“องค์ชายเฮลิออสมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิอีเมอร์สันชายวัยกลางอายุราว50ปีผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สว่างไสวเหมือนกับอาร์มิสและมีนัยน์ตาสีอเมทิสต์เหมือนกับเฮลิออส ใบหน้านิ่งขรึมไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าจะทำงานเอกสารกองเท่าภูเขาอยู่แต่ก็ไม่แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อย
อีเมอร์สันวางปากกาพร้อมกวาดตามองต่อคนที่มาเยือน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท...”
“ได้ข่าวว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแรมเดือน ทำไมถึงพึ่งจะมาเข้าเฝ้าเรา” อีเมอร์สันเอ่ยเสียงเรียบนิ่งนัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองราวกับตานกอินทรี ทั้งดุดัน และน่าเกรงขาม
“กระหม่อมเหนื่อยล้ากับการเดินทาง เลยต้องการพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงดี อีกอย่างกระหม่อมอยากเที่ยวชมเมืองหลวงที่ไม่ได้กลับมาแสนนานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เราเข้าใจได้ ขอบใจที่เจ้าชนะสงครามแดนเหนือและกลับมาที่เมืองหลวง ผลงานที่เจ้าสร้างไว้เพื่อจักรวรรดิเราจะตอบแทนให้สมกับที่เจ้าทำไว้”
เฮลิออสยกยิ้มราวกับว่าคำพูดของอีเมอร์สันเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้
“กระหม่อมไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่อยากกลับมาอยู่ในที่ที่เคยอยู่ก็เพียงพอแล้ว...”
อีเมอร์สันรู้ความต้องการของเฮลิออสลูกชายของตนเป็นอย่างดี การมาเยือนของเขาในวันใกล้แต่งตั้งมกุฎราชกุมารของอาร์มิสเป็นการประกาศถึงเหล่าขุนนางให้สับสนว่าจะเลือกสนับสนุนใคร แล้วยิ่งเฮลิออสนั้นได้สร้างผลประโยชน์ให้แก่จักรวรรดิคอสมอสไซรัสอย่างใหญ่หลวงมีหรือที่ขุนนางจะเริ่มไม่ให้ความสนใจกับองค์ชายผู้เคยถูกลืมเลือน
“เรื่องนั้นจะยังไม่ถือว่าเป็นรางวัลคุณงามความดีที่เจ้าทำหรอก ถ้าต้องการสิ่งใดก็บอกเราได้ทุกเมื่อ...”
เป็นเวลาหลายปีจริงๆ ที่เขาไม่ได้พบหน้าลูกชายคนโตตั้งแต่วัยเยาว์ ยิ่งโตก็ยิ่งใบหน้าคล้ายกับยูเรียนจนบางครั้งเขาก็รู้สึกเศร้าหมองเมื่อมองใบหน้าและเส้นผมสีน้ำเงินเข้ม อีเมอร์สันก้มหน้ามองเอกสารหวังว่าจะไม่ต้องมองใบหน้านั้นให้ขุ่นเคืองใจก่อนจะกล่าวถามเพิ่มเติมเฮลิออสอีกครั้ง “เฮลิออสปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว...”
“อีก 5 เดือน ก็32 แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มันคงเป็นเรื่องปกติที่องค์จักรพรรดิจำอายุของลูกตนเองที่เคยทอดทิ้งไม่ได้ เพราะขนาดท่านแม่ที่เคยเป็นคนรักของท่าน ท่านยังไม่เคยสนใจไยดี
“เจ้าไม่คิดเรื่องแต่งงานบ้างหรือ”
เฮลิออสขมวดคิ้ว
“กระหม่อมกำลังศึกษาเหล่าเลดี้ในเมืองหลวงอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
มาเมืองหลวงไม่ทันไรก็จะโดนจับแต่งงาน ทว่าก็เป็นการดีอยู่เหมือนกันเพราะการแต่งงานก็เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้แล้ว
“เราจะไม่บังคับเลือกคู่ครองเจ้าแล้วกัน เราจะให้สิทธิ์เจ้าเลือกคู่ครอง ถ้าพึงพอใจเลดี้คนไหนก็มาแจ้งให้เราทราบ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน”
ร่างสูงก้มน้อมรับพร้อมยกยิ้มพึงพอใจ เท่านี้จักรพรรดินีก็คงอยู่ไม่เป็นสุข และคงมีคนเสียใจกับการแต่งงานของเขาเป็นแน่
ปัจจุบัน
หลังจากที่ได้ช่วยเหลือทาส 4 คน มีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถเป็นนักแปรธาตุ เคียร่าพาพวกเด็กมาพักอาศัยที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเซอร์เออร์วินเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้
เหล่าเด็กๆ ยังคงหวาดระแวงแต่พอได้กินอาหารจนอิ่มท้องก็เริ่มผ่อนคลายลง เด็กหนึ่งในสี่ที่ดูเหมือนว่าจะโตที่สุดได้เอ่ยถามกับเคียร่าในระหว่างที่เด็กคนอื่นผล็อยหลับไป
“ท่านนักบุญ...ทำไมถึงช่วยพวกเราไว้เหรอครับ พวกเราเป็นแค่ทาสต่ำต้อย...” เด็กชายสวมเสื้อผ้ามอมแมมตัวซูบผอมส่วนสูงเท่าไหล่ของเคียร่าเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้าหมอง
เคียร่าถอดหน้ากากออกเพื่อแสดงความจริงใจต่อเด็กชาย ดวงตาสีแดงทับทิมมองอย่างอ่อนโยน
“ทาสก็เป็นคน และเด็กน้อยไม่ควรโดนกระทำเช่นนี้...”
“ผมไม่ใช่เด็กน้อย ผมบรรลุนิติภาวะแล้วครับ”
เคียร่าชะงัก
“จะ เจ้าอายุ18แล้วงั้นหรือ เจ้าชื่ออะไร...” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนเอ่ยถาม ไม่คิดว่าเด็กตัวเท่านี้จะอายุเท่ากับโรส
“เรย์มอนด์ ครับ”
พอได้ยินชื่อและมองดูสีผมกับดวงตาของเด็กคนนี้ให้แน่ใจ ผมสีดำขลับตาสีเทาและสีผิวสีแทน เรย์มอนด์ นักเล่นแร่แปรธาตุหรือพ่อมดดำผู้เป็นปรปักษ์ต่อวิหารเป็นตัวประกอบในนิยายซึ่งกลายเป็นตัวร้ายทำให้ประชาชนและนักบวชล้มป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื้องหลังตัวละครตัวนี้มีเล่าแค่ว่าเขาถูกนักบวชตามล่าหลังจากหนีออกมาได้จากตระกูลขุนนางหนึ่งและนักบวชได้ฆ่าน้องของเขาตายทั้ง3คน เรย์มอนด์ จึงเกิดความแค้นและกลายเป็นพ่อมดดำ
เคียร่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะเผลอช่วยตัวร้ายอีกคน และถ้าความสามารถของเขามันเป็นผลดีกับเธอ เธอก็จะชุบเลี้ยงเด็กพวกนี้ไว้ จะไม่ให้เขากลายเป็นตัวร้ายเหมือนในนิยายเด็ดขาด
“เรย์ อยากให้น้องได้อยู่อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องไม่ต้องกลัวถูกตามล่าไหม... ข้อเสนอของข้าคือให้พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่วนเจ้าก็มาทำงานให้ข้าพร้อมได้รับเงินเดือนไว้เลี้ยงดูเหล่าน้อง ๆ”
เคียร่าให้ข้อเสนอที่ดีจนเรย์ไม่อาจปฏิเสธได้
เขาพยักหน้าตอบรับ
“ให้ผมทำงานอะไรเหรอครับ...”
“ถ้าตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าพักผ่อนและกลับมาแข็งแรงให้ไวๆ แล้วหลังจากนี้โรสจะเป็นคนมอบหมายงานที่ถนัดให้เจ้าทำ”
เคียร่าหันไปทางโรสซึ่งนางกำลังจัดแจงจับเด็กน้อยทั้ง3คนให้นอนเป็นที่เป็นทาง พอโรสได้สบตากับผู้เป็นนายเธอรีบลุกขึ้นเดินมาอยู่ข้างๆ เรย์ พอได้เทียบส่วนสูงของทั้งคู่แล้ว โรสก็ยืดตัวตรงและเผยยิ้ม คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเธอผู้สูงแค่160เซนติเมตรจะเจอเด็กรุ่นราวเดียวกันที่เตี้ยกว่า
“โรส...เอวา....” เคียร่าเอ่ยเสียงเข้มขึ้นเพื่อให้โรสเลิกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้าฝากโรสดูแลเรย์หน่อยนะ หวังว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้ดี พวกเจ้าอายุเท่ากันด้วยนิ สนิทกันไวๆ ล่ะ”
“นายหญิงจะมาที่นี่อีกไหมครับ”
“คุณหนูคงไม่มีเวลามาแล้ว ถ้าเจ้าไม่รีบโตพอที่จะใช้งานได้นะ” โรสเอ่ยแทรกขึ้นพร้อมเชิดหน้ายิ้มเยาะอย่างเหนือกว่า
เรย์เงยหน้ามองโรสพร้อมจ้องเขม็งใส่ เขารู้สึกไม่ชอบใจที่โรสมองเขาแล้วยิ้มหัวเราะกับส่วนสูงของตน
“ข้าคงไม่มีเวลา แต่ถ้าร่างกายเจ้าแข็งแรงดีแล้วไว้ข้าจะเรียกหานะ”
เรย์พุ่งเข้ากอดต่อผู้มีพระคุณ เขารู้สึกซาบซึ้งกับท่านผู้นี้ที่ช่วยเหลือเขาและน้อง ๆ ถ้าไม่มีท่านผู้นี้เขากับน้องคงได้ตายสักวันในโกดังใต้ดิน
“ขอบคุณนะครับนายหญิง ผมจะรีบแข็งแรงเร็วๆ ครับ”
เคียร่าสวมกอดอย่างอ่อนโยน พร้อมจุ๊บหน้าผากเด็กน้อยเพื่อให้กำลังใจ
แววตาโรสร้อนผ่าวด้วยความอิจฉาอย่างรุนแรง
ทำไมเด็กนั้นถึงหันมาแสยะยิ้มให้ข้า ต้องการเยาะเย้ยงั้นหรือ...ได้...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
ราชวังตำหนักจักรพรรดินี
โต๊ะน้ำชาจักรพรรดินีแคโรลีนและเลดี้แอมเบอร์
“ไปงานเลี้ยงกับองค์ชายอาร์มิสเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลอมแดงเอ่ยถามแอมเบอร์เด็กสาวที่เปรียบเสมือนหลาน ถึงแม้ว่าจักรพรรดินีจะมาจากตระกูลเบลซเช่นเดียวกันกับแอมเบอร์แต่ก็ถือว่าไม่มีเชื้อสายเดียวกัน เพราะว่าจักรพรรดินีเป็นบุตรบุญธรรมของ ดยุกเบลซคนเก่า
“องค์ชายอาร์มิสปฏิบัติดีกับหม่อมฉันเพคะ ทว่าหลังจากที่องค์ชายได้ไปคุยกับเลดี้เคียร่าเพียงลำพังก็ดูท่าอารมณ์ไม่คงที่เท่าไหร่ จากที่หม่อมฉันได้ถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตู เหมือนว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันและเลดี้เคียร่าได้ขอเลิกกับองค์ชายเพคะ”
แอมเบอร์ติดสินบนองครักษ์นายหนึ่งของอาร์มิสเพื่อคอยจับตาดูอาร์มิสตามคำสั่งจักรพรรดินี
จักรพรรดินีแคโรลีนยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“แปลว่าอาร์มิสเลิกกับเคียร่า คราเรนซ์แล้วงั้นหรือ”
“เหมือนว่าองค์ชายอาร์มิสจะไม่ยอมนะเพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าตั้งแต่เลดี้เคียร่าตกน้ำเมื่อครานั้นนางก็เริ่มเปลี่ยนไป”
“ก็ไม่เสียแรงที่ข้าส่งคนไปสั่งสอน แต่ลูกชายของข้าก็ช่างหัวรั้นเหลือเกิน”
“หม่อมฉันคิดว่าอีกไม่นานองค์ชายอาร์มิสจะคิดได้เพคะ” แอมเบอร์ยกยิ้มเล็กน้อย
เธอก็หวังว่าเสี้ยนหนามที่เป็นภัยของเธอจะยอมถอยลงแต่โดยดี
ตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันหวังว่าองค์ชายจะลืมหม่อมฉันได
ตอนที่13ใช่พระเอกในนิยายจริงๆ เหรอตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ ห
“องค์ชายเฮลิออสมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิอีเมอร์สันชายวัยกลางอายุราว50ปีผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สว่างไสวเหมือนกับอาร์มิสและมีนัยน์ตาสีอเมทิสต์เหมือนกับเฮลิออส ใบหน้านิ่งขรึมไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าจะทำงานเอกสารกองเท่าภูเขาอยู่แต่ก็ไม่แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อยอีเมอร์สันวางปากกาพร้อมกวาดตามองต่อคนที่มาเยือน“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท...”“ได้ข่าวว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแรมเดือน ทำไมถึงพึ่งจะมาเข้าเฝ้าเรา” อีเมอร์สันเอ่ยเสียงเรียบนิ่งนัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองราวกับตานกอินทรี ทั้งดุดัน และน่าเกรงขาม“กระหม่อมเหนื่อยล้ากับการเดินทาง เลยต้องการพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงดี อีกอย่างกระหม่อมอยากเที่ยวชมเมืองหลวงที่ไม่ได้กลับมาแสนนานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“เราเข้าใจได้ ขอบใจที่เจ้าชนะสงครามแดนเหนือและกลับมาที่เมืองหลวง ผลงานที่เจ้าสร้างไว้เพื่อจักรวรรดิเราจะตอบแทนให้สมกับที่เจ้าทำไว้”เฮลิออสยกยิ้มราวกับว่าคำพูดของอีเมอร์สันเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้“กระหม่อมไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่อยากกลับมาอยู่ในที่ที่เคยอยู่ก็เพียงพอแล้ว...”อีเมอร์สันรู้ความต้องการของเฮลิออสลูกชายของตนเป็นอย่างดี การมาเยือนขอ
ทหารนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของบารอนด์วาเลียอย่างรีบร้อนปัง!“ท่านบารอนด์! มีคนบุกรุกโกดังชั้นใต้ดินมันเผาโกดังมอดไหม้ไปทั่วแล้วขอรับ!! พวกทาสหนีออกหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลยครับ!”เสียงประตูดังขึ้นทำให้บารอนด์ตื่นจากภวังค์ เขารีบลุกออกจากเตียงนอนเปิดหน้าต่างเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ทหารพูด พื้นที่โกดังซึ่งมองเห็นได้ชัดเกิดไฟไหม้ควันฟุ้งลอยเหนือชั้นบรรยากาศ“ใครกันมันกล้ามาหยามข้าขนาดนี้! ดูแลประสาอะไรวะ! รีบไปจับตัวคนบุกรุกมาให้ข้า!!” เสียงโวยวายของชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว“คือว่า...ผู้บุกรุกได้ทำร้ายทหารของเราจนแน่นิ่งไปหมดแล้วครับ...” ทหารตัวใหญ่แสดงความหวาดเกรงมือไม้สั่นปากสั่นเทา“อะไรกัน! มันมีกันเยอะงั้นเหรอ!”“มีผู้ชาย 2 คน คะ ครับ.. มันลอบทำร้ายทหารของเราทีละคน ก่อนจะรู้ตัวพวกทหารก็สลบกันไปหมดแล้วครับ!”ปัก!!! เสียงถีบหลังบารอนด์จากคนชุดดำที่ลอยตัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตัวบารอนด์ได้กระเด็นตามแรงถีบนอนกลิ้งส่งเสียงโอดครวญอยู่บนพื้นพรมผืนหรู“จะ เจ็บ..” บารอนด์หันไปมองหาความช่วยเหลือจากทหาร ทว่าทหารคนนั้นก็ได้สลบไปแล้ว คนชุดดำสองคนที่บุ
โถงงานเลี้ยงในคฤหาสน์เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาของเหล่าลูกหลานขุนนางชนชั้นสูง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดเดรสรัดรูปสีขาวกำลังถูกเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดพูดจาเหน็บแนม“ข้านึกว่าเลดี้เคียร่าจะออกจากงานไปเสียแล้ว มางานวันเกิดแต่ไม่คิดว่ามีของขวัญให้เจ้าภาพงาน หรือว่าที่เลดี้มาคือจงใจอยากจะเป็นที่หมายตาของบุรุษหรือคะ”โมอามองต่ำแสดงสายตาดูถูกดูแคลนใส่หญิงสาวใบหน้ายิ้มแย้ม“นั้นสิคะ อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อเป็นคนในตระกูลคราเรนซ์ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”ลูกสมุนของโมอาช่วยเสริมเติมแต่งหวังว่าจะทำให้เคียร่าหน้าเสียอีกครั้ง“ของขวัญสำหรับเลดี้โมอามีแน่นอนค่ะ ไหน ๆ แล้วข้าอยากจะมอบความสุนทรีย์บรรเลงเปียโนให้กับทุกคนในงานเลี้ยงได้ฟังกันนะคะ”“คนอย่างเลดี้เล่นเปียโนก็คงเป็นเพลงเพี้ยน ๆ เหมือนคราก่อน ข้าก็ไม่หวังกับเลดี้เคียร่าหรอกค่ะ”โมอาแสยะยิ้ม เธอคิดไม่ถึงว่าเคียร่าจะกล้าเล่นดนตรีอีกครั้ง เพราะว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในงานออกสังคมครั้งแรกที่เคียร่าไป เธอได้บรรเลงเพลงให้ผู้คนมากมายได้ฟัง จนทั้งงานได้แต่ขนานนามหัวเราะถึงการเล่นดนตรียอดแย่ของเธอมือเรียวสวยวางมือลงบนเปียโน หลับตาลงนึก
“คุณหนู! ทำไมกลับมาเสียเช้า รู้ไหมข้าเป็นกังวลแทบบ้า!” หญิงสาวแต่งตัวใส่ชุดนอนของผู้เป็นนายดีดตัวลงออกจากเตียงและบ่นกับเคียร่าที่พึ่งกลับมาถึงตอนรุ่งเช้า“เกิดเหตุนิดหน่อยน่ะ ขอบใจนะที่แสดงเป็นข้า”เคียร่ายิ้มหวานพลันลูบหัวโรสอย่างเอ็นดู“ใจข้าว้าวุ่นขนาดไหน...นึกว่าคุณหนูจะไม่กลับมาเสียแล้ว” โรสขมวดคิ้วพร้อมแสดงหน้าน้อยใจ ถ้าเจ้านายไม่กลับมาเธอคงต้องออกตามหาผู้เป็นนายอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่“เอาน่า วันนี้เรามีนัดสำคัญข้าจะพลาดไปได้ไง และข้าก็ได้เอกสารหลักฐานมาครบแล้ว คืนนี้เราจะเอาคืนตระกูลวาเลียกัน”ใบหน้าสวยเจ้าเล่ห์แสยะยิ้ม ทำเอาโรสถึงกับใจเต้นแรง เธอรู้สึกชอบบุคลิกนี้ของเจ้านายที่สุด โดยปกติเมื่อคุณหนูอยู่ต่อหน้าคนอื่นการแสดงสีหน้าและท่าทางจะกลายเป็นคนละคนกับตอนนี้เคียร่าต้องแสดงเป็นหญิงสาวใสซื่อ อ่อนแอไม่สู้คนอยู่ตลอด แต่พอได้พ้นสายตาผู้อื่นไป ก็จะแสดงอีกตัวตนหนึ่งออกมาจนตอนนี้โรสเริ่มชินและเข้าใจเจ้านายของตัวเองมากขึ้นแล้วเฮลิออสหยิบโน้ตบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาอ่านและคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเธอรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปคงโดนตราหน้าว่าเป็นพวกโรคจิตเป็นแน่ร่างสูงจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เร