท่านไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น มีข้า มีอี้จือและมีชีวิตของท่านที่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอะไรไปง่ายๆ ถ้าข้าตะบะแก่กล้ากว่านี้นะข้าจะเสกให้ท่านหายป่วยทันทีเลยและจะสาปคนที่ทำร้ายท่านให้กลายเป็นหินดีไหมฮ่าาาา" มิ่นหมิ่นเงยหน้ามองเพดานแล้วกระซิบ“อี้จือเจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” มิ่นหมิ่นกุมมือหยงเจี้ยนไว้ เ้มื่อเห็นว่าเขาเริ่มเพ้อด้วยพิษไข้"ข้าจะทำให้ท่านมีวันที่ดีกว่าวันนี้ท่านจะต้องกลับมายืนหยัดให้ได้ เชื่อข้าเถอะ"เงาเทียนไหว ร่างสูงของท่านหมอหลงถานคารวะก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยงฉีเงียบๆ ฮ่องเต้นั่งพิงพนัก ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาเฉยชาจนเห็นได้ชัด"น่าแปลกนะ เฉินอี้หยูที่ภักดีมาตลอดกลับกล้ารับเจ้าสี่ไว้ในจวน" เสียงเย็น แต่ชื่นชมเล็กๆ หลงถานประสานมือคารวะ ยืนนิ่ง"ขอรับ นัยว่าไท่จือเฟยขอรัองเรื่องนี้ ข้าน้อยได้จัดเทียบยาสามัญไว้แล้ว ทั้งยาบรรเทาแก้ปวดและยาสามัญแต่คาดว่าคงต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานขอรับ"“หยงซินรู้เรื่องนี้ไหมเรื่องที่ไท่จือเฟยมีใจฝักใฝ่หยงเจี้ยน”“ได้ยินว่าสองวันก่อน ไท่จือระแคะระคายเรื่องนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หยงฉีถอนหายใจยาว นั้นไม่ใช่เสียงเหนื่อยล้าเ
"ถ้าจะให้ตายตอนนี้ มันก็ยังไม่ใช่เวลา...และข้าก็ไใม่จำเป้นจต้องอธิบายอะไร กับเจ้าไท่จืออย่างคิดว่าตำแหน่งไท่จือจะคงอยู่ตลอดไปถึงข้าจะมีองค์ชายแค่สองคนคือเจ้ากับเจ้าสี่ก็ตาม"หยงซินหันไปมองบิดาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พูดเสียงตัดพ้อ“ลูกไม่เข้าใจทำไมไม่บัญชาให้เขาตายไปเสีย เสด็จพ่อเขาถูดเนารเทศตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ ทำไมยังรับเขากลับมาหรือว่าตอนนี้เสด็จพ่อพระทัยอ่อนลงแล้วไม่กล้ากับพี่สี่ หากเสด็จพ่อไม่กล้าลุกจะจัดการเขาเอง”ฮ่องเต้หยงฉีหันกลับมามองด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน"เจ้าจะทำอะไรได้ ข้าไม่ได้ทำเพื่ออำนาจหรือเพราะว่ายังรักยังห่วงใยเขาอยู่แต่เพื่อความอยู่รอดของทั้งแผ่นดินนี้"หยงซินอยากจะพูดอะไรออกไป แต่กลับกลืนลงไปในลำคอ มองไปที่บิดาที่ไม่มีความรู้สึกอะไรกับการตัดสินใจที่ทำ แต่ก็เข้าใจได้ว่าทุกการกระทำนั้นมีเหตุผลที่ไม่สามารถเข้าใจได้จากคนทั่วไป“เช่นนั้นลูกก็วางใจแต่ไม่เข้าใจว่าหากไม่มีเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับการอยู่รอดของแคว้นเหว่ย”เสียงฮ่องเต้หยงฉีเย็นชา"ข้าจะให้เขาตายหรือไม่นั่นคือข้าคนเดียวที่ตัดสินใจ ข้าจะให้ใครอยู่หรือใครตายนั่นเป็นข้า โอรสสวรรค์เท่านั้นที่ตัดสินใจ พวกเจ้าก
