Masukใบหน้าสวยหันกลับไปมองตู้ใบสุดท้ายตามคำกล่าวของบุรุษแปลกหน้าที่บอกเธอเป็นปริศนาดั่งเขาวงกตก็ว่าได้ ร่างงามค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางก้าวเดินไปยังตู้ใบสุดท้ายเพื่อทดสอบว่าคำพูดของชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นจริงอย่างที่พูดหรือไม่
“เราไม่ได้งมงายแต่กำลังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับเรามันคือเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโจ๊กมาล้อกันเล่น” ฟางเซียนเดินไปรำพึงไปตลอดทางที่ก้าวเดินไปยังตู้ใบสุดท้ายที่ตั้งอยู่ในมุมมืดและไร้ผู้คนเดินผ่าน ภายในตู้ดังกล่าวเต็มไปด้วยหนังสือเก่ามากมาย และถ้าหากเป็นหนังสือในยุคโบราณของจริงจะถูกนำไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แต่จะมีการคัดลอกของเลียนแบบเพื่อจัดแสดงไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพื่อสอนนักศึกษาในภาควิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ร่างระหงหยุดยืนหน้าตู้หนังสือก่อนจะใช้มือเรียวเริ่มต้นควานหาหลังตู้ไม้พร้อมใช้มือสัมผัสกับแผ่นไม้ไปตลอดทาง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อนิ้วเรียวของเธอสัมผัสแผ่นไม้หลังตู้ไม่เสมอกันเข้าให้แล้ว ก่อนจะใช้มือหยิบหนังสือที่วางเรียงอยู่ตรงหน้ามาถือไว้ในมืออีกข้าง จนเผยให้เห็นแผ่นไม้หลังตู้ช่วงกลางไม่เรียบเนียนดั่งที่ควรจะเป็น “เอาแล้วไง! แผ่นไม้หลังตู้ไม่เรียบเนียนแบบนี้ จะมีของซ่อนอยู่หลังตู้จริงๆ หรือนี่” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองก่อนจะออกแรงใช้มือพยายามเลื่อนรอยต่อไปข้างใดข้างหนึ่งแต่ผลก็คือยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเธอออกแรงเลื่อนแผ่นไม้ดั่งกล่าวอยู่นานเกือบสิบหานาที “โอ๊ย! มันคงไม่มีอะไรหลังตู้หรอกกระมัง จะบ้าตาย... ทำไมถึงได้เชื่อคนง่ายเป็นตุเป็นตะแบบนี้นะฟางเซียน” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะวางหนังสือที่เธออุ้มอยู่อีกข้างนำไปเรียงไว้ตามเดิม “แกร๊ก!” ปลายนิ้วสะกิดไปโดนรอยต่อด้านล่างจนเผยให้เห็นช่องว่างเลื่อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ย! ช่องลับ!” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นช่องลับเปิดแง้มขึ้น เธอใช้นิ้วเรียวดันแผ่นไม้ให้เลื่อนขึ้นจนกระทั่งสุดแผ่นไม่สามารถเลื่อนขึ้นได้อีก ร่างระหงค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมายืนมองสิ่งที่อยู่ด้านใน ซึ่งเธอเห็นหีบไม้วางอยู่ภายในนั้นตามคำกล่าวของผู้ชายแปลกหน้าไม่ผิดเพี้ยน “มีจริงๆ ด้วย สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นบอกเรามันมีอยู่จริงหรือนี่” ในเวลานี้ฟางเซียนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีช่องลับซ่อนเร้นของบางอย่างเอาไว้หลังตู้จริงๆ ทันใดนั้นเอง “เก็บหีบใบนั้นให้ติดกายเจ้าตลอดเวลา เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อไปฉางอาน” เสียงปริศนากระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของหญิงสาวจนเธอต้องหันกลับไปมองรอบตัวว่ามีใครอยู่ในบริเวณนั้น “สะ... เสียงใคร... ในบริเวณนี้ก็ไม่มีใครเลยนอกจากเรา นี่เราหูฝาดหรือได้ยินจริงๆ กันแน่ๆ” ฟางเซียนกล่าวพร้อมกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยกำลังตัดสินใจว่าควรจะหยิบไปดีหรือไม่นั่นเอง หญิงสาวยืนนิ่งมองสิ่งที่อยู่ภายในช่องลับหลังตู้หนังสืออยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “เอาก็เอาเป็นไงเป็นกัน ถ้าเป็นของโบราณเราก็นำไปให้กองโบราณคดีและประวัติศาสตร์จีนไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ มันคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” หญิงสาวพูดพร้อมตัดสินใจเดินเข้าไปจนชิดตู้พร้อมเอื้อมมือหยิบหีบไม้โบราณดังกล่าวออกจากช่องลับหลังตู้หนังสือทันที “แวบบบบ!!!” ทันทีที่มือเรียวสัมผัสกับหีบไม้โบราณ แสงสว่างเจิดจ้ามิรู้มาจากแห่งหนใด สว่างวาบจนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่า พร้อมๆ กับร่างระหงของฟางเซียนล้มลงหมดสติไปที่พื้นห้องทันที โดยมีหีบไม้โบราณอยู่ในมือเรียวซึ่งเธอกอดเอาไว้แนบอก หีบไม้โบราณดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา ก่อนจะมาปรากฏอยู่ในมือของหญิงสาวซึ่งนั่นก็คือดวงวิญญาณของฟางเซียนนั่นเอง เธอกำลังยืนมองร่างของตัวเองที่นอนหมดสติอยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงงและสับสนไปหมดก่อนจะก้มลงมองเมื่อในมือปรากฏหีบไม้โบราณอยู่ในขณะนี้ “นี่... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา... ทำไมเรายืนอยู่ตรงหน้าและก็นอนอยู่ตรงนั้นด้วยนี่มันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” หญิงสาวพึมพำแต่เพียงผู้เดียวในโลกแห่งวิญญาณ ทันใดนั้นเอง หีบไม้โบราณก็ถูกเปิดออกเอง เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือชิ้นส่วนของกระดองเต่าที่สลักด้วยตัวอักษรเจี่ยกู่เหวิน[3] เป็นอักษรจีนโบราณในสมัยยุคสร้างแผ่นดินจีน และภายในหีบโบราณยังมีจารึกโบราณที่เขียนลงบนลำไผ่แต่ละแผ่นทั้งแคบและยาวโดยมีเชือกหนังวัวนำมาเรียงร้อยมัดติดกันเอาไว้และม้วนอยู่ในหีบไม้โบราณ ซึ่งของทั้งสองสิ่งหากนับอายุตั้งแต่สร้างแผ่นดินจีนในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันมันช่างผ่านกาลเวลาอันยาวนานมานับหลายพันปีเลยทีเดียว “นี่มันกระดองเต่าที่นิยมจารึกคำเสี่ยงทายและเรื่องราวต่างๆ บนกระดูกสัตว์ในราชวงศ์ซาง หีบไม้นี่มีของโบราณหลายพันปีอยู่ในนี้เหรอเนี่ยไม่น่าเชื่อเลย” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประกอบกับเป็นคนชอบอ่านหนังสือทุกชนิดจนเป็นชีวิตจิตใจ ดวงวิญญาณของฟางเซียนเอื้อมมือหมายหยิบกระดองเต่าโบราณที่จารึกคาถาโบราณบางอย่างเอาไว้เพื่อนำขึ้นมาพิจารณาในระยะใกล้ชิดด้วยความอยากรู้ ทันใดนั้นเอง “พรึ่บบบบ” ทันทีที่มือเรียวของหญิงสาวสัมผัสกับกระดองเต่าที่จารึกอักษรโบราณ ดวงวิญญาณของเธอถูกดูดเข้าไปภายในกระดองเต่าที่สลักคาถาโบราณนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดของเธอ “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที! ช่วยด้วยยยย!!!” หญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือดังกึกก้องไปทั่วโลกแห่งวิญญาณ ทว่าหามีผู้ใดช่วยเหลือเธอได้แม้แต่น้อย ก่อนจะเงียบงันเมื่อดวงวิญญาณล่องลอยหายเข้าไปกระดองเต่าดั่งคำจารึกคาถาโบราณนั้น เพราะนี่คือชะตาฟ้าลิขิตจากสรวงสวรรค์ มีพระบัญชาให้หวังฟางเซียนกลับไปในอดีตกาลอีกครั้ง โดยที่เธอไม่ล่วงรู้เลยว่า กระดองเต่าที่จารึกคาถาโบราณนั้นได้ระบุเอาไว้ว่า “โชคชะตาจะพลิกผัน หากแม้นผู้ใดแตะต้องจารึกโบราณ จากอดีตกาลสู่อนาคต จากอนาคตสู่อดีตกาล แม้นร่ายคาถาดั่งตามรอยจารึกทุกสิ่งที่ตายจะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งและคงอยู่เป็นอมตะชั่วนิจนิรันดร์” และนี่คือจารึกโบราณซึ่งเป็นคาถาสุดยอดที่บรรดาองค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินมังกรเฝ้าเพียรติดตามเพื่อเอาชนะกับความตาย เพื่อสถิตอยู่คู่กับแผ่นดินและเป็นอมตะไปตลอดกาล ซึ่งไม่เคยมีใครล่วงรู้เลยว่าจารึกโบราณที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์ถูกเขียนลงบนลำไผ่ที่ม้วนอย่างเป็นระเบียบ นอนสงบนิ่งอยู่ภายในหีบโบราณดังกล่าว ซึ่งในสมัยอดีตกาลถูกซ่อนเร้นไว้ในหอสมุดของพระราชวังฉางอานในยุคอดีต โดยมีตระกูลจ้าวเป็นผู้รักษาดูแลความลับสุดยอดนี้ ห้ามเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ ท่ามกลางความเงียบงันในโลกแห่งวิญญาณ บัดนี้แสงสว่างเจิดจ้าที่ค่อยๆ เลือนหายไป ทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในห้องสมุดต่างมองมาที่จุดเดียวกันนั้นก็คือตู้หนังสือใบสุดท้ายที่บัดนี้มีร่างของหญิงสาวแรกรุ่นนอนไม่ได้สติอยู่กับพื้น และที่สำคัญตู้หนังสือที่เคยมีช่องลับเก็บของมีค่าเอาไว้ภายในกลับเลือนหายไปชั่วพริบตาราวกับว่าไม่เคยมีช่องลับนั้นมาก่อน แม้แต่หีบไม้โบราณที่เคยอยู่ในมือของหญิงสาวซึ่งหมดสติไปทั้งๆ ที่ยังกอดหีบไม้โบราณเอาไว้แนบอกอยู่เช่นนั้นกลับไม่ปรากฏอีกเลยราวกับว่าไม่มีสิ่งมีค่าดังกล่าวปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบันอีกต่อไป ความวุ่นวายจึงบังเกิด ห้องสมุดที่รวมสรรพวิชามากมายเต็มไปด้วยผู้คนวิ่งพล่านเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวแสนสวยจนแลดูอลหม่านไปหมดในเวลาต่อมา ร่างงามที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อและสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมาอย่างยาวนานบัดนี้กำลังกลอกกลิ้งไปมาบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า ร่างตรงหน้ากำลังตื่นจากการหลับใหล เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่กำลังกะพริบขึ้นลงติดๆ กันเพื่อขับไล่ภาพที่พร่ามัวก่อนจะค่อยๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องแสงเหลืองนวลให้ความสว่างไปทั่วผืนแผ่นดินมังกร “โอ้โห! พระจันทร์สวยจังเลย ไม่เคยเห็นดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” สิ้นเสียงรำพึง เสียงของทุกคนที่อยู่หน้าเรือนนอนต่างร้องออกมาพร้อมกัน “ลี่เซียน! ลี่เซียนฟื้นแล้ว!” จางฮูหยินและอี้หานพร้อมสาวใช้ลี่อิงต่างรีบก้าวเดินเข้าไปหา จางฮูหยินโผเข้าสวมกอดร่างอรชรตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นลูกสาวคนสุดท้องได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที โดยมีอี้หานประคองร่างน้อยๆ จากพื้นให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความดีใจเช่นกัน “แม่ดีใจเหลือเกินลี่เซียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเส
คฤหาสน์ตระกูลจาง คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายหลังที่หลวงจีนหนุ่มจางเฟยเทียนได้นำน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวจากเทือกเขาหวงซานหยดลงไปในปากให้กับลี่เซียนน้องสาวคนสุดท้องของตระกูลไปแล้วนั้น ตั้งแต่วันนั้นเวลาล่วงเลยผ่านไปสามวัน คืนพระจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ดวงใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมากมายยิ่งนัก อีกทั้งสุกสกาวส่องแสงเป็นประกายจนผืนแผ่นดินเบื้องล่างสว่างเรืองรองแม้จะอยู่ในช่วงเวลาแห่งรัตติกาลก็ตาม “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านมาดูพระจันทร์ในค่ำคืนนี้สิ ช่างแลดูใหญ่โตกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สวยงามยิ่งนัก” คำกล่าวของจางอี้หานทำให้ประมุขของบ้านพยุงร่างฮูหยินก้าวเข้ามาในบริเวณพื้นที่หน้าลานกลาง บ้านซึ่งจัดเป็นสวนย่อม สองสามีภรรยาแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามคำกล่าวของบุตรชายพร้อมเสียงรำพึง “เฟยเทียนบอกว่าวันใดที่พระจันทร์เต็มดวงและมีดวงใหญ่กว่าทุกครั้งวันนั้นคือวันที่ลี่เซียนจะฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ท่านพี่” ฮูหยินจางเอ่ยถามสามีเพื่อความแน่ใจ หยวนฟู่พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบของตนพร้อมเอ่ยขึ้น “เฟยเทียนไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า พวกเจ้าเห็นคุณชายเล็กหรือไม่”
พระราชวังต้าหมิงกง ตำหนักองค์ชายหลี่หลงจี พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ พระนามหลี่หลงจี กำลังทอด พระเนตรภาพเขียนสีตรงหน้าด้วยความพึงพอพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยภาพวาดดังกล่าวปรากฏเป็นภาพอิสตรีที่กำลังยืนชมดอกโบตั๋น ภาพวาดที่ขึ้นเป็นมันวาวยิ่งขับให้อิสตรีที่อยู่ในภาพดังกล่าวงดงามอย่างยิ่งยวด เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินก้าวเข้ามาใกล้พระตำหนัก พร้อมเสียงพูดคุยกับทหารรักษาการณ์อยู่หน้าตำหนักเพียงครู่ก่อนจะปรากฏร่างของแม่ทัพใหญ่จ้าวเทียนอี้หยุดยืนอยู่หน้าประตู “องค์ชายมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้ามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยทูลถามพร้อมพระวรกายขององค์ชายหันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มรูปงาม “ทหารหลวงไปตามเจ้าทันเวลา หาไม่แล้วเจ้าคงจะออกเดินทางไปแล้วสินะ” รับสั่งถามกลับไป “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ... ว่าแต่องค์ชายมีเหตุสิ่งใดหรือที่เรียกกระหม่อมเข้าเฝ้า” จ้าวเทียนอี้กราบทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นภาพวาดที่อยู่ในพระหัตถ์ และกำลังถูกยื่นให้ตรงหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้กับข้า มันเป็นภาพวาดที่ถูกส่งมาจากหัวเมืองไม่รู้ว่าเป็นหัวเมืองไหน เจ้ามีฝ่ายข่าวฝีมือดีมา
นครฉางอาน ปีที่ 2 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังรุ่ยจง เมืองหลวงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าถังในเวลานี้เต็มไปด้วยชาวเมืองฉางอานมากมาย กำลังยืนมุงเพื่ออ่านแผ่นประกาศของวังหลวง เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดมานานไม่ต่ำกว่าสองเดือนแล้ว ว่าฮ่องเต้ถังรุ่ยจง จะทรงสละราชสมบัติให้กับพระโอรสองค์ที่สามพระนามว่า เจ้าชายหลี่หลงจี ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ในวังหลวงช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก ภายหลังรัชกาลของบูเช็กเทียน สภาพการเมืองภายในราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากถังจงจงอ่อนแอ อำนาจทั้งมวลตกอยู่ในมือของเหวยฮองเฮา ที่คิดจะยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับบูเช็กเทียน เหวยฮองเฮาหาเหตุประหารรัชทายาท จากนั้นได้วางยาพิษสังหารถังจงจงฮ่องเต้ โอรสองค์ที่สามของถังรุ่ยจง นามหลี่หลงจีภายใต้การสนับสนุนขององค์หญิงไท่ผิงชิงนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงสังหารเหวยฮองเฮาและพวก ภายหลังเหตุการณ์องค์หญิงไท่ผิงหนุนถังรุ่ยจงขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งหลี่หลงจีเป็นรัชทายาท แต่แล้วองค์หญิงไท่ผิงพยายามเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เกิดขัดแย้งกับรัชทายาทหลี่หลงจี ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาและจะมีเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ ในปี 712 จักรพรรดิถังรุ่ยจงจึงสละราชย์สมบัติให้กั
หนึ่งเดือนผ่านไป บ้านตระกูลจางในยามนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ บ่าวไพร่นับร้อยทั้งชายหญิงต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรคุณหนูเล็กของตระกูลจะฟื้นขึ้นมาเสียที นับตั้งแต่พลัดตกลงไปในบ่อน้ำจนกระทั่งถูกช่วยขึ้นมา หมอยาที่ว่าเก่งกาจจากทั่วทุกสารทิศถูกเกณฑ์มารักษาคุณหนูบ้านตระกูลจางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้จางลี่เซียนฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลทอดกายอยู่บนฟูกนอนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว “ท่านพี่ลี่เซียนนอนอยู่แบบนี้มาเดือนหนึ่งแล้ว มิมีทีท่าว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าเป็นห่วงลูกใจจะขาดยิ่งแล้ว ทำไมนะเหตุใดจึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย” จางฮูหยินกล่าวพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับน้ำตาของตัวเองด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก ท่อนแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีตรงเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของผู้นำตระกูลจางในขณะนี้มีแต่ความทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ทำใจดีๆ ไว้ฮูหยิน ลี่เซียนของเราจะต้องฟื้นขึ้นมา ลูกของเราต้องฟื้น ซึ่งข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” “แต่นี่หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะท่านพี่ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะฟื้นเลย ถ้าหากไม่ตื่นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไรต่อไปดี โธ่ ลูกรักของแม่ ตื่นขึ้
ดวงวิญญาณของฟางเซียนจากยุคปัจจุบันได้มาปรากฏอยู่ในยุคอดีตที่กาลเวลาย้อนกลับไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง กษัตริย์องค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ดวงวิญญาณของฟางเซียนถูกนำกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อคนทางวังหลวงได้มาพบหญิงงามที่สุดในแผ่นดินต้าถังและถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อถวายตัวให้กับจักรพรรดิถังเสวียนจง ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายทั้งความรัก ริษยาและการแย่งชิงภายในราชสำนักฝ่ายใน และทำให้จางลี่เซียนในชาติอดีตพบจุดจบอย่างน่าเวทนา และร่างของคุณหนูจางลี่เซียนก็คืออดีตชาติของเธอนั่นเอง ดวงวิญญาณของหญิงสาวถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงดวงวิญญาณของเธอเข้าไปในร่างของคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบันและดวงวิญญาณจากยุคอดีตซึ่งเป็นอดีตซาติของเธอหลอมเข้ากลายเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ล่วงรู้ภพอดีตชาติและภพอนาคตอย่างไม่คาดฝัน ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เธอมาอยู่ ณ ที่แห่งหนใดกันหนอ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน! ฉันอยู่ที่ไหน!” สิ้นเสียงรำพึง ฟางเซียนสิ้นสติไปทันทีพร้อมกับร่างงามก็เริ่มจมดิ่งลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ กระดองเต่าที่สลักจา







