จักรวรรดิคอสมอสไซรัส ปกครองโดยจักรพรรดิ อีเมอร์สัน และจักรพรรดินีแคโรลีน ทั้งสองมีพระโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ คือองค์ชายอาร์มิส
ส่วนองค์ชายเฮลิออสเป็นบุตรนอกสมรสของอีเมอร์สันก่อนได้ขึ้นครองราชย์พบรักกับยูเรียนที่เสียชีวิตไปแล้ว องค์ชายเฮลิออสจึงไม่ได้รับความนิยมจากเหล่าขุนนางสักเท่าไหร่เนื่องด้วยเขาถูกส่งตัวไปออกรบทำสงครามอยู่ตลอด ทว่าก็ไม่ได้รับความชื่นชอบอยู่ดี เพราะตระกูลขุนนางส่วนมากจะอยู่ฝ่ายจักรพรรดินี สนับสนุนองค์ชายอาร์มิสเป็นมกุฎราชกุมาร
ตระกูลขุนนางหลักมี 6 ตระกูลด้วยกัน ปกครองตามแคว้นต่างๆ และมีอำนาจรองลงมาจากราชวงศ์ เหล่าชนชั้นสูงจะมีเวทมนตร์ประจำตระกูล ได้แก่ เวทแห่งแสง เวทแห่งความมืด เวทไฟ เวทน้ำ เวทลม และเวทดิน อีกทั้งยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่นับถือในพระเจ้า หรือพลังของนักบุญซึ่งได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์มาตั้งแต่กำเนิด
“ถ้าจะดึงองค์ชายเฮลิออสที่หวังจะปองร้ายข้าอยู่แล้ว คงต้องเดินตามเส้นทางเนื้อเรื่องเสียหน่อย”
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์องค์ชายอาร์มิสส่งจดหมายเรียกพบเคียร่าไปที่วัง ร่างกายที่แทบจะไม่มีแรงเดินเพราะขาดสารอาหารถ้าไม่มีพลังรักษาตนเอง เธอคงนอนตายคาห้องไปเสียแล้ว
หญิงรับใช้จัดเตรียมแต่งตัวให้เคียร่าทั้งที่ไม่เคยทำ คงเป็นเพราะดยุกสั่งพวกนางจึงต้องจำใจแต่งองค์แต่งทรงเครื่องให้เธอ
พอส่องกระจกบานใหญ่ก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตา ว่าหญิงสาวใบหน้าใสซื่อกับชุดเดรสสีชมพูหวานแหววคือตัวเธอเอง แม้ว่าจะไม่ชอบสีนี้แต่ก็ต้องทำใจสวมใส่ เพราะเธอไม่มีแม้กระทั่งงบประมาณในการซื้อของให้ตัวเอง โดยปกติชุดที่มีมันทั้งเก่าและดูล้าสมัย จะได้ใส่ชุดหรูหราทั้งทีก็ต่อเมื่อออกไปพบปะกับองค์ชายอาร์มิส
รถม้าเทียบจอดหน้าพระราชวังหลัก หญิงรับใช้และองครักษ์พาเธอไปยังสวนหลังพระราชวังที่มีโต๊ะน้ำชาและขนมมากมายถูกเสิร์ฟไว้รออยู่ก่อนแล้ว
“เชิญเลดี้เคียร่านั่งรอสักครู่นะคะ”
เคียร่านั่งจิบชาหอมรอองค์ชาย พอทอดสายตาไปยังศาลากลางน้ำตรงเบื้องหน้าก็สังเกตเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเป็นประกายกำลังนอนพักสายตาอยู่บนหญ้าเขียวขจี ทันทีที่เธอเห็นชายคนนั้นก็ไม่รอช้าลุกขึ้นเดินตรงไปที่ชายหนุ่มพักพิงอยู่
เคียร่าค่อยๆ คุกเข่าย่อตัวลงข้างกายชายปริศนา สายตาเหลือบมองใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวซีด และขอบตาที่ดูคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอน กระแสลมแรงทำให้เศษใบไม้ปลิวหล่นปรกหน้าหล่อเหลาซึ่งยังคงหลับตาพริ้ม
ด้วยความหวังดีเคียร่าจึงถือวิสาสะขยับตัวเข้าใกล้ ใบหน้าสวยก้มลงมองชายหนุ่ม พร้อมยื่นมือหยิบเศษใบไม้ออกให้ ปลายผมสีเงินยาวสลวยปกคลุมใบหน้าคม ด้วยสัญชาตญาณภัยใกล้ตัวทำให้มือของชายหนุ่มจับแขนเล็กกระชากเข้าหาตัว ดวงตาคมกริบหรี่ตาขึ้นเผยให้เห็นสีตาดั่งอัญมณีอเมทิสต์
“เจ้า จะลอบทำร้ายอย่างงั้นรึ?” สายตาระแวงภัยจ้องมองแฝงความดุร้ายเอ่ยตอบเสียงแข็งพร้อมบีบข้อมือเล็กแรงขึ้น
“ท่านจำข้าไม่ได้หรอกเหรอ ข้าเคยจมน้ำอยู่ตรงหน้าท่านไงเล่าเมื่อสัปดาห์ก่อน”
ใบหน้าสวยระบายยิ้ม มือที่ถูกบีบแน่นก็ผ่อนแรงลง
ชายที่นอนอยู่ค่อย ๆ ชันตัวนั่ง
“หึ ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยไปขอบคุณพวกข้ารับใช้นู้น”
“อย่างน้อยท่านก็ช่วยยืนมองข้าไง”
เคียร่ากอดเข่าพร้อมหันมองใบหน้าคมแล้วส่งยิ้มสดใสให้
“เจ้านั่งแบบนี้ไม่กลัวชุดหรูหราสีหวานดั่งลูกกวาดเปรอะเปื้อนเลยหรือไง ช่างไม่เป็นกุลศตรีชนชั้นสูงเอาเสียเลย”
“รู้จักข้าด้วยหรือว่าข้าเป็นชนชั้นสูง”
“เคียร่า คราเรนซ์ หญิงคนรักขององค์ชายอาร์มิส ใครๆ ต่างก็รู้จักเจ้า…หญิงสาวแสนไร้เดียงสา หรือหญิงชู้กันนะ”
“ข้าไม่เถียง เพราะข้าก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ข้าน่ะ รักองค์อาร์มิสมากๆ เลยล่ะ และองค์ชายก็รักข้ามากเช่นกันถ้าเกิดข้าบาดเจ็บหรือถูกทำร้าย องค์ชายอาร์มิสคงปวดใจน่าดู”
คำพูดคำจาใสซื่อของเคียร่ากับรอยยิ้มร่าเริงสมดั่งคำร่ำลือ ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินถึงกับแสยะยิ้มออกราวกับว่าคำพูดของเธอเป็นเรื่องขบขัน
“คนเช่นเจ้ายิ้มได้กับทุกเรื่องเลยสินะ แม้ว่าใครจะต่อว่าเจ้าเยี่ยงไร”
“อาจจะเป็นเช่นนั้น หรืออาจจะไม่ใช่” เคียร่าลุกขึ้นยืนพร้อมปัดเศษฝุ่นออก
“ข้าคงต้องไปหาองค์ชายอาร์มิสแล้วล่ะ ขอบคุณเรื่องวันนั้นแล้วพบกันใหม่ค่ะ” เคียร่าจีบกระโปรงขึ้นเล็กน้อยพร้อมย่อตัวทำความเคารพ เธอยังคงยิ้มหวานส่งให้เขาก่อนจะม้วนตัวเดินกลับไป
“นางไม่คิดจะถามชื่อข้าเลยหรือไงกัน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วลงแววตาแฝงความสงสัย เขารู้สึกว่าหญิงคนรักของน้องชายต่างมารดาดูธรรมดาจนเกินไป ถึงแม้ภายนอกจะงดงามมากก็ตาม ทว่าความธรรมดานั้นกลับมีบางอย่างแปลกๆ
คนเช่นนางช่างไม่ระมัดระวังตัวเอาเสียเลย แบบนี้แผนของเขาที่ต้องการทำให้อาร์มิสรู้สึกทรมานใจคงง่ายขึ้น
“อิมป์ เจ้าจงตามดูนางแล้วคอยรายงานข้า” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อเรียกปิศาจ เงาดำปรากฏขึ้นพร้อมปิศาจตัวเล็กคล้ายภูต
“รับทราบนายท่าน” เสียงเล็กแหลมตอบกลับพร้อมหายเข้าไปในเงา
“รอนานไหมเคียร่า” อาร์มิสถามพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของเคียร่าอย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับขนมชิ้นเล็กในมุมสงบของสวนชาใต้ร่มไม้ใหญ่
“ไม่นานเลยเพคะ” เคียร่าลุกขึ้นและย่อตัวทำความเคารพองค์ชายอย่างนอบน้อม
อาร์มิสสั่งให้บรรดาหญิงรับใช้ทั้งหมดออกไปจากพื้นที่รอบโต๊ะน้ำชา ความเงียบเข้าปกคลุม ใบหน้าเขาแสดงความตึงเครียดออกมาชัดเจน
“ข้าจะบอกเจ้า... ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะป่าวประกาศถอนหมั้นกับเลดี้แอมเบอร์” เขาพูดเสียงต่ำ แต่หนักแน่น
เคียร่าแอบสูดลมหายใจเข้าใจลึก เธอคาดเดาได้อยู่แล้วว่ามันจะมาถึงจุดนี้ และก็รู้ดีว่าผลลัพธ์ของการถอนหมั้นนี้จะไม่จบลงง่ายๆ การสนับสนุนจากตระกูลเบลซและพวกผู้สนับสนุนจักรพรรดินีจะกลายเป็นศัตรูอาฆาตเธอทันที
ทำไมคนที่บอกว่ารักข้าต้องให้ข้าสู้เพียงลำพังด้วย ตอนนี้ข้าไม่อยากเพิ่มศัตรูไปมากกว่านี้แล้ว
เธอคิดในใจ และนึกถึงเนื้อหาในนิยายที่พอจำได้ การต้องหลีกเลี่ยงศัตรูมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่เพิ่มมันคงจะดีกว่า
“จักรพรรดินีทรงอนุญาตแล้วหรือเพคะ”
“ไม่ แต่ข้าก็จะประกาศถอนหมั้นอยู่ดี พอถึงครานั้นท่านแม่คงไม่อาจทำอะไรได้แล้ว และข้าจะส่งจดหมายสู่ขอเจ้ากับดยุกคราเรนซ์” น้ำเสียงของอาร์มิสแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น แต่มันทำให้ใจของเคียร่ารู้สึกหนักอึ้ง
“ถ้าทำเช่นนั้นองค์ชายอาจโดนลงโทษและถูกกักบริเวณได้ หม่อมฉันไม่อยากให้องค์ชายอาร์มิสเดือดร้อนเลย หม่อมฉันคิดว่าพระองค์หมั้นกับเลดี้แอมเบอร์ไปก่อนคงเป็นการดีกว่า”
“แล้วชื่อเสียงของเจ้าละ เคียร่า...”
อาร์มิสพูดพร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือของเธอ แววตาของเขาฉายแววห่วงใย
“ไม่เป็นอะไรเพคะ” เธอยิ้มอ่อนโยนให้เขาเช่นเคย
ความหวังดีและความรักที่อาร์มิสมอบให้แก่เธอเปรียบเสมือนลูกกวาดอาบยาพิษมันทั้งหวานและขมในเวลาเดียวกัน อาร์มิสไม่ใช่หมากหลักในแผนการของเธอ ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังแต่ก็ไม่ได้รู้สึกรักเหมือนเมื่อก่อน เขาเป็นเพียงชายหัวอ่อนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน มีความเอาแต่ใจทว่าก็อ่อนโยนเช่นเดียวกัน
เขาไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังจนบางทีก็ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย และเขาก็เป็นคนเดียวที่มอบแสงสว่างให้เธอในวันที่มืดมน…
4 ปีก่อน
งานเดบูตองส์ในคฤหาสน์คราเรนซ์นั้นสว่างไสวด้วยแสงเทียนและเสียงดนตรีที่ดังก้องไปทั่ว เหล่าขุนนางและคนสำคัญต่างพูดคุยหัวเราะร่าเริงกัน แต่ที่มุมหนึ่งของงาน เด็กสาวผมสีเงิน เคียร่าในวัย 16 ปี ยืนอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าเธออมทุกข์ ดวงตาหลบซ่อนอยู่ใต้เงามืดแห่งความอ้างว้าง
ชุดเดรสสีครีมที่เธอสวมอยู่ แม้จะงดงามในสายตาของบางคน แต่กลับดูเก่าและล้าสมัยในสายตาของคนในงาน
ฟานาและผองเพื่อนต่างหัวเราะอย่างสะใจเมื่อราดน้ำลงบนชุดของเคียร่า ทำให้เธอรู้สึกอับอายจนต้องวิ่งหนีออกมาจากงาน
เคียร่าฟุบหน้ากอดเข่าร้องไห้เพียงลำพังในมุมมืด ขณะนั้นก็มีมือปริศนายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ ใบหน้าหล่อเหลาของอาร์มิสปรากฎขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ ผมสี บลอนด์ของเขาเปล่งประกายราวกับเทพบุตรสะท้อนเข้ามายังดวงตาสีแดงก่ำของเธอ
“หน้าสวยๆ ของเจ้าจะหม่นหมองเอาได้นะ ถ้ายังมัวแต่ร้องไห้” เสียงนุ่มทุ้มของเขากระซิบ เขามองขึ้นไปยังพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ขะ ขอโทษเพคะ ที่ให้องค์ชายเห็นสภาพน่ารังเกียจเช่นนี้” เคียร่าใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับมาซับคราบน้ำตาพร้อมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“เจ้าเป็นคนงดงามที่สุดตั้งแต่พบเจอเชียวนะ ไยเจ้าถึงทำตัวมืดมนเช่นนี้เล่า ไหนลองยิ้มดูสิ”
อาร์มิสหันมามองเธอพร้อมยิ้มละไมให้
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจดวงน้อยของเธอเต้นสั่นราวจะทะลุออกมา
เคียร่าค่อยๆ คลี่ยิ้ม แม้ดูเหมือนจะฝืนแต่เธอก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น เพียงแค่คำพูดเชยชมก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมแสนอบอุ่น
อาร์มิสยกมือเกลี่ยแก้มนุ่มนิ่มจนหน้านวลของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ค่อยๆ ฝึกยิ้มไว้ล่ะ เพราะเวลาที่เจ้ายิ้มมันสวยที่สุดเลย”
ตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันหวังว่าองค์ชายจะลืมหม่อมฉันได
ตอนที่13ใช่พระเอกในนิยายจริงๆ เหรอตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ ห
“องค์ชายเฮลิออสมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิอีเมอร์สันชายวัยกลางอายุราว50ปีผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สว่างไสวเหมือนกับอาร์มิสและมีนัยน์ตาสีอเมทิสต์เหมือนกับเฮลิออส ใบหน้านิ่งขรึมไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าจะทำงานเอกสารกองเท่าภูเขาอยู่แต่ก็ไม่แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อยอีเมอร์สันวางปากกาพร้อมกวาดตามองต่อคนที่มาเยือน“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท...”“ได้ข่าวว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแรมเดือน ทำไมถึงพึ่งจะมาเข้าเฝ้าเรา” อีเมอร์สันเอ่ยเสียงเรียบนิ่งนัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองราวกับตานกอินทรี ทั้งดุดัน และน่าเกรงขาม“กระหม่อมเหนื่อยล้ากับการเดินทาง เลยต้องการพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงดี อีกอย่างกระหม่อมอยากเที่ยวชมเมืองหลวงที่ไม่ได้กลับมาแสนนานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“เราเข้าใจได้ ขอบใจที่เจ้าชนะสงครามแดนเหนือและกลับมาที่เมืองหลวง ผลงานที่เจ้าสร้างไว้เพื่อจักรวรรดิเราจะตอบแทนให้สมกับที่เจ้าทำไว้”เฮลิออสยกยิ้มราวกับว่าคำพูดของอีเมอร์สันเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้“กระหม่อมไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่อยากกลับมาอยู่ในที่ที่เคยอยู่ก็เพียงพอแล้ว...”อีเมอร์สันรู้ความต้องการของเฮลิออสลูกชายของตนเป็นอย่างดี การมาเยือนขอ
ทหารนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของบารอนด์วาเลียอย่างรีบร้อนปัง!“ท่านบารอนด์! มีคนบุกรุกโกดังชั้นใต้ดินมันเผาโกดังมอดไหม้ไปทั่วแล้วขอรับ!! พวกทาสหนีออกหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลยครับ!”เสียงประตูดังขึ้นทำให้บารอนด์ตื่นจากภวังค์ เขารีบลุกออกจากเตียงนอนเปิดหน้าต่างเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ทหารพูด พื้นที่โกดังซึ่งมองเห็นได้ชัดเกิดไฟไหม้ควันฟุ้งลอยเหนือชั้นบรรยากาศ“ใครกันมันกล้ามาหยามข้าขนาดนี้! ดูแลประสาอะไรวะ! รีบไปจับตัวคนบุกรุกมาให้ข้า!!” เสียงโวยวายของชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว“คือว่า...ผู้บุกรุกได้ทำร้ายทหารของเราจนแน่นิ่งไปหมดแล้วครับ...” ทหารตัวใหญ่แสดงความหวาดเกรงมือไม้สั่นปากสั่นเทา“อะไรกัน! มันมีกันเยอะงั้นเหรอ!”“มีผู้ชาย 2 คน คะ ครับ.. มันลอบทำร้ายทหารของเราทีละคน ก่อนจะรู้ตัวพวกทหารก็สลบกันไปหมดแล้วครับ!”ปัก!!! เสียงถีบหลังบารอนด์จากคนชุดดำที่ลอยตัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตัวบารอนด์ได้กระเด็นตามแรงถีบนอนกลิ้งส่งเสียงโอดครวญอยู่บนพื้นพรมผืนหรู“จะ เจ็บ..” บารอนด์หันไปมองหาความช่วยเหลือจากทหาร ทว่าทหารคนนั้นก็ได้สลบไปแล้ว คนชุดดำสองคนที่บุ
โถงงานเลี้ยงในคฤหาสน์เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาของเหล่าลูกหลานขุนนางชนชั้นสูง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดเดรสรัดรูปสีขาวกำลังถูกเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดพูดจาเหน็บแนม“ข้านึกว่าเลดี้เคียร่าจะออกจากงานไปเสียแล้ว มางานวันเกิดแต่ไม่คิดว่ามีของขวัญให้เจ้าภาพงาน หรือว่าที่เลดี้มาคือจงใจอยากจะเป็นที่หมายตาของบุรุษหรือคะ”โมอามองต่ำแสดงสายตาดูถูกดูแคลนใส่หญิงสาวใบหน้ายิ้มแย้ม“นั้นสิคะ อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อเป็นคนในตระกูลคราเรนซ์ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”ลูกสมุนของโมอาช่วยเสริมเติมแต่งหวังว่าจะทำให้เคียร่าหน้าเสียอีกครั้ง“ของขวัญสำหรับเลดี้โมอามีแน่นอนค่ะ ไหน ๆ แล้วข้าอยากจะมอบความสุนทรีย์บรรเลงเปียโนให้กับทุกคนในงานเลี้ยงได้ฟังกันนะคะ”“คนอย่างเลดี้เล่นเปียโนก็คงเป็นเพลงเพี้ยน ๆ เหมือนคราก่อน ข้าก็ไม่หวังกับเลดี้เคียร่าหรอกค่ะ”โมอาแสยะยิ้ม เธอคิดไม่ถึงว่าเคียร่าจะกล้าเล่นดนตรีอีกครั้ง เพราะว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในงานออกสังคมครั้งแรกที่เคียร่าไป เธอได้บรรเลงเพลงให้ผู้คนมากมายได้ฟัง จนทั้งงานได้แต่ขนานนามหัวเราะถึงการเล่นดนตรียอดแย่ของเธอมือเรียวสวยวางมือลงบนเปียโน หลับตาลงนึก
“คุณหนู! ทำไมกลับมาเสียเช้า รู้ไหมข้าเป็นกังวลแทบบ้า!” หญิงสาวแต่งตัวใส่ชุดนอนของผู้เป็นนายดีดตัวลงออกจากเตียงและบ่นกับเคียร่าที่พึ่งกลับมาถึงตอนรุ่งเช้า“เกิดเหตุนิดหน่อยน่ะ ขอบใจนะที่แสดงเป็นข้า”เคียร่ายิ้มหวานพลันลูบหัวโรสอย่างเอ็นดู“ใจข้าว้าวุ่นขนาดไหน...นึกว่าคุณหนูจะไม่กลับมาเสียแล้ว” โรสขมวดคิ้วพร้อมแสดงหน้าน้อยใจ ถ้าเจ้านายไม่กลับมาเธอคงต้องออกตามหาผู้เป็นนายอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่“เอาน่า วันนี้เรามีนัดสำคัญข้าจะพลาดไปได้ไง และข้าก็ได้เอกสารหลักฐานมาครบแล้ว คืนนี้เราจะเอาคืนตระกูลวาเลียกัน”ใบหน้าสวยเจ้าเล่ห์แสยะยิ้ม ทำเอาโรสถึงกับใจเต้นแรง เธอรู้สึกชอบบุคลิกนี้ของเจ้านายที่สุด โดยปกติเมื่อคุณหนูอยู่ต่อหน้าคนอื่นการแสดงสีหน้าและท่าทางจะกลายเป็นคนละคนกับตอนนี้เคียร่าต้องแสดงเป็นหญิงสาวใสซื่อ อ่อนแอไม่สู้คนอยู่ตลอด แต่พอได้พ้นสายตาผู้อื่นไป ก็จะแสดงอีกตัวตนหนึ่งออกมาจนตอนนี้โรสเริ่มชินและเข้าใจเจ้านายของตัวเองมากขึ้นแล้วเฮลิออสหยิบโน้ตบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาอ่านและคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเธอรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปคงโดนตราหน้าว่าเป็นพวกโรคจิตเป็นแน่ร่างสูงจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เร