เข้าสู่ระบบบทที่ 9
หลังจากงานเลี้ยงฉลองข้าก็ถูกส่งตัวให้มาทำงานภายใต้คำสั่งของท่านอ๋องสาม บวกกับย้ายข้าวของมาอาศัยอยู่ที่จวนของท่านอ๋องด้วย เรือนใหม่ข้าถูกจัดตกแต่งอย่างเรียบง่ายราวกับเจ้าบ้านไม่ค่อยต้อนรับการมาของสักเท่าไหร่
ข้ามิได้โวยวายให้มากความเพราะข้าเองที่ต้องการย้ายมาอยู่ที่จวนท่านอ๋องถาวร มิใช่อยู่บ้างเป็นครั้งคราวเวลาที่ต้องทำงานล่วงเวลาอย่างเช่นผู้วิเศษท่านอื่น
ในสายตาผู้อื่นมองมาที่ข้าย่อมไม่คิดในเชิงบวกสักเท่าไหร่ สตรียังมิได้ออกเรือนมาอยู่จวนบุรุษ มีเรือนเป็นของตัวเอง ทำราวกับแต่งเข้าบ้านมากกว่ามาทำงานน่ะสิ
บางคนถึงขั้นคิดว่าข้าจะใช้ใบหน้าปิศาจของข้าหลอกล่อท่านอ๋องสามเพื่อจะได้ตกแต่งเป็นชายา
ข้าอยากจะลากพวกนางมาดูสายตาที่ฝ่ายชายมองข้าเสียก่อน ถึงเขาจะหล่อแต่มองข้าอย่างกับศัตรูเช่นนั้นก็ทำใจชอบพอไม่ลงหรอกนะ
แต่ฮ่องเต้มิได้บอกว่าข้าอยู่ทุกวันมิได้หนิ ถึงแม้ข้ายังมีตำหนักเป็นที่พักอีกแห่งในวัง แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าส่วนใหญ่จะปักหลักอยู่ที่จวนนี่
ใครจะเอ่ยอันใดก็ช่างศีรษะมารดาพวกเขาเถิด
ข้ามีภารกิจของข้า รีบแก้ไขเรื่องให้เสร็จข้าจะได้รีบไปใช้ชีวิตอิสระของตนต่อเสียที
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องอย่างน่าเบื่อยิ่งนัก ไหนล่ะงานข้า ไหนล่ะหน้าที่ผู้ช่วยของข้า เฉิงหย่งจื้อไม่แม้เรียกใช้ข้าเลยสักนิด
วันแรกที่มาข้ายังนึกดีใจที่เขากลับใจไม่ฆ่าข้าแล้ว
แต่พอมาวันนี้....ดูเหมือนข้าโดนเมินอย่างเต็มรูปแบบเสียแล้วล่ะ
“ใครอนุญาตให้เจ้ามานั่งเล่นที่ศาลาแห่งนี้กัน”
ยกเว้นเสียแต่สตรีผู้นี้ เซี่ยเสวี่ยเหมย พระชายารองของท่านอ๋องสาม ภรรยาผู้เดียวของเฉิงหย่งจื้อที่ให้ความสนใจข้ายิ่งกว่าผู้เป็นเจ้านายของข้าเสียอีก
ไม่ว่าข้าไปอยู่ที่ใด คำทักทายแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของนางดังขึ้นมากวนใจข้าอยู่ร่ำไป
ถงเอ๋อร์เคยบอกข้าว่าสาวใช้ในเรือนของนางบอกว่าเจ้านายพวกมันมิชอบในตัวข้า กลัวว่าข้าตั้งใจมาหลอกล่อเย้ายวนให้พระสวามีของนางรับนางมาเป็นภรรยาอีกคน
เหตุที่สาวใช้ในเรือนของข้าเป็นพวกไม่ผอมก็ขี้เกียจก็เพราะพระชายารองนี่แหละเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้
ข้าเองก็คิดว่านางคงไม่ชอบข้าเพราะหึงหวงสามีจึงมิได้ใส่มากนัก เรื่องใดปล่อยผ่านได้จึงปล่อยไป เดี๋ยวนางเหนื่อยและเลิกลาไปเอง
ภรรยาย่อมไม่อยากให้สามีตนเองมีน้อยเป็นเรื่องธรรมดานี่นา
แต่ดูเหมือนว่าข้าคงใจดีมากเกินไปกระมัง
นับวันนางจึงเหิมเกริมขึ้นทุกวัน
สงสัยไม่เคยได้ยินฉายาปิศาจน้อยของข้าเสียแล้วสตรีผู้นี้
“ศาลานี้ของพระชายารองหรือเพคะ ข้านึกว่าของท่านอ๋องเสียอีก”
ข้าเห็นนางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
“จวนแห่งนี้เป็นของท่านพี่ ข้าเป็นพระชายารองของท่านพี่ย่อมเป็นของข้าด้วย”
“เหรอเพคะ ข้าเพิ่งรู้ว่าธรรมเนียมสามีภรรยาของที่เมืองหลวงเป็นเช่นนี้ ตามตำราที่ข้าอ่านมาภรรยาแต่งเข้ามาในตระกูลสามีย่อมกลายเป็นเหมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของสามี ไม่เคยมีตำราเล่มไหนบอกว่าเช่นที่พระชายากล่าวเลยนะเพคะ”
“นี่เจ้า!”
เสวี่ยเหมยมือยกมือขึ้นทำท่าจะฟาดตบข้าเช่นเดียวกับสาวใช้ของนางที่ยืนขึ้นค้ำหัวของข้า
“เอาเวลาหาเรื่องหม่อมฉันไปประจบพระสวามีของตนเองไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ แก้ที่ต้นเหตุอย่างไรย่อมดีกว่าลงมือที่ปลายเหตุ...จริง ๆไหมเพคะพระชายารอง”
ถึงแม้ในนิยายมิได้ลงรายละเอียดในฝั่งตัวร้ายอย่างอ๋องสามแต่มีบางบทกล่าวถึงพระชายารองผู้นี้บ้างว่าเป็นหลานของฮองเฮาจึงมีโอกาสตกแต่งข้ามาเป็นพระชายาของจวนท่านอ๋องสาม
แต่บุรุษที่มีเงามืดในใจมากมายอย่างอ๋องสามน่ะหรือจะมีความรัก นางจึงเป็นพระชายารองแค่ในนาม
ดีหน่อยที่มิมีสตรีอื่นแต่งเข้ามาหลังจากนางอีกเลย
พอข้ามาปรากฏตัวจึงเกิดหวาดระแวงข้ากระมัง
“นี่เจ้า!”
ข้าชักสีหน้ารำคาญอีกฝ่ายเต็มทน ที่อีกฝ่ายไม่เข้ามาตบข้าคงเป็นเพราะสาวใช้ของนางที่ดูมีสติปัญญาอยู่บ้าง
นางช่วยยั้งไว้เพราะรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
ผู้เป็นนายข้ามิได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด แต่สาวใช้ผู้นี่สิน่าจะไม่ธรรมดา ข้าอยู่ในอาณาเขตของผู้อื่นจึงไม่ควรประมาทเกินไป
“พระชายารองเพคะ ท่านอ๋องสามกำลังทำงานอยู่ในห้องหนังสือ ขนมบ่าวเตรียมไว้ให้แล้วเดี๋ยวจะโดนลมไม่อร่อยนะเพคะ รีบนำไปให้ท่านอ๋องสามดีไหมเพคะ...อย่าสนใจนางเลย”
ข้าพยักหน้า “อืม ข้าเห็นด้วย”
พวกนางจึงหันมาเหลือกตาใส่ข้า
“จริงสิ ข้าสมควรไปหาท่านพี่ดีกว่าสนใจพวกชั้นต่ำแถวนี้” นางเดินสะบัดก้นผ่านข้าไป ส่วนข้าทำเพียงหันกลับมาทอดสายตามองสายธารเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์
วันนี้โชคร้ายไปหน่อยดันเลือกมานั่งที่ศาลาซึ่งเป็นทางผ่านไปห้องหนังสือของท่านอ๋องพอดีเลยได้รับมลพิษทางเสียงไปเต็ม ๆ
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล
“ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย
ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน







