เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน
"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น "ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ" หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน "เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะที่ไหน หากเจ้าโตเจ้าอยากกลับมาเยี่ยมบ้าน ท่านปู่คงไม่ว่าเจ้าหรอกนะ" เมื่อนั่งรถม้าผ่านหมู่บ้านเป่ยหนาน เจ้าตัวเล็กกับท่านแม่ที่นั่งรถม้าคันเดียวกันกับหลี่หลิวก็เอาแต่หันหลังมองถิ่นที่เคยอาศัยอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้ง ๆ ที่แห่งนี้เคยทำให้พวกเขาลำบากมากถึงเพียงนี้แท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยวางมันเสียที ท่านแม่หันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้นางแล้วมองไปทางข้างหน้าทว่ากลับไม่ได้พูดอันใด ส่วนหลี่เฉินยังคงคอตกเพราะคิดถึงเพื่อน ๆ ที่อยู่หมู่บ้านแห่งนี้ โดยหารู้ไม่ว่าในเมืองหลวงเขาจะเจอเพื่อนใหม่อีกมากหน้าหลายตาเพียงใด หวังลู่คิดมาเสมอการทำดีตอบแทนพระคุณให้บิดามารดาของสามีเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่กลายเป็นว่าข้าต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ข้านั้นน้อยเนื้อต่ำใจ โดยเฉพาะสะใภ้ใหญ่ที่แต่งเข้ามาทีหลังข้า นางหน้าซื่อใจคดต่อหน้าพูดอีกอย่างลับหลังพูดอีกอย่าง ทุกคนในบ้านบอกว่าข้าไล่นางออกจากครัว ทั้งที่ข้ายังไม่เคยทำเช่นนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าเป็นนางเองที่เอะอะโวยวายอยู่เพียงฝ่ายเดียว หากนางไม่อยากช่วยก็แค่บอกข้าตามตรงข้าจะไม่เคืองนางจนมาถึงทุกวันนี้ กลายเป็นว่าข้าต้องรับภาระหนักอึ้งแต่ก็ไม่สามารถปริปากออกมาได้ ส่วนท่านแม่ก็เอาแต่บอกว่า ต้องเข้าใจสิว่านางชักช้า งานเล็กงานน้อยเจ้าทำได้ก็ทำเองเสียไม่ต้องรอนางอีกแล้ว นับจากนั้นมาข้าก็ต้องแบกรับทุกสิ่งอย่าง จนข้าเริ่มจะชินชากับมันเสียแล้ว หากไม่ได้บุตรสาวขอร้องท่านพี่ให้ย้ายออกมา ข้าก็คงไม่ได้เห็นครอบครัวที่มีสุขเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่อาจลืมที่นี่ได้ ข้า..ไม่อยากจากที่นี่ไปเลยจริง ๆ หลี่หงขับรถม้าผ่านหน้าบ้านของตนในใจของเขาก็กระสับกระส่าย อยากจะไปบอกลาท่านพ่อแต่กลัวว่าจะเจอเข้ากับท่านแม่ หากเป็นเช่นนั้นเขาก็มิอาจได้เริ่มต้นใหม่เสียที จึงตัดใจกล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านหมู่บ้านมาได้พักหนึ่ง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นถาโถมเข้ามาใส่จนดวงตาของเขานั้นแดงก่ำ ดีที่ว่าเขาเป็นคนจับบังเหียน และขับรถม้านำทาง จึงไม่มีใครได้เห็นกิริยาการแสดงออกทางสีหน้าของเขา หากบุตรสาวรู้ว่าเขาทุกข์ใจถึงเพียงนี้นางจะยังตัดใจลาจากที่แห่งนี้ได้อีกหรือไม่ แต่หากไม่ไปครอบครัวของเราคงอยู่ไม่เป็นสุข และอาจเป็นเช่นเช้ามืดวันนี้อีกหลายครา ด้วยนิสัยของท่านแม่ท่านต้องมาขอส่วนแบ่งทุกวันจากข้า เพื่อเก็บไว้ให้พี่ใหญ่ได้ใช้จ่ายเพื่อไปเข้าสอบข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ข้าวของทุกอย่างล้วนมีต้นทุน เขาไม่สามารถให้ท่านแม่ได้ในทุก ๆ ครั้ง หลี่หงผ่อนคลายลงแล้วปรับสายตาจนเขาสามารถมองทางได้อย่างปกติ หากในตายังเอ่อนองอยู่เช่นนี้มันจะทำให้ทัศนวิสัยในการเดินทางของเขาต่ำลง เขาแหงนหน้ามองบนเล็กน้อยเพื่อไล่น้ำใส ๆ ให้กลับเข้าไปแล้วค่อยรีบเร่งเจ้าม้าที่พึ่งซื้อมาให้วิ่งเร็วขึ้น เพราะทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง หลี่จงเห็นท่านพ่อเงียบไปก็พอเข้าใจว่าท่านไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้ เพราะเขาเองก็สองจิตสองใจ ใจนึงอยากไปให้พ้น ๆ จากที่แห่งนี้ ส่วนอีกใจก็รักใคร่กลมเกลียวกับคนที่นี่จนไม่อยากจากไปไหน หากว่าท่านย่าใจดีอีกสักหน่อย บางทีครอบครัวเรายังอาจจะอยู่ต่อที่นี่ได้บ้าง แต่พอหวนคิดถึงคำพูดของน้องรองที่ว่านางยังหวังพึ่งพาตนอยู่ จึงได้แต่เก็บความคิดถึงเหล่านี้ไว้ในใจเพียงลำพัง สือไท่มองสถานการณ์ออกจึงไม่ได้ถามไถ่อันใด เขาที่นั่งหลังรถม้ากับหลี่จงที่ยังมีที่ว่างอีกพอควร หันมองไปยังแม่นางน้อยที่นั่งหน้ามุ่ยเพราะท่านแม่ และน้องชายดูเศร้าจนเกินไป ข้าเข้าใจว่านางรู้สึกคับใจแต่นางก็พยายามทำดีมากที่สุดแล้ว ดีแล้วที่นางยอมใจแข็งแล้วพาครอบครัวออกจากเหตุการณ์เช่นนี้มาได้ ไม่เช่นนั้นแล้วอีกไม่นานก็คงเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ เช่นเมื่อเช้านี้อีกเป็นแน่ "ท่านลุงหลี่ หากท่านเมื่อยก็บอกข้าได้เสมอ ท่านสามารถเรียกข้าได้ทุกเมื่อ" สือไท่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ใบหน้างดงามของเขามีรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหายไปเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย "ได้ ไว้ข้าเริ่มเหนื่อยแล้วจะเรียกเจ้าอย่างแน่นอน" หลี่หงที่ปรับอารมณ์ได้แล้วตอบกลับมา จนทำให้หลี่จงที่นั่งเหม่ออยู่ด้านหลังได้สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของสือไท่กับท่านพ่อคุยกัน ตลอดทางวันนี้แดดแรงมากแต่ม้าของหลี่หลิวยังคงวิ่งได้เร็วและแรงไม่ตก ต่างจากม้าของเฟยอี้ และเฟยเหยียนที่เริ่มเหนื่อย และหอบเมื่อวิ่งมาได้ราว ๆ สามชั่วโมง "พวกท่านพักด้านหน้านี้ก่อนเถอะขอรับ" เฟยอี้ตะโกนบอกรถม้าคันข้างหน้า นี่ก็น่าจะบ่ายสองโดยประมาณจากสังเกตแดดที่เริ่มอ่อนลงมาแล้ว แต่วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวทำให้ม้าเหนื่อยล้าและหิวน้ำได้ง่าย เขาสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าม้าเริ่มตามคันหน้าไม่ไหว จึงรีบเร่งไปบอกให้พวกเขาหยุดพักก่อนหากยังฟืนไปต่อกลัวม้าจะหมดแรง และทำให้การเดินทางล่าช้าลงได้ "ด้านหน้ามีแหล่งน้ำสามารถพักม้าได้เราแวะข้างหน้ากันเถอะขอรับ ดูท่าม้าของพวกเขาจะเหนื่อยล้าแล้ว" สือไท่ที่คอยมองรถม้าข้างหลังอยู่เป็นระยะ ๆ เขามองออกว่าม้าของพวกเขาดูแข็งแรงก็จริง ทว่ามันกลับหลอกลวงผู้คนด้วยรูปลักษณ์ แท้จริงแล้วมันสู้ลูกม้าวัยสามปีของหลี่หลิวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ "ม้าท่านดูอ่อนแรงนะเจ้าคะ มันคงหิวแล้วท่านเอานี่ให้มันกินเถอะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวยื่นหัวผักกาดขาวให้ลุงอี้เฟยไปสองหัว และน้ำอีกหนึ่งกระบอก หากต้องแวะพักบ่อย ๆ แบบนี้แล้วเมื่อไร่จะถึงเมืองหลวงสักที หลี่หลิวคิดถูกที่นำผักกาดขาว และน้ำในมิติออกมาเก็บไว้ หากม้าได้กินก็จะแข็งแรงวิ่งได้เร็วไม่เหนื่อยง่ายเช่นม้าของนาง "ม้าของข้าค่อนข้างเลือกกิน มันกินเพียงแต่อาหารที่มันเคยกินเท่านั้น" เฟยอี้หันมาตอบหลี่หลิวด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินถือถังน้ำที่ห้อยมากับรถม้าไปตักน้ำที่ลำธาร หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขัดใจ นางกระโดดลงจากรถม้าแล้วหันกลับมาอุ้มผักกาดขาวหัวใหญ่สองหัวไปวางบนพื้น แล้วเทน้ำในมิติใส่ผักลงไปเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไรเมื่อทำเช่นนี้เจ้าเสี่ยวเฮยกับเสียวหวงถึงกับร้องโวยวายที่พวกมันไม่ได้กินของอร่อย หลี่หลิวจึงบอกพี่ใหญ่เอาไปให้พวกมันได้กิน และดื่มน้ำด้วย พอพวกมันเห็นหลี่จงเอาอาหารมาให้พวกมันก็แสดงสีหน้าดีใจ และยิ้มจนเห็นฟันที่แข็งแรง "ข้าก็ให้พวกเจ้าเหมือนกันนั่นแหละ รีบกินเถอะจะได้รีบเดินทาง พอไปถึงข้าจะตักน้ำถังใหญ่ที่อร่อยมาให้พวกเจ้าคนล่ะถัง" ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ เจ้าม้าสองตัวที่รู้ความต่างขานรับอย่างดีใจ นอกจากนางแล้วเด็กคนนี้ก็ดีกับพวกมันมากเลยทีเดียวที่มอบของอร่อยให้พวกมันอยู่บ่อยครั้ง เจ้าม้าทั้งสองเลียมือของหลี่จงอย่างรักใคร่ ม้าของเฟยอี้ และเฟยเหยียนกินหัวผักกาดขาวจนหมดแถมได้กินน้ำตัวล่ะครึ่งกระบอกจากหลี่หลิว พวกมันค่อย ๆ ฟื้นพลังกลับมา และดูกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว พอเฟยอี้กลับมาพร้อมถังน้ำพวกมันเชิดหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ น้ำนี่นับประสาอะไรกับน้ำวิเศษนั่น แค่น้ำอึกเดียวพวกมันก็ถือว่าโชคหล่นทับแต่นี่ได้กินคนล่ะครึ่งกระบอก มีหรือที่พวกมันจะอยากกินน้ำธรรมดา ๆ อีก "พี่เฟยเมื่อครู่แม่นางน้อยเอาผักกาดขาวหัวใหญ่ และน้ำให้พวกมันกินแล้วมันคงอิ่มแล้วล่ะขอรับ" เฟยเหยียนรีบบอกผู้เป็นพี่ที่พยายามจะให้มันดื่มน้ำ แต่พอได้ยินน้องชายบอกก็ถึงกับตกใจ โดยปกติแล้วม้าสองตัวนี้ค่อนข้างที่จะเลือกกินแต่มันคงเหนื่อย และหิวมากถึงได้ยอมกินผักกาดขาวเช่นนั้น อี้เฟยจึงเอาน้ำที่ตักมาไปรดต้นไม้แทน "เราไปต่อกันเถอะเจ้าค่ะ นี่ก็พึ่งออกมาได้สามชั่วโมงเองข้าว่าหากพักนานอาจช้าได้นะเจ้าคะ" อี้เฟยอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ นี่ม้าของข้ายังพักไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำแม่นางน้อยก็เร่งให้เดินทางต่อเสียแล้ว เขามองไปที่ม้าอย่างจนใจ "ท่านไม่ต้องห่วงพวกมันหรอกเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าให้ของดีมันไปแล้ว รับรองมันเดินทางต่อได้อย่างสบายเลยล่ะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวคลี่ยิ้มก่อนจะร้องถามม้าสองตัวของท่านลุงเฟย ซึ่งพวกมันรีบขานรับนางอย่างกระตือรือร้น จนเฟยอี้แปลกใจที่มันสนิทกับคนแปลกหน้าได้เร็วถึงเพียงนี้เขาจึงตอบตกลง และออกเดินทางต่อ ระหว่างทางหลังจากที่ม้าได้พัก และคนได้ดื่มน้ำจากกระบอกของหลี่หลิวก็ดูจะมีเรี่ยวแรงเหลือล้นกันทุกคน จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยม้าของพวกเขายังคงคึกกันอยู่เลย "พวกท่านจะทำอาหารหรือขอรับ แต่ที่นี่ติดกับป่ามากนะหากพวกสัตว์ป่าผ่านมาแล้วได้กลิ่นเข้าจะเกิดอันตรายได้นะขอรับ" เฟยเหยียนรีบแนะนำเมื่อเห็นหวังลู่ก่อไฟ และพร้อมจะตั้งเตา "ทำไม่ได้รึ งั้นเย็นนี้พวกเราจะกินอะไรได้บ้างล่ะ" หลี่หลิวถามอย่างสงสัย เพราะนางตระเตรียมเนื้อออกมาเพื่อที่จะทำแต่พวกเขากับห้ามปรามนางไว้ เพราะกลัวสัตว์ป่าจะมาตามกลิ่นของอาหารได้ "เอ่อ.. ที่จริงแล้วพวกเรามีหมั่นโถวอยู่เจ้ากินกับพวกเราได้นะหนูน้อย หากเจ้าไม่รังเกียจที่พวกข้าห่อมาตั้งแต่มื้อเช้าแล้ว" หลี่หลิวรับมันมา และแบ่งให้น้องชายที่นั่งมองด้วยสายตาละห้อยนางเข้าใจได้ทันทีว่าเขาคงหิวแล้วเช่นกัน "แล้วพวกเราทำอะไรกินไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ" หลี่หลิวถามขึ้นอีกครั้งอย่างสงสัย "มันก็ได้อยู่หรอกนะแต่ไม่ควรใช้พวกเนื้อสัตว์ในการทำอาหาร เพราะมันอาจล่อพวกหมาป่าออกมาได้" เฟยเหยียนตอบกลับไป เพราะเคยมีคณะเดินทางก่อไฟย่างเนื้อ จากนั้นพวกหมาป่าที่หิวโหยก็กระโจนใส่มีหลายคนที่เอาชีวิตไปทิ้งในครานั้น "ถ้าไม่ใช่พวกเนื้อสัตว์ก็ง่ายหน่อย" หลี่หลิวตั้งเตาเอาหม้อวางใส่น้ำลงไปสองกระบอก และใส่ข้าวที่เหลือจากมื้อก่อนเที่ยงเทลงไปทั้งหมด ก่อนจะเอามันหวานที่เผาสุกแล้วก่อนหน้าออกมาปอกเปลือกแล้วใส่ลงไปใช้ทัพพี ค่อย ๆ บดให้มันหวานกระจายตัว และเติมเกลือเล็กน้อย เมื่อมันหวานโดยความร้อนก็เปื่อยได้ที่จนกลายเป็นข้าวต้มโจ๊กมันหวาน หลี่หลิวเรียกทุกคนมานั่งกินเพื่อไม่ให้ท้องหิวจนเกินไปนางบอกให้ท่านพ่อเอามันหวานมาเผาอีกหลายสิบหัว เพื่อว่าใครไม่อิ่มก็สามารถกินมันหวานนี้ได้ เฟยอี้กับน้องชายยิ้มอ่อนให้กับความคิดของนาง และไม่ลืมที่จะขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ "เดี๋ยวข้าจะเฝ้าเวรยามให้ พวกท่านก็นอนพักกันเถอะข้าแอบงีบมาระหว่างทางบ้างแล้ว" สือไท่อาสาที่จะเฝ้ายามหลี่จงจึงขออยู่เป็นเพื่อนเขา ทุกคนแยกย้ายกันหาที่หลับนอน หลี่หลิวชวนท่านแม่ และหลี่เฉินขึ้นไปนอนบนรถม้าของเฟยอี้ จากนั้นก็ปูที่นอนห่มผ้าก่อนจะหลับนางได้บอกเจ้าม้าว่านางจะนอนแล้ว หากมีภัยให้ร้องดัง ๆ พวกม้าทั้งสี่ที่ได้กินผักกาดเป็นมื้อเย็น และตัวล่ะกระบอกพากันขานรับอย่างกับว่าพวกมันเข้าใจที่หลี่หลิวบอก เฟยอี้ และเฟยเหยียนต่างก็ต้องแปลกใจ หรือเด็กคนนี้จะเข้าใจภาษาม้า เขาเคยเห็นแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจม้าได้อย่างถ่องแท้ แต่กลายเป็นว่าเด็กน้อยผู้นี้ที่มีอายุยังไม่ถึงสิบปีกลับคุยกับม้าได้เช่นกัน เปาะแปะๆ เสียงไม้ฟืนจากกองไฟที่จุดให้แสงสว่างดังมาเป็นพัก ๆ สือไท่คอยเติมเชื้อเพลิงด้วยกิ่งไม้แห้งที่เก็บมาใต้ต้นไม้ต่าง ๆ เขาคอยเขี่ยหัวมันหวานให้กลับด้าน มันหวานถูกวางใกล้ ๆ กับกองไฟเพราะกลัวมันจะไหม้เขาจึงได้แต่คอยพลิกมันไปมาอยู่แบบนั้น สือไท่เขานั่งอยู่บนท่อนไม้ขนาดกลาง ส่วนหลี่จงนั่งบนพื้นที่ปูด้วยใบไม้บาง ๆ หลี่จงนั่งขัดสมาธิศอกทั้งสองข้างของเขาวางบนหัวเข่า แล้วใช้สองมือค้ำยันกรอบหน้าเอาไว้ และทอดมองไปที่กองไฟ สายตาเขาจ้องมองไฟที่กะพริบตามสายลมเอื่อย ๆ มันพลิ้วไหวไปมา และให้ความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี "หากเจ้าง่วงก็ไปพักเถอะ ข้าพักตอนกลางวันมามากแล้ว" สือไท่เห็นหลี่จงเคลิ้มจะหลับก็กลัวเขาจะหน้าคะมำลงกองไฟจนเสียโฉมเอา เขาจึงบอกให้หลี่จงไปพักผ่อน "ได้ งั้นข้าไปนอนล่ะนะ" หลี่จงเอามือปิดปากที่หาวหวอด ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางที่ท่านพ่อปูเสื่อไว้แล้วนอนลงข้างผู้เป็นพ่อ สือไท่ส่ายหน้า และถอนหายใจ ถึงบางครั้งเขาจะดูเหมือนผู้ใหญ่แต่แท้จริงแล้วเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ สือไท่เขี่ยไม้ฟืนที่ใกล้ไหม้หมดบางท่อนเข้าไปในกองเพลิง ในใจกลับมีแผนการบางอย่าง เขาวางแผนไว้ว่าจะได้เห็นแม่สาวน้อยนอนข้าง ๆ กองไฟยามค่ำคืนตอนเขาเฝ้ายามจะรู้สึกดีแค่ไหน แต่ฝันของเขาก็ได้พังทลายลงนางกลับไปนอนบนรถม้าอย่างสบายจนเขาต้องหยุดฝัน ท้องฟ้าในยามค่ำคืนต่างส่องแสงระยิบระยับด้วยดวงดาวที่ทอแสงสุกสกาวไปทั่วทั้งท้องฟ้า ชายหนุ่มนั่งแหงนมองหมู่ดาวน้อยใหญ่ที่เปล่งประกายให้ท้องฟ้าในยามราตรีนั้นโดดเด่น ทุกมุมของท้องฟ้าในยามค่ำคืนต่างก็สวยงามในแบบของมัน เสียงนกกลางคืนร่ำร้องเรียกหาคู่แข่งกับเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ร้องระงมประสานเสียงขับกล่อมใจให้คลายเหงาได้บ้าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้วกว่าสองชั่วโมง แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอน แถมร่างกายของเขายังคงสดชื่นไม่ได้เหนื่อยล้าเหมือนครั้งก่อนเก่า สือไท่ลูบไล้พุงของตนเอง และยังคงมีความรู้สึกนึกคิดเรื่องนี้อยู่ ท้องของเขาถูกแทงจนอาการสาหัสแต่มันก็หายดีในชั่วข้ามคืน ม้าที่เหนื่อยล้าจนแทบหมดแรงก็กลับมาแข็งแรงปึ๋งปั๋ง แถมวิ่งได้นานกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัวโดยที่พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อยเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน บางอย่างที่ข้าอาจมองข้ามไปมันคืออะไรกันนะ ครอบครัวนี้มีอะไรที่ซ่อนไว้หรือเปล่านะ "พ่อหนุ่มเจ้าไปพักเถอะ ข้าจะเฝ้าเวรยามต่อจากเจ้าเอง" เฟยเหยียนลุกขึ้นมา แล้วเห็นเด็กหนุ่มยังนั่งเวรยามอยู่คนเดียวจึงบอกให้เขาไปหลับนอนเสีย เขาที่พักผ่อนมากพอแล้วจะอยู่รับช่วงต่อเอง "ขอรับ งั้นข้าไปพักนะขอรับ" เฟยเหยียนบอกให้เด็กหนุ่มไปนอนที่ของตนซึ่งปูไว้แล้ว ส่วนตัวเขาก็มานั่งแทนที่เจ้าหนุ่มที่พึ่งลุกไป นานมากแค่ไหนแล้วที่เขาเดินทางแล้วได้นอนหลับเต็มอิ่มเช่นนี้ เขามองไปยังม้าที่ยืนหลับทั้งสี่ตัวอย่างสับสน ม้าของพวกเขาตัวเล็กกว่ากล้ามเนื้อยังไม่แน่นเต็มที่ อีกทั้งยังผอมกว่าม้าของข้ากับพี่ใหญ่ แต่พวกมันกลับแข็งแรงผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกเอามาก ๆ ม้าของพวกข้าลากคนมาเพิ่มอีกแค่สามคน สิ่งของก็ไม่ได้หนักหนาเหมือนรถลากผู้ว่าจ้าง ทว่าพวกมันก็พ่ายแพ้ให้ม้าเด็กจนข้าก็งงงวยไม่แพ้กัน แต่พอแม่นางน้อยป้อนผักป้อนน้ำให้พวกมันก็กลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพวกมันชอบกินผักกาดขาวกันนะ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วในใจเขาก็รู้สึกยินดีผักกาดขาวหัวนึงราคาไม่แพงเท่าแครอทเสียด้วยซ้ำ ข้าได้เปิดหูเปิดตาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวเลยจริง ๆ รุ่งเช้าอี้เฟยลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วหันมาเจอพ่อหนุ่มน้อยที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ นี่ข้าหลับเพลินจนเกือบเช้าเลยรึเนี่ย นานแล้วนะที่ข้าไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นเช่นนี้ อี้เฟยลุกขึ้นแล้วไปล้างหน้าล้างตาบอกน้องชายไปนอนต่ออีกหน่อย แต่ทว่าครอบครัวหลี่ก็พากันตื่นขึ้นเสียก่อน "ท่านลุงตอนเช้าทำอาหารได้หรือไม่" หลี่หลิวโผล่หัวน้อย ๆ ออกมาจากรถม้าแล้วถามอย่างสงสัย หากว่าวันนี้นางไม่ได้กินเนื้อนางคงรู้สึกไม่อิ่มท้อง เมื่อเห็นแม่นางน้อยที่ตื่นขึ้นมาก็ถามเรื่องข้าวปลาแต่เช้าเขาถึงกับอมยิ้มแล้วตอบไปว่ารอให้พระอาทิตย์ขึ้นอีกหน่อยค่อยทำ เมื่อหลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นนางทำท่าเหมือนจะกระโดดลงรถม้าทว่าสือไท่ก็เดินไปอุ้มนางลงมาเสียก่อน สือไท่ที่หลับได้ตื่นหนึ่งได้ยินเสียงสดใสดังกังวานที่คุ้นเคย จึงรีบลุกแล้วเดินไปที่รถเพื่อเอาถังน้ำที่วางข้างรถมาล้างหน้า พอเห็นว่านางจะกระโดดลงเขาจึงรีบฉวยโอกาสถือวิสาสะอุ้มนางลงมาจากรถม้า กลิ่นกายของเด็กน้อยผู้นี้หอมหวาน ผิวกายอ่อนนุ่มนวลละมุนละไม เขาแทบไม่อยากปล่อยนางออกจากอ้อมอกเลยด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็ต้องตัดใจวางนางลงอย่างช้า ๆ "ขอบคุณท่านมาก แต่ทีหลังไม่ต้องก็ได้" หลี่หลิวตอบแล้วเดินไปเขย่าตัวพี่ชายที่นอนข้างท่านพ่อให้ตื่นขึ้น สองพี่น้องเดินงัวเงียเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ ดูท่านางคงอยากจะปลดทุกข์แล้วไม่กล้าไปคนเดียวจึงชวนพี่ชายไปเป็นเพื่อน เขามองตามนางจนสุดทางจนอี้เฟยร้องถามว่าจะยกพวกหม้อกระทะ และเขียงไม้ลงมาหรือไม่เขาถึงได้สติกลับมา "พี่ใหญ่ท่านรดน้ำต้นไม้รอไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปเด็ดดอกไม้ก่อน" เมื่อเข้ามิติมาหลี่หลิวทิ้งพี่ชายให้รดน้ำให้กับพวกผักผลไม้ ส่วนนางปวดเบาจึงขอตัวออกไปทำธุระนอกมิติเสียก่อน หลี่จงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตักน้ำมาล้างหน้าแล้วค่อยเดินไปรดน้ำต้นไม้ในมิติ "ต้นหอม แตงกวา และผักพวกนี้โตไวกันจริงเลยนะ" เขาตักน้ำราดไปที่ผักอย่างใจเย็นจนหลี่หลิวเข้ามาอีกที "รีบหน่อยเถอะพี่ใหญ่ เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยเอาได้" หลี่หลิวรีบเตือนพี่ชายว่าตอนนี้เราอยู่กลางป่ากลางเขาไม่ควรชะล่าใจ สองพี่น้องช่วยกันรดน้ำจนเสร็จ แล้วตักน้ำถังใหญ่เดินแอบอิงรถม้าแล้วมาวางไว้ข้าง ๆ รถม้า ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาอย่างเนียน ๆ "ท่านไปกรอกน้ำในถังใส่กระบอกก่อนเถอะเจ้าค่ะ หมดแล้วจะได้ตักมาใส่ถังไม้ไว้ให้เต็ม เวลาใช้งานจะได้สะดวกหน่อย" พี่ใหญ่พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วรีบไปทำตามที่นางบอก ทางด้านสือไท่ที่ยืนอยู่แถวนั้นได้ยินอย่างชัดเจนว่าเด็กสองคนนี้ไปแอบตักน้ำมาเขาถึงกับหน้าเหยเก เรื่องตักน้ำตักท่าใครเขาให้เด็กอย่างพวกเจ้าไปยกมากัน เขารู้ว่าทางที่แม่นางน้อยเดินไปมีลำธารทอดยาวมา แต่ว่าหากนางในใจของเขาต้องยกของหนักเช่นนั้นแล้วเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย