Masukชั้นสาม
ฟางเซียนค่อยๆ เลือกหาหนังสือประวัติศาสตร์ของสมัยราชวงศ์ถังและต้องการอ่านหนังสือในรัชสมัยของถังเสวียนจงฮ่องเต้เป็นกรณีพิเศษ ด้วยเพราะความฝันเมื่อคืนทำให้เธออยากล่วงรู้อะไรบางอย่าง ความรู้สึกภายในบอกกับเธอว่า ทุกคนที่เห็นในความฝันล้วนแล้วแต่รู้จักทั้งสิ้น “ประวัติศาสตร์ในรัชสมัยถังเสวียนจง มีบันทึกไว้ตั้งมากมายทำยังไงเราถึงจะรู้ว่าเลือกอ่านอะไรจึงจะถูกประเด็นตามที่เราอยากรู้กันนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำอยู่เพียงคนเดียว ร่างงามแบกหนังสือเล่มเขื่องเอาไว้หลายเล่มก่อนจะนำมาวางไว้บนโต๊ะหนังสือ พลางพิจารณาแต่ละเล่มที่มีความหนาหลายพันหน้าเลยทีเดียว “โอ้โห หนาขนาดนี้หล่นมาทับหัวคงสลบเหมือดแน่ๆ ทั้งหนาทั้งหนักโคตรๆ ว่าแต่จะเริ่มต้นอ่านอะไรก่อนดีน้า” หญิงสาวพูดพร้อมยกหนังสือทีละเล่มมาอ่านชื่อเรื่อง โดยไม่ได้สังเกตหรือใส่ใจร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังทรุดกายลงนั่งตรงข้ามเธออยู่ในขณะนี้ มีเพียงกองหนังสือตรงหน้าเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจเหนือกว่าสิ่งใด ฟางเซียนใช้เวลาช่วงเช้าอ่านหนังสือตรงหน้าไปได้เกินครึ่ง หากแต่ไม่ใช่เรื่องราวที่เธอใคร่อยากรู้ มือเรียวสวยคว้าหนังสือเล่มอื่นๆ ที่วางซ้อนกันขึ้นสูงเพื่อพิจารณาอีกรอบว่าควรจะเลือกเล่มไหนไปอ่านดี “จะยืมทั้งหมดนี้ไปอ่านก็ใช่ว่าจะมีข้อมูลที่เราอยากรู้ แต่ถ้าไม่ยืมจะรู้ได้ไงว่ามีสิ่งที่เราต้องการรู้หรือเปล่าเอาไงดีน้าฟางเซียน... คิดสิ... คิด” หญิงสาวรำพึงเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงของชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามเธอเอ่ยขึ้น “ถ้าต้องการอ่านระบบราชการและการจัดกองทัพในรัชสมัย ถังเสวียนจง แนะนำให้อ่านหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่าการสอบเข้ารับราชการในราชวงศ์ถัง ภายในนั้นมีรายละเอียดทั้งหมดที่อยากรู้ และถ้าต้องการอ่านเกี่ยวกับนางสนมนางใน แนะนำให้อ่านหนังสือเรื่องพระราชวังฉางอาน” ชายคนดังกล่าวเอ่ยบอกพร้อมส่งยิ้มละไมให้เธอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางเซียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกหนังสือของเธอ ครั้นดวงตาคู่สวยเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า หญิงสาวถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะด้วยเพราะบุรุษตรงหน้าในขณะนี้ช่างเหมือนคนที่เธอรู้จักเสียนี่กระไร แต่เหตุใดเล่าจึงนึกไม่ออกว่าเหมือนใคร “เอ่อ... ขอบคุณค่ะที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่ฉันต้องการจะอ่าน... แต่ทำไมถึงทราบล่ะคะว่าฉันกำลังต้องการอ่านเรื่องอะไร” หญิงสาวพูดพร้อมมองใบหน้าของบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำไมผู้ชายคนนี้เหมือนเราเคยรู้จักและเห็นเขาที่ไหนมาก่อนหว่า คุ้นหน้าคุ้นตาจังเลยแต่ทำไมถึงนึกไม่ออก” ฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในใจ ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ราวกับล่วงรู้ความในใจของหญิงสาวตรงหน้า ทว่าแลดูราวกับว่าชายตรงหน้าหาได้แปลกใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับก้มศีรษะลงเล็กน้อยประหนึ่งยอมรับว่าเขาคือคนเธอเคยรู้จัก “ใบหน้าของผมมีอะไรที่ทำให้คุณผู้หญิงต้องแปลกใจอย่างนั้นเหรอครับ” เขาเปิดฉากถามกลับไปเมื่อดวงตาคู่สวยของหญิงสาวยังคงมองเขาอยู่เช่นนั้น และนั่นทำให้ฟางเซียนรู้สึกตัวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเขาถาม ก่อนจะคลี่ยิ้มแห้งๆ แก้อาการขัดเขินที่จ้องมองผู้ชายตรงหน้าชนิดที่ไม่วางตาเลยทีเดียว แต่ที่จ้องไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาของเขาแต่เป็นเพราะผู้ชายตรงหน้าเหตุใดจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยและรู้จักเขามาก่อนเสียนี่กระไร “เอ่อ... ขอโทษค่ะที่เผลอจ้องหน้าคุณอย่างเสียมารยาท บังเอิญว่าคุณเหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักแต่ก็ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใครเหมือนกัน แต่ฉันมีความรู้สึกว่ารู้จักคุณมานานมากกกก” หญิงสาวลากเสียงยาวตอบกลับไปตามความเป็นจริง บุรุษหนุ่มตรงหน้านั่งมองหญิงสาวอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มให้ออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเธอบอกกับเขาเช่นนั้น “ผมเหมือนเขามากอย่างนั้นเลยเหรอ” เขากล่าวย้ำเสียงหนัก ฟางเซียนพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ “ทำไมจู่ๆ เราก็จำความฝันเมื่อคืนไม่ได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ นะ ก่อนจะมาห้องสมุดยังจำได้อยู่เลยแปลกจริงๆ แล้วทำไมถึงมีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คุ้นหน้าคุ้นตาจัง แต่จะว่าไปความรู้สึกไม่ใช่ความจริงสักหน่อย จะไปจริงจังอะไรกันหนักกันหนาฟางเซียน” เธอรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับกล่าวคำที่ทำให้เธอถึงกับนิ่งงันไปเลยทีเดียว “ความรู้สึกแม้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าความรู้สึกคุ้นเคยจนสามารถที่จะระบุตัวตนจนเห็นแจ่มชัด จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จะกลายเป็นความฝัน และฝันนั้นก็คือเรื่องจริงในอดีตที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานเป็นการย้ำเตือนอีกฝ่ายให้ได้จดจำ การรอคอยของบุรุษที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะติดตามคนที่เขาเฝ้ารอคอยทุกเวลา ทุกวินาที ทุกชั่วโมงจะผ่านไปนานกี่ร้อยปีหรือกี่พันปี ดวงจิตและดวงวิญญาณยังคงจดจำคำสัญญานั้นไม่เปลี่ยนแปลง” “พรึ่บ!” ถ้อยคำของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฟางเซียนถึงกับขนลุกตั้งชัน และจากคำพูดของเขาทำให้เธอเริ่มกลัวในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาทันที “เอ่อ... ฉัน...” หญิงสาวได้แต่อึกอักยังมิทันกล่าวสิ่งใดออกมาอีก จู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเธอก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ซึ่งเขาตัวใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว คะเนว่าไม่ต่ำกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตร มิหนำซ้ำไม่ได้มีรูปร่างบางผอมเพรียวแต่อย่างใดหากแต่สูงทะมึนบึกบึนน่าเกรงขามและน่ากลัวเสียเหลือเกิน ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา มันน่ากลัวมากกว่าจะน่ามองยังไงก็ไม่รู้ “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่ อีกอย่างถ้าคุณอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับในรัชสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ ไปที่ตู้หนังสือใบสุดท้าย ชั้นที่สี่แถวกลาง หลังตู้ไม้นั้นมีช่องลับให้เลื่อนบานไม้ออกจะเห็นหีบไม้ภายในนั้นบรรจุของบางอย่างที่จะนำคุณไปสู่ฉางอาน เมื่อเห็นหีบนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะบอกด้วยตัวของมันเอง แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้งลี่เซียน!” ประโยคสุดท้ายจู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยชื่อของผู้หญิงในความฝันออกมาได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเซียนถึงกับนิ่งงันไปทันทีมองแผ่นหลังของชายคนดังกล่าวกำลังเดินออกไปจากโต๊ะที่กำลังนั่ง ใบหน้าสวยหันกลับไปมองตู้ใบสุดท้ายตามที่เขาบอกก่อนจะหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “เฮ้ย!... หายไปแล้ว... คนอะไรทำไมถึงได้เดินเร็วขนาดนี้... เมื่อกี้ยังเห็นเดินอยู่ตรงหน้าอยู่เลย... ทำราวกับว่าหายตัวได้หรือว่าเราตาฝาด... ไม่ใช่สิ ตาไม่ฝาดสักหน่อย... เมื่อกี้เขาเป็นคนชัดๆ ผีที่ไหนจะโผล่มาตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้เป็นไปไม่ได้หรอก นี่มันคือโลกแห่งศตวรรษที่ 21 นะไม่ใช่ยุคอดีตสมัยโบราณหลายพันปีก่อนเสียที่ไหนกันเล่า” หญิงสาวสะบัดศีรษะตัวเองไปมาอย่างแรงเพื่อขับไล่ความมึนงงในเวลาต่อมา ร่างงามที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อและสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมาอย่างยาวนานบัดนี้กำลังกลอกกลิ้งไปมาบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า ร่างตรงหน้ากำลังตื่นจากการหลับใหล เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่กำลังกะพริบขึ้นลงติดๆ กันเพื่อขับไล่ภาพที่พร่ามัวก่อนจะค่อยๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องแสงเหลืองนวลให้ความสว่างไปทั่วผืนแผ่นดินมังกร “โอ้โห! พระจันทร์สวยจังเลย ไม่เคยเห็นดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” สิ้นเสียงรำพึง เสียงของทุกคนที่อยู่หน้าเรือนนอนต่างร้องออกมาพร้อมกัน “ลี่เซียน! ลี่เซียนฟื้นแล้ว!” จางฮูหยินและอี้หานพร้อมสาวใช้ลี่อิงต่างรีบก้าวเดินเข้าไปหา จางฮูหยินโผเข้าสวมกอดร่างอรชรตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นลูกสาวคนสุดท้องได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที โดยมีอี้หานประคองร่างน้อยๆ จากพื้นให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความดีใจเช่นกัน “แม่ดีใจเหลือเกินลี่เซียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเส
คฤหาสน์ตระกูลจาง คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายหลังที่หลวงจีนหนุ่มจางเฟยเทียนได้นำน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวจากเทือกเขาหวงซานหยดลงไปในปากให้กับลี่เซียนน้องสาวคนสุดท้องของตระกูลไปแล้วนั้น ตั้งแต่วันนั้นเวลาล่วงเลยผ่านไปสามวัน คืนพระจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ดวงใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมากมายยิ่งนัก อีกทั้งสุกสกาวส่องแสงเป็นประกายจนผืนแผ่นดินเบื้องล่างสว่างเรืองรองแม้จะอยู่ในช่วงเวลาแห่งรัตติกาลก็ตาม “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านมาดูพระจันทร์ในค่ำคืนนี้สิ ช่างแลดูใหญ่โตกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สวยงามยิ่งนัก” คำกล่าวของจางอี้หานทำให้ประมุขของบ้านพยุงร่างฮูหยินก้าวเข้ามาในบริเวณพื้นที่หน้าลานกลาง บ้านซึ่งจัดเป็นสวนย่อม สองสามีภรรยาแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามคำกล่าวของบุตรชายพร้อมเสียงรำพึง “เฟยเทียนบอกว่าวันใดที่พระจันทร์เต็มดวงและมีดวงใหญ่กว่าทุกครั้งวันนั้นคือวันที่ลี่เซียนจะฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ท่านพี่” ฮูหยินจางเอ่ยถามสามีเพื่อความแน่ใจ หยวนฟู่พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบของตนพร้อมเอ่ยขึ้น “เฟยเทียนไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า พวกเจ้าเห็นคุณชายเล็กหรือไม่”
พระราชวังต้าหมิงกง ตำหนักองค์ชายหลี่หลงจี พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ พระนามหลี่หลงจี กำลังทอด พระเนตรภาพเขียนสีตรงหน้าด้วยความพึงพอพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยภาพวาดดังกล่าวปรากฏเป็นภาพอิสตรีที่กำลังยืนชมดอกโบตั๋น ภาพวาดที่ขึ้นเป็นมันวาวยิ่งขับให้อิสตรีที่อยู่ในภาพดังกล่าวงดงามอย่างยิ่งยวด เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินก้าวเข้ามาใกล้พระตำหนัก พร้อมเสียงพูดคุยกับทหารรักษาการณ์อยู่หน้าตำหนักเพียงครู่ก่อนจะปรากฏร่างของแม่ทัพใหญ่จ้าวเทียนอี้หยุดยืนอยู่หน้าประตู “องค์ชายมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้ามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยทูลถามพร้อมพระวรกายขององค์ชายหันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มรูปงาม “ทหารหลวงไปตามเจ้าทันเวลา หาไม่แล้วเจ้าคงจะออกเดินทางไปแล้วสินะ” รับสั่งถามกลับไป “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ... ว่าแต่องค์ชายมีเหตุสิ่งใดหรือที่เรียกกระหม่อมเข้าเฝ้า” จ้าวเทียนอี้กราบทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นภาพวาดที่อยู่ในพระหัตถ์ และกำลังถูกยื่นให้ตรงหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้กับข้า มันเป็นภาพวาดที่ถูกส่งมาจากหัวเมืองไม่รู้ว่าเป็นหัวเมืองไหน เจ้ามีฝ่ายข่าวฝีมือดีมา
นครฉางอาน ปีที่ 2 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังรุ่ยจง เมืองหลวงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าถังในเวลานี้เต็มไปด้วยชาวเมืองฉางอานมากมาย กำลังยืนมุงเพื่ออ่านแผ่นประกาศของวังหลวง เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดมานานไม่ต่ำกว่าสองเดือนแล้ว ว่าฮ่องเต้ถังรุ่ยจง จะทรงสละราชสมบัติให้กับพระโอรสองค์ที่สามพระนามว่า เจ้าชายหลี่หลงจี ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ในวังหลวงช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก ภายหลังรัชกาลของบูเช็กเทียน สภาพการเมืองภายในราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากถังจงจงอ่อนแอ อำนาจทั้งมวลตกอยู่ในมือของเหวยฮองเฮา ที่คิดจะยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับบูเช็กเทียน เหวยฮองเฮาหาเหตุประหารรัชทายาท จากนั้นได้วางยาพิษสังหารถังจงจงฮ่องเต้ โอรสองค์ที่สามของถังรุ่ยจง นามหลี่หลงจีภายใต้การสนับสนุนขององค์หญิงไท่ผิงชิงนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงสังหารเหวยฮองเฮาและพวก ภายหลังเหตุการณ์องค์หญิงไท่ผิงหนุนถังรุ่ยจงขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งหลี่หลงจีเป็นรัชทายาท แต่แล้วองค์หญิงไท่ผิงพยายามเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เกิดขัดแย้งกับรัชทายาทหลี่หลงจี ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาและจะมีเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ ในปี 712 จักรพรรดิถังรุ่ยจงจึงสละราชย์สมบัติให้กั
หนึ่งเดือนผ่านไป บ้านตระกูลจางในยามนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ บ่าวไพร่นับร้อยทั้งชายหญิงต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรคุณหนูเล็กของตระกูลจะฟื้นขึ้นมาเสียที นับตั้งแต่พลัดตกลงไปในบ่อน้ำจนกระทั่งถูกช่วยขึ้นมา หมอยาที่ว่าเก่งกาจจากทั่วทุกสารทิศถูกเกณฑ์มารักษาคุณหนูบ้านตระกูลจางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้จางลี่เซียนฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลทอดกายอยู่บนฟูกนอนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว “ท่านพี่ลี่เซียนนอนอยู่แบบนี้มาเดือนหนึ่งแล้ว มิมีทีท่าว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าเป็นห่วงลูกใจจะขาดยิ่งแล้ว ทำไมนะเหตุใดจึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย” จางฮูหยินกล่าวพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับน้ำตาของตัวเองด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก ท่อนแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีตรงเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของผู้นำตระกูลจางในขณะนี้มีแต่ความทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ทำใจดีๆ ไว้ฮูหยิน ลี่เซียนของเราจะต้องฟื้นขึ้นมา ลูกของเราต้องฟื้น ซึ่งข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” “แต่นี่หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะท่านพี่ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะฟื้นเลย ถ้าหากไม่ตื่นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไรต่อไปดี โธ่ ลูกรักของแม่ ตื่นขึ้
ดวงวิญญาณของฟางเซียนจากยุคปัจจุบันได้มาปรากฏอยู่ในยุคอดีตที่กาลเวลาย้อนกลับไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง กษัตริย์องค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ดวงวิญญาณของฟางเซียนถูกนำกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อคนทางวังหลวงได้มาพบหญิงงามที่สุดในแผ่นดินต้าถังและถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อถวายตัวให้กับจักรพรรดิถังเสวียนจง ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายทั้งความรัก ริษยาและการแย่งชิงภายในราชสำนักฝ่ายใน และทำให้จางลี่เซียนในชาติอดีตพบจุดจบอย่างน่าเวทนา และร่างของคุณหนูจางลี่เซียนก็คืออดีตชาติของเธอนั่นเอง ดวงวิญญาณของหญิงสาวถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงดวงวิญญาณของเธอเข้าไปในร่างของคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบันและดวงวิญญาณจากยุคอดีตซึ่งเป็นอดีตซาติของเธอหลอมเข้ากลายเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ล่วงรู้ภพอดีตชาติและภพอนาคตอย่างไม่คาดฝัน ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เธอมาอยู่ ณ ที่แห่งหนใดกันหนอ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน! ฉันอยู่ที่ไหน!” สิ้นเสียงรำพึง ฟางเซียนสิ้นสติไปทันทีพร้อมกับร่างงามก็เริ่มจมดิ่งลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ กระดองเต่าที่สลักจา