ห้องทำงานของท่านราชครูเฉินอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรและควันธูปอ่อนๆ แสงเทียนส่องเงารำไรบนผ้าปูเตียงที่ปูไว้สำหรับผู้ป่วยหยงเจี้ยนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ผิวซีดบางจนเห็นเส้นเลือด บาดแผลเก่าๆ ที่หน้าท้อง เสียงหายใจของเขาขาดๆ หายๆท่านราชครูเฉินก้มมองด้วยสายตาที่เยือกเย็นก่อนจะหันไปถามหมอหนุ่มที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียงด้วยน้ำเสียงเรียบ"เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ อาการของคนผู้นั้น"หมอหนุ่มผู้อ่อนกว่าเอียงหน้าไปสักครู่"ขอรับท่านราชครู ข้าน้อยได้ให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดแล้ว เพราะในช่องท้องของคนผู้นี้มีบาดแผลจากการอดอาหาร จึงเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร ข้าจึงให้ยาพวกฝิ่นเพื่อทำให้รู้สึกเหมือนฝันไปชั่วคราว จะได้ไม่ทรมานมาก"ราชครูเฉินพยักหน้า คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยแต่ท่าทางยังคงนุ่มนวล"ดีแล้ว ระหว่างนี้ข้าจะสั่งให้สาวใช้ป้อนยาให้เขาเมื่อถึงเวลา"หมอหนุ่มเหลือบมองออกไปทางประตู รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง"ท่านราชครูคิดถูกแล้วขอรับ คนผู้นี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับความโชคร้าย บางทีปล่อยไปตามลิขิตสวรรค์คงเป็นทางที่สบายกว่าสำหรับทุกฝ่าย"คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลง ท่านราชครูเฉินถอนหายใจย
ฮ่องเต้หยงฉียืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะ มือหนึ่งเลื่อนรูปวาดรูปของตนเองไปช้าๆข้างหนึ่งของภาพถูกไฟแผดเผาจนดำเป็นเถ้าถ่าน แต่ริมฝีปากในตอนนี้ยังคงเหยียดยิ้มอย่างเยือกเย็นฮ่องเต้หยงฉีหันมามองผู้ที่ยืนถวายบังคมอยู่ต่อหน้า ดวงตาเย็นดั่งน้ำแข็ง คำพูดเหมือนมีมีดแหลมคม"เจ้าสี่…ข้าอยากให้เจ้าตาย…ก็ไม่ตายสักที" หยงฉีมีรอยยิ้มคลายเล็กน้อยแต่กลับเต็มไปด้วยความเหี้ยม"ถึงเวลานี้ตายไม่ได้… เพราะยังเหลือประโยชน์ให้ข้าใช้อีกมากนักเสียด้วยสิ"บรรดาขันทีข้าราชบริพารและขุนศึกในที่นั้นต่างเปลี่ยนสีหน้าไป คำว่าประโยชน์ที่หลุดจากปากฮ่องเต้ไม่ใช่การหยอกเล่น หยงฉีหันไปสั่งเสียงเข้ม"กงกง ส่งคนไปรับตัวหยงเจี้ยนที่สุสานบรรพชน กลับมาที่วังหลวงเดี๋ยวนี้!"ผู้รับสั่ง กงกงลู่กัง ขันทีใหญ่ประสานมือแน่นตอบรับคำสั่งด้วยความเคารพ"น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท ข้าน้อยจะจัดเกี้ยวและส่งกำลังไปรับองค์ชายสี่กลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด" แม้ปากจะรับแต่สายตากลับฉายความไม่สบายใจเท่าใด ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธคำสั่งเช่นนี้หยงฉีพยักหน้าเบาๆแล้วกล่าวต่อ "อย่าให้ข้าต้องผิดหวัง…นำตัวเขากลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่…หากผู้ใดทำให้ข้าพลาดประโยชน์ในเรื่องน
ร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนถูกห่มผ้าบางๆ วางไว้บนเกี้ยวหลังใหญ่ที่เคลื่อนไหวช้าๆ เลาะผ่านถนนโรยด้วยกรวดหินของวังหลวง เสียงล้อเกวียนดังกังวานระยับในยามร่องรอยบาดแผลยังคงปรากฏบนผิว ขณะที่หน้าอกที่เคยผายผอมยังหายใจพร้อมกับความรู้สึกยากบรรยายมิ่นหมิ่น เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้วิ่งตามเกี้ยวผ่านป่าเขาจนเท้าระบม ตั้งใจจะให้แน่ชัดว่าหยงเจี้ยนถูกพาไปที่ใดกันแน่ ดวงตาเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นส่องประกายไม่ต่างจากดวงไฟอ่อนในคืนที่มืดมิด ความกลัวกับความหวังผสมกันเป็นหนึ่งเมื่อเกี้ยวค่อย ๆ หายลับเข้าไปในจวนของท่านราชครูเฉิน“จวนราชครู หวังว่าท่านจะปลอดภัยที่นี่นะ” เงาร่มไม้และกำแพงสูงกั้นทัศนวิสัยไว้ มิ่นหมิ่นหยุดยืนอยู่ข้างทาง หัวใจของมิ่นหมิ่นเต้นแรง สูดดมกลิ่นแปลกพลางส่ายหยน้าไปมาภายในจวน ท่านราชครูเฉินยืนอยู่หน้าประตูรับรอง ท่าทางสง่างามยังคงอยู่ แต่สายตาบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า เขาหันไปมองอี้จือลูกสาวคนเดรียวที่นรั่งตำแหน่งไท่จือเฟยได้ไม่นาน สีหน้าโศกสลด เพราะความกังวล"จะไม่เป็นไรใช่ไหม หากว่าฝ่าบาทจะรู้เรื่องนี้" ราชครูเฉินพูดขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงไม่ดังแต่ดึงความเงียบในห้องให้กลายเป็นความตึงเครียดอี้จือก้มศ
"ไท่จือเฟยอี้จือขอรับพบแล้วขอรับ...องค์ชายสี่หยงเจี้ยนอยู่ในสุสานขอรับ ท่าทางอ่อนแรงและเนื้อตัวเจ็บปวดไปด้วยบาดแผลและยังป่วยไข้..." เสียงของทหารองครักษ์ที่มากับอี้จือดังขึ้นในห้องใหญ่คำรายงานที่ออกจากปากองครักษ์ทำให้ใจของอี้จือสะท้านเล็กน้อย นางค่อยๆ ขยับตัวแม้ภายนอกจะไม่แสดงท่าทีใด แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล"ข้าจะเข้าไปพบเขา" อี้จือพูดเสียงเย็น"เอ่อ... ไท่จือเฟย หากไท่จือรู้เรื่องนี้เข้าจะไม่ดีกับไท่จือเฟยนะเจ้าค่ะ" นางกำนัลข้างกายของอี้จือเอ่ยปากเตือนด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าอี้จืออาจจะตกอยู่ในอันตรายแต่ก็รู้ว่าไม่อาจขัดขวางได้คำเตือนของนางกำนัลไม่ได้ทำให้ใจของอี้จือสั่นคลอนแม้แต่น้อย หันไปมองอย่างเด็ดขาด"พวกเจ้าเมตตาข้าแค่ไหน พวกเจ้าไม่สงสารข้าหรือ ในเมื่อพวกเจ้าเองก็รู้ว่าข้าจำใจแต่งเข้ามาในฐานะไท่จือเฟย...และพวกเจ้าคือคนที่ข้าวางใจว่าจะเมตตาข้า...ข้าจะเข้าไปหาท่านสี่หยงเจี้ยนเดี๋ยวนี้!" ดวงตาแสดงความรู้สึกเจ็บปวดนางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่ข้างกายรีบย่อกายลงและถอยห่างไปตามคำสั่งแม้จะอยากขัดขวางแต่ก็รู้ดีว่าอี้จือคือผู้ที่ยึดมั่นในความตั้งใจของตนเองเสมออี้จือยิ้มก่อ







