แชร์

บทที่ 8 สมรสพระราชทาน

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-25 16:51:24

บทที่ 8

สมรสพระราชทาน

แม่ทัพเสวี่ยเมื่อมาถึงเมืองหมิงเวย ก็มุ่งหน้าไปที่พระราชวังโดยไม่หยุดพักที่ใด ถึงแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการกรำศึกมา­เป็นเวลาหลายเดือน แต่ทว่าความมุ่งมั่นในการทำเพื่อแผ่นดินของเขานั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จึงต้องนำรายงานไปกราบทูลฮ่องเต้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จะต้องส่งคืนให้ถึงมือ รวมถึงเครื่องบรรณาการต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเมือ­งอวี้โจว

“เร่งฝีเท้าเร็วเข้า อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนาน” แม่ทัพเสวี่ยเอ่ย­ขึ้นด้วยเสียงจริงจัง

ขบวนของแม่ทัพเสวี่ยเปลี่ยนจากการเดินเท้าด้วยความเร็วมาเป็นวิ่งเหยาะ เพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเดิม

โดยครั้งนี้แม่ทัพเสวี่ยนำทหารมาด้วยเพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น ส่วนทหารที่เหลือในกองทัพ ได้ถูกสั่งการให้เดินทางกลับเข้าค่ายทหารซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองไปเรียบร้อยแล้ว

ในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็เคลื่อนมาถึงพระราชวัง

“แม่ทัพเสวี่ยมาถึงแล้ว!” เสียงทหารเฝ้าประตูวังดังขึ้น

แม่ทัพเสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังท้องพระโรงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนรองแม่ทัพและทหารที่เหลือ ต่างยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมกับเคลื่อนย้ายเหล่าเครื่องบรรณาการที่ยึดมาได้ไปไว้ด้านข้าง

“เสวี่ยช่างเจิ้นถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”

“ลุกขึ้นเถิด แล้วรายงานมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจและพอพระทัย ที่ครั้งนี้ได้ชัยชนะกลับมา

เนื่องจากทุกครั้งที่เขาเข้าวังหลวง จะเป็นหลังจากที่ไปออก­รบแล้วนำชัยชนะกลับมา ดังนั้นการรายงานเรื่องการศึก จึงเป็นสิ่งที่แม่ทัพเสวี่ยชำนาญอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็ไม่เคยประหม่าแม้แต่น้อย

บางครั้งถึงกับกราบทูลอย่างตรงไปตรงมา จนวาจานั้นไปเสียดแทงหูขุนนางท่านอื่นเข้าก็มี

“ในครั้งนี้ที่กระหม่อมสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ ล้วนเป็นเพราะบารมีของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเสวี่ยตอบฮ่องเต้อย่างนอบน้อม

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลขึ้นมาอย่างพอพระทัยแล้วตรัสว่า “เจ้ามิต้องมาเยินยอเรา มีหรือที่เราจะไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะความเก่งกาจของเจ้า เจ้ารายงานมาเถอะ ว่าได้อะไรมาบ้าง”

แม่ทัพเสวี่ยหยุดคิดสักครู่ แล้วเรียงร้อยสิ่งที่คิดไว้ออกมา

“การศึกในครั้งนี้ยึดได้เมืองอวี้โจว ได้บรรณาการมาเป็นทหารห้าพันนาย เงินทอง หยก เครื่องเคลือบ และแพรพรรณจำนวนหนึ่ง อีกทั้งได้ตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เอ่ยจบแม่ทัพหนุ่มก็ยื่นตราประทับให้กับหงกงกง จากนั้นหงกงกงก็นำขึ้นถวายองค์ฮ่องเต้ทันที

“ดี ๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านลองตรวจสอบดูว่านี่เป็นของจริงหรือไม่” ฮ่องเต้ดูแล้วก็ส่งคืนให้หงกงกงและตรัสกับแม่ทัพใหญ่

หงกงกงนำตราประทับนั้นมายื่นให้กับแม่ทัพใหญ่เหยียนโหวตรวจสอบ เมื่อพบแล้วว่าเป็นของจริงก็กล่าวชื่นชมแม่ทัพหนุ่มเป็นการใหญ่ โดยฮ่องเต้ก็พอพระทัยกับผลงานในครั้งนี้อย่างมาก

“เจ้าทำดีมาก แล้วเราจะมีรางวัลให้เจ้าอย่างสมควร”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสวี่ยช่างเจิ้นรีบก้มให้เจ้า­แผ่นดินด้วยความนอบน้อม

หลังจากนั้นก็มีการประชุมหารือราชการในเรื่องอื่นกันต่อ การ­ประชุมในท้องพระโรงหลังจากที่แม่ทัพเสวี่ยนำข่าวดีกลับมา เป็นไปอย่างเคร่งเครียด ถึงแม้ว่าครั้งนี้แม่ทัพหนุ่มจะสามารถเอาชนะแคว้นสือเจ้ามาได้ก็จริง แต่อีกไม่นานชาวเจี๋ย ชนกลุ่มน้อยที่เป็นกองกำลังลับของแคว้นสือเจ้า จะต้องเตรียมกำลังทหารเพื่อมาบุกตียึดเมืองคืนอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้แคว้นฉางอันเองจึงต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดี

โดย­หน้าที่ครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นแม่ทัพเสวี่ย เนื่องจากเขาเป็นแม่­ทัพที่เดินทางขึ้นไปรบทางเหนือบ่อยที่สุด ทั้งยังรู้จักภูมิศาสตร์ของแคว้นสือเจ้าเป็น­อย่างดี ทุกคนจึงลงความเห็นว่าต้องเป็นเขา

“ใช่ ๆ ข้าว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยเหมาะสมที่สุดแล้ว” ซูม่อเยี่ย เจ้ากรมทะเบียนราษฎร์เอ่ยขึ้น

อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าแม่ทัพเสวี่ยจะทำอะไร ได้ผลงานกลับมาหรือไม่นั้น ซูม่อเยี่ยก็จะคอยเอ่ยวาจาสนับสนุนเขาตลอด เพราะอยากให้บุตรีของตนแต่งให้กับแม่ทัพผู้นี้ หากได้แม่ทัพหนุ่มผู้นี้มาเป็นบุตร­เขย ภายภาคหน้าไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดก็จะสะดวกขึ้น อีกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นยังเป็นคนมีชื่อเสียง ไม่ว่าตระกูลไหนต่างก็หมายปองกันทั้งนั้น หากตระกูลซูของตนได้มาเป็นบุตรเขยก็จะมีอำนาจ และสามารถข่ม­ตระกูลอื่นได้อีกมาก

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ขุนนางผู้อื่นกล่าวเสริม

เมื่อสิ้นเสียงขุนนางที่ต่างเริ่มจับกลุ่มสนทนาแล้วว ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อว่า “แม่ทัพเสวี่ย เรื่องนี้เราให้อำนาจกับเจ้าเต็มที่ เจ้าฟังเพียงคำสั่งของเรากับแม่ทัพใหญ่เหยียนโหวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้น หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็วางแผนกับเจ้ากรมการคลังได้เลย”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม่ทัพเสวี่ยน้อมรับพระบัญชา

         

 ณ จวนเจ้ากรมการคลัง

จ้าวเยว่นั่งมองปลาที่ตนเลี้ยงแหวกว่ายไปมาเฉกเช่นทุกวัน วันนี้ในบ่อปลามีปลาตายไปหนึ่งตัว นางเสียใจมากจนร้องไห้ฟูมฟาย

“ปลาพวกนี้เป็นเหมือนสหายของข้า มันตายไปตัวหนึ่งก็­เหมือนกับว่าข้าเสียสหายไปผู้หนึ่ง” จ้าวเยว่เอ่ยไปก็ฟูมฟายไป

ผิงผิงที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอ่ยในสิ่งที่พอจะเอ่ยได้ออกมา “คุณหนูเจ้าคะ ปลาอย่างไรก็คือปลา พวกมันเอ่ยก็ไม่ได้ จะเป็นสหายของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”

ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งเหมือนไปสะกิดให้จ้าวเยว่เสียใจมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอกผิงผิง เจ้ามิใช่คนที่เกิดมาแล้วไม่มีแม้แต่สหายคนเดียวอย่างข้า”

“ก็เป็นเพราะว่าคุณหนูไม่ยอมคบผู้ใดเป็นสหายเองมิใช่หรือเจ้าคะ” ผิงผิงกล่าวอย่างจนใจ

“ผิงผิง เจ้าเลิกเอ่ยไปเลย ข้าไม่อยากฟัง” จ้าวเยว่งอนใส่สาว­ใช้ของตนเสียอย่างนั้น

จู่ ๆ ก็มีบ่าวคนหนึ่งวิ่งมาจากทางประตูจวน เขาวิ่งมาหยุดต่อหน้านายบ่าวทั้งสองก่อนที่จะรายงานว่า

“มีคนมาหาคุณหนูขอรับ ตอนนี้นางรออยู่ด้านนอกขอรับ”

“ใครกัน” จ้าวเยว่ถามอย่างสงสัย ชีวิตนางมีคนต้องการพบ­หน้าด้วยอย่างนั้นหรือ

“นางบอกว่าเป็นคุณหนูรองจากตระกูลซูขอรับ”

เป็นครั้งแรกที่มีคนมาหานางถึงที่จวน จ้าวเยว่ดีใจอย่างมาก ใน­ที่สุดนางก็มีสหายกับเขาเสียที นางรู้ดีว่าซูหนิงคนนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องสาวของซูหลิงเจียวผู้ซึ่งไม่ชอบนางสักเท่าไร ทว่าพี่กับน้องคู่­นี้ ว่าไปแล้วก็มีนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งซูหนิงถือว่าไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง เป็นคนที่คบหาเป็นสหายได้

เสียดายที่วันนี้ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพี่ทั้งสอง ต่างก็ไม่อยู่จวน บิดาของนางมีประชุมที่ท้องพระโรง ในขณะที่มารดาไปซื้อของเข้า­จวนเพื่อเตรียมการสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง   ส่วนพี่ชายทั้งสองไปทำงาน จ้าวเยว่จึงไม่รอช้าให้คนไปเชิญซูหนิงเข้ามาด้านใน

“อย่างนั้นนำพานางไปรอข้าที่ในสวน และให้คนดูแลนางเป็นอย่างดี อีกสักครู่ข้าจะตามไป” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

“ขอรับคุณหนู” บ่าวคนนั้นรับคำสั่งแล้วรีบเดินจากไป

“สหายของคุณหนูหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามคุณหนูของนางอย่างแปลกใจ

“ใช่แล้ว” จ้าวเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ความหม่นหมองเรื่องที่สหายปลาตายไปเมื่อครู่ หายวับไปกับตา

“ไว้ใจได้หรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะวันนี้ไม่มีใครอยู่ภายในจวนเลย หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็ยากที่นางจะจัดการอะไรได้

จ้าวเยว่จึงหันหน้ามาเอ่ยกับสาวใช้ของนาง

“เจ้าวางใจได้เลยผิงผิง สหายน้อยของข้าคนนี้ ถือว่าเป็นคน­ดีในระดับหนึ่ง เราไปต้อนรับสหายคนแรกของข้ากันเถอะ”

“เจ้าค่ะ” ผิงผิงจึงทำได้แต่รับคำและเดินตามไปก็เท่านั้น

ซูหนิงเดินตามบ่าวคนเดิมเข้ามาถึงสวนด้านหลังจวนอย่าง­อารมณ์ดี สายตานางสอดส่องดูทุกซอกทุกมุมของจวน ราวกับจะมาสืบอะไรสักอย่าง

“เจ้าจะมาสืบอะไรไปให้พี่สาวเจ้าอย่างนั้นหรือ” จ้าวเยว่แกล้งถามลองใจนางดู เมื่อเห็นท่าทางอย่างนั้นของซูหนิง

“ขะ...ขะ...ข้าเปล่า ข้าเพียงแต่มาหาท่าน” ซูหนิงตอบกลับอย่างตกใจที่ถูกเข้าใจผิด

จ้าวเยว่เห็นซูหนิงทำท่าทางตกใจ จึงยิ้มให้นางหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น เจ้ามาหาข้า วันนี้มีเรื่องอันใดหรือ”

“ข้าเพียงอยากจะมาสนทนากับท่าน” ซูหนิงตอบเบา ๆ ครั้ง­นี้นางทำสีหน้าจริงจัง

“พอดีเลย วันนี้ข้าอยู่จวนคนเดียวเหงาเป็นอย่างยิ่ง ว่าแต่เจ้ามีเรื่องอะไรถึงต้องจริงจังถึงเพียงนี้”

“ท่านพี่เยว่ ท่านแอบไปฝึกยุทธ์ที่สนามฝึกของกองทัพอยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่” ซูหนิงกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา เหมือนกลัวว่าผู้ใดจะมาได้ยิน

เมื่อได้ยินคำถามจ้าวเยว่ก็ถึงกลับประหลาดใจ ว่าซูหนิงได้­ยินเรื่องนี้มาจากไหน ทั้ง ๆ ที่นางเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด อีกทั้งเหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนาง ก็ไว้ใจได้ทุกคน

“เจ้าไปได้ยินมาจากไหนกัน” จ้าวเยว่ถามออกไปอย่างตกใจ

“ข้าไม่ได้ได้ยินมาจากที่ใดหรอก เพียงแต่วันนั้นข้าแอบไปเที่ยวเล่นแถวค่ายทหารนอกเมือง แล้วเห็นท่านเดินออกมาจากค่าย พร้อมกับบุรุษสองคน มิหนำซ้ำ ท่านยังสะพายธนูไว้ที่ไหล่อีก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านต้องมาฝึกยุทธ์เป็นแน่”

จ้าวเยว่ฟังแล้วก็พอจะดูออกว่าสหายน้อยผู้นี้ต้องการอะไร จึงถามกลับไปว่า “แล้วถ้าจะไปฝึกยุทธ์ แล้วทำไมหรือ”

          “ท่านพี่เยว่ ท่านไม่เข้าใจจุดประสงค์ของข้า หรือว่าท่านคิดจะห้ามปรามข้ากันแน่” ซูหนิงเอ่ยพร้อมกับนิ่วหน้าอย่างขัดใจ

“ซูหนิง สนามฝึกในค่ายทหารนั้นอันตรายยิ่งนัก เจ้ายังเด็กไม่เหมาะที่จะไปฝึกที่นั่น” จ้าวเยว่ตอบออกไปตามตรง

“เหมาะสิ ถ้าหากท่านเต็มใจจะสอนให้ข้า ข้าจะต้องทำได้และไม่เกิดอันตรายแน่” ซูหนิงตอบกลับด้วยใบหน้าจริงจัง

“เจ้านี่มันดื้อจริง ๆ” จ้าวเยว่ส่ายหัวให้กับสหายคนแรกของนางที่มีแววตาดื้อดึงไม่น้อย

“ข้าจะไม่ดื้อกับท่านพี่เยว่แน่นอน หากท่านพี่เมตตาสอนการฝึกยุทธ์ให้กับข้า” ซูหนิลุกขึ้นและโค้งศีรษะให้จ้าวเยว่

“เรื่องนี้ข้ายังรับปากเจ้าไม่ได้ ข้าจะต้องปรึกษากับท่านพี่ทั้ง­สองของข้าก่อน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้า” จ้าวเยว่เอ่ยบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับสหายดื้อของนาง

“ข้าขอบคุณท่านพี่เยว่อย่างมากเจ้าค่ะ” ซูหนิงยิ้มออกมาอย่างพอใจกับคำตอบ เพราะท่านพี่เยว่ไม่ได้ตอบปัดนางเสียทีเดียว

หลังจากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอยู่ราวสองชั่วยาม ซูหนิงจึงได้ขอตัวกลับ ทว่าจ้าวเยว่ยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะให้นางไปที่สนามฝึกในครั้งหน้าด้วยหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้นางก็คงต้องปรึกษากับจ้าวหลู่เจินก่อน

กลับมาที่พระราชวัง

“เอาล่ะเมื่อรายงานเรื่องการศึกและเครื่องบรรณาการต่าง ๆ แล้วประชุมกันมาจนครบทุกเรื่องแล้ว ถึงคราวที่เราจะต้องตกรางวัลให้ท่านแม่ทัพเสวี่ยเสียที” ฮ่องเต้ตรัสทิ้งท้ายก่อนจะสั่งให้เลิกประชุม

“แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้น รับราชโองการ”

หงกงกงผู้รู้หน้าที่ของตนดีก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกางม้วนผ้าใน­มือออก เพื่อเตรียมอ่านราชโองการ

แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้าพระที่นั่ง ในขณะที่หงกงกงเดินขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วอ่านประกาศต่อ

“แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นมีคุณงามความดี ครั้งนี้รบชนะชาวเจี๋ยยึดได้เมืองอวี้โจว และนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่เหยียนโหว  กลับมาได้ เป็นคุณต่อแผ่นดินฉางอันอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนหนุ่มที่มีความปราดเปรื่อง เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ สมควรที่จะได้รับการเคี่ยวกรำให้เติบโตไปในภายภาคหน้า จึงพระราชทานเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายแห่งฉางอัน อีกทั้งยังพระราชทานสมรส...”

เมื่อหงกงกงเอ่ยมาถึงตรงนี้ พวกขุนนางต่างก็พากันตกตะลึง เสวี่ยช่างเจิ้นเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

แต่มีผู้หนึ่งไม่เพียงแค่ตกตะลึงเท่านั้น เขากลับยังคาดหวังว่าผู้ที่จะได้พระราชทานสมรสคู่กับแม่­ทัพเสวี่ยนั้น ต้องเป็นบุตรีของตนเป็นแน่ และคนผู้นั้นก็คือซูม่อเยี่ย เขาตั้งหน้าตั้งตารอฟังราชโองการที่หงกงกงจะประกาศต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

“...อีกทั้งยังพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้น และบุตรีตระกูลจ้าว จ้าวเยว่ โดยพิธีสมรสจะจัดขึ้นในเดือนหน้า”

“เสวี่ยช่างเจิ้น น้อมรับราชโองการ”

แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นยื่นมือขึ้นไปรับม้วนราชโองการมาถือไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างองอาจ

“เป็นอย่างไร รางวัลที่เราให้เจ้า เจ้าพอใจหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามเสวี่ยช่างเจิ้นในตอนที่เขายืนอยู่ต่อหน้า

“กระหม่อมมิกล้า หากฝ่าบาทเห็นว่าดี กระหม่อมก็เห็นว่าดีพ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยช่างเจิ้นตอบกลับเรียบ ๆ

ฮ่องเต้มองหน้าเขาอย่างเอ็นดูแล้วตรัสอีกว่า

“เราเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ผ่านมาหลายปีจนโตป่านนี้แล้วก็­ยัง­ไม่มีภรรยา แม้แต่อนุสักคนเจ้าก็ยังไม่มี เราเกรงว่าเจ้าจะผ่านหน้า­หนาวปีนี้ไปด้วยความยากลำบาก จึงคิดหาภรรยาให้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าว่าดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายพระองค์หันไปถามความเห็นจากเหล่าขุนนางทั้งหลาย

“ดีพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางต่างขานรับความเห็นของเจ้าชีวิต

“ดีมาก” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างพอพระทัย จากนั้นจึงหันพระพักตร์ไปทางจ้าวฝู่ “บุตรีของท่านก็เหมือนกันเจ้ากรมการคลัง จ้าวเยว่นั้นนาง­เลยวัยปักปิ่นมาแล้วมิใช่หรือ ข้าว่าสมควรที่จะออกเรือนเสียที ท่านคงมิได้ขัดข้องกระมัง”

“กระหม่อมเห็นสมควรตามฝ่าบาททุกประการพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวฝู่ก้มศีรษะลงต่ำแล้วกล่าวน้อมรับพระบัญชาอย่างยินดี

“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นวันนี้ก็มีแค่นี้ ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”

จากนั้นพระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์และกลับตำหนักหลวง

เมื่อฮ่องเต้เสด็จกลับพระตำหนักแล้ว ก็มีเสียงสนทนากันด้วยความยินดีดังไปทั่วท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างก็พากันมาแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นและท่านเจ้ากรมการคลังอย่างชื่นมื่น เว้นแต่เพียงเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ซูม่อเยี่ยเท่านั้นที่­รู้สึกคับแค้นใจเป็นอย่างมาก

ทั้ง ๆ ที่เขาแสดงออกว่าสนับสนุนท่านแม่ทัพเสวี่ยขนาดนั้น แต่ว่าฮ่องเต้กลับพระราชทานสมรสให้กับจ้าวเยว่ แทนที่จะเป็นซู­หลิงเจียวบุตรีของเขา

ใจของซูม่อเยี่ยเวลานี้คุกรุ่นด้วยโทสะ เขาจึงเดินสะบัดแขนเสื้อ และเดินออกจากท้องพระโรงไปเพียงผู้เดียว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 6 จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้น ครอบครัว

    ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 5 จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้น ปกป้องเมือง

    ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 4 จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่

    ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้­แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 3 ซูหนิง - เซียวเฟิง แต่งงาน

    ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 2   ซูหนิง - เซียวเฟิง ข้าจะแต่งกับท่าน

    ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิง ข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกัน

    ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status