LOGINบทที่ 5
หกวันผ่านไปอย่างรวดเร็วงานจัดแข่งขันล่าสัตว์สำหรับวัดฝีมือของเหล่าบุรุษในราชวงศ์มาถึงเสียที
ข้าซึ่งเป็นผู้วิเศษจึงได้รับคำเชิญให้ร่วมงานด้วยอย่างมิต้องสงสัย
ในระหว่างที่ถงเอ๋อร์กับนางกำนัลที่ถูกส่งมาให้ข้าเฉพาะกิจช่วยกันแต่งตัวให้ข้าด้วยชุดที่ทางผู้ดูแลวังในส่งมาให้นั้นข้าก็นั่งเหยียดแข็งเหยียดขาให้พวกนางแต่งอย่างว่าง่าย
อาภรณ์ที่พวกนางนำมาให้เป็นเสื้อผ้าเนื้อดีเลิศอยู่แล้ว ทั้งชุดถูกถักทอจากไหมสีชมพูทั้งชุดและตัดให้ดูหวานