“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำ
ที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง
“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้น
นับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจ
อลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆ
แม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ
“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง
“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแย่แล้วให้เอาไปปล่อยอีกทำไม” คชาภัทรพูดแย้ง
“พวกมันจะต้องตายเหรอ” ที่รักถามเสียงเศร้า ในใจเธอก็เศร้าไปด้วยที่พวกมันกำลังจะไม่มีชีวิตอยู่ “จิ๊ดริดสงสาร” ไม่เท่านั้น น้ำตาเธอยังคลอหน่วยพร้อมที่จะร่วงเผาะตลอดเวลา
“อย่าเศร้าไปเลยลูก” วนาลีเข้ามากอดปลอบ “มันเป็นเรื่องธรรมชาติ หากเราไม่กินพวกมันก็ต้องมีคนอื่นจับพวกมันไปกินอยู่ดี”
เด็กหญิงส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่กิน”
“ตกลงลูก หนูไม่ต้องกินปลาพวกนี้ก็ได้ ไก่ในสวนน่าจะออกไข่บ้างแล้ว พวกเราไปหาไข่ไก่มาทำเป็นไข่เจียวดีไหมลูก” วนาลีประทับใจความมีจิตใจอ่อนโยนของที่รักมาก จึงหาทางพาเธอไปจากบริเวณนี้เพราะกลัวจะเสียใจหนักเวลาที่ต้องฆ่าปลาเพื่อเตรียมปรุงอาหาร
ที่รักพยักหน้าเห็นด้วยและจูงมือพากันไปอีกฝั่งของสวนทันที
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ระหว่างที่ที่รักกำลังมองวนาลีตอกไข่ใส่ถ้วยเพื่อเตรียมลงทอดอย่างสนอกสนใจอยู่นั้น กลิ่นหอมอย่างหนึ่งก็ลอยเข้ามาใกล้ เด็กหญิงทำจมูกฟุดฟิด
“หอมจัง” ที่รักพูดพร้อมกับเหลียวมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของกลิ่น
“อ๋อ กลิ่นปลาเผา คงใกล้สุกแล้ว” พูดจบวนาลีแทบกัดลิ้นตัวเองที่เผลอหลุดปากเรื่องปลาขึ้นมา เธอรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อเตรียมพูดปลอบ...
...นอกจากฝุ่นผงกลุ่มเล็ก ๆ แล้วก็ไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีก...ที่รักอยู่ไหน?
ที่รักตอนนี้กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าเตาไฟที่มีปลาเผาหลายตัวโดนเสียบไม้ย่างจนส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว เด็กหญิงนั่งมองปลาเหล่านั้นด้วยประกายตาหยาดเยิ้มเหมือนกับเพิ่งเจอคนรักที่พลัดพรากกันมานาน ระหว่างนั้นก็ใช้มือคอยซับน้ำลายที่กำลังไหลเยิ้มจากมุมปากเป็นระยะไปด้วย
วนาลี “...”
ไม้เรียวอยู่ไหน?
-----
“เอิ้กก...” ที่รักลูบพุงที่นูนปูดขึ้นมาอย่างมีความสุข อาจเพราะระดับความสงสารต่อปลาเหล่านั้นมีค่อนข้างสูง เธอจึงกินปลาตัวขนาดท่อนแขนผู้ใหญ่ไปถึงหนึ่งตัวเต็ม กินเกลี้ยงชนิดที่ว่าถ้าบรรดาหัว ก้าง และหนังกินได้ เธอคงกินเข้าไปแล้ว
“อิ่มไหมลูก เอาอีกตัวไหม” จุลพงศ์ถึงกับอมยิ้มเมื่อเห็นท่านั่งผึ่งพุงบนเสื่อของเด็กหญิง
คชาภัทรมองไปที่พุงซึ่งแน่นกว่าปกติของเธอด้วยความเป็นห่วง
ที่รักส่ายหน้า “แม่ทำต้มจืดที่บ้าน จิ๊ดริดจะไปกินต้มจืดต่อ”
ยังกินเพิ่มได้อีก!? คชาภัทรตาโตเท่าไข่ห่าน สายตายังคงจ้องพุงที่รักไม่กะพริบ
“นายจ้องอะไรน้องขนาดนั้น” อลิสราจับสังเกตได้
ที่รักหันขวับมามองเช่นกัน เมื่อเห็นสายตาของคชาภัทรที่มองมา เธอถึงกับยิ้มให้จนตายิบหยี เด็กหญิงใช้สองมือกุมคางของตนเองพร้อมกับเอียงหน้านิด ๆ ในท่าที่คิดว่าน่ารักที่สุด
“มองเพราะจิ๊ดริดน่ารัก” เธอชอบชมตัวเองที่สุด แล้วก็อยากให้คนอื่นพูดชมเธอด้วย
“เปล่า” คชาภัทรปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“งั้นจิ๊ดริดสวย” เธอชอบให้คนชมว่าสวยเช่นกัน
คชาภัทรส่ายหน้าไปมาหลายรอบ “ที่มองเพราะว่าอ้วนต่างหาก”
“นายช้าง!” อลิสราตวาดแหว
อ้วน
อ้วน
อ้วน!
อ้วน!!
เด็กหญิงที่รักผู้ซึ่งลืมตาดูโลกมาได้แค่ห้าขวบถึงกับนั่งอึ้งตาค้างพร้อมกับคำว่าอ้วนที่ลอยวนเต็มหัวจนกระทั่งย่ำค่ำ
“จิ๊ดริดเป็นอะไรไปลูก นี่ต้มจืดลูกรอกของโปรดหนูไง รีบกินก่อนที่จะชืด” วรรณารีเห็นความผิดปกติของลูกตอนนั่งกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน
“ไม่สบายหรือเปล่า” สายชะโงกมาดูด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับใช้มือจับทดสอบที่หน้าผาก “ตัวก็ไม่ร้อนนะ หรือว่าปวดมวนท้อง”
“หรือว่าวันนี้แม่ทำไม่ถูกปาก แม่ทำให้ใหม่ดีไหม”
“หนูไม่กิน” เด็กหญิงมุ่ยปากพร้อมพูดออกมาเสียงเบา
“ทำไมจ๊ะ”
“หนูอ้วน” ตอบพร้อมกับน้ำตาที่แทบจะหยดก่อนจะยกแขนเป็นปล้องของตัวเองขึ้นมองด้วยแววตากลัดกลุ้ม พร้อมกันนี้ สายตายังกวาดมองไปที่หลังมือของตัวเองก็พบรอยบุ๋มลึกตรงข้อต่อนิ้วทุกนิ้วซึ่งเกิดจากเนื้อเกินที่ปูดโปนขึ้นมาจนไม่เห็นข้อนิ้ว เด็กหญิงกลุ้มใจมาก
ไม่เท่านั้น เธอยังเลิกชายเสื้อขึ้นมองพุงที่ป่องเป็นลูกแตงโม สีหน้าเด็กหญิงยิ่งทุกข์ใจหนัก
“หนูอ้วนมาก”
ผู้ใหญ่บนโต๊ะอาหารต่างพากันทำตาเลิ่กลั่กก่อนจะพยายามกลั้นขำกันแบบสุดกำลังด้วยกลัวจะไปกระทบจิตใจของเด็กน้อย
“หนูไม่อ้วนนะลูก ร่างกายก็เป็นแบบนี้ตามวัย พอหนูโตขึ้นตัวก็จะยืดสูง ถึงตอนนั้นก็ไม่อ้วนแล้ว” วรรณารีพยายามอธิบาย
เด็กหญิงนิ่วหน้าฟังแล้วคิดตาม เกือบจะอารมณ์ดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่บังเอิญนึกถึงมะเหมี่ยวลูกสาวของลุงหวินคนงานในร้าน
“มะเหมี่ยวอายุเท่าจิ๊ดริดแต่ทำไมผอม” น้ำเสียงคับข้องใจเป็นที่ยิ่ง
ผู้ใหญ่ต่างสะดุดกึกอย่างไม่รู้จะหาคำตอบแบบไหนดี
“นั่นเพราะมะเหมี่ยวไม่ยอมกินข้าวเลยตัวเล็ก อีกหน่อยก็จะตัวไม่สูงนะลูก ส่วนจิ๊ดริดหลานยายตอนนี้ถึงจะดูอ้วนแต่อีกหน่อยต้องสูงมาก ๆ เหมือนพี่ผึ้งแน่ ๆ” สายชักแม่น้ำทั้งห้า
เด็กหญิงอ้าปากเตรียมเถียงว่าอลิสราไม่เคยอ้วนเหมือนเธอ แต่เมื่อเงยหน้ามองไปเห็นสายตาคาดหวังของแม่และยาย เธอจึงเลือกที่จะพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนที่จะตักต้มจืดลูกรอกเข้าปากอย่างฝืน ๆ ถึงแม้รสชาติจะเหมือนทุกครั้งที่ได้กิน แต่วันนี้เธอกลับรู้สึกไม่อร่อยเอาเสียเลย
-----
[วิธีลดความอ้วนของแอนนาง่ายมากค่ะ แค่พยายามไม่ขยับตัวเยอะระหว่างวัน เคลื่อนไหวตัวเองให้น้อยที่สุด ร่างกายจะได้เผาผลาญน้อย ความอยากอาหารก็ไม่มี]
ที่รักตาลุกวาวระหว่างนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์หลังมื้อค่ำ รายการที่เปิดดูในตอนนี้คือข่าวบันเทิงซึ่งกำลังสัมภาษณ์นักแสดงสาวสวยชื่อดังแห่งยุคเรื่องวิธีการลดความอ้วนของเธออยู่
เคลื่อนไหวน้อยจะได้ไม่หิว
เคลื่อนไหวน้อย
เคลื่อนไหวน้อย ๆ
เคลื่อนไหว...
ที่รักส่งสายตาปิ๊งให้กับโทรทัศน์ที่แสนดี
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด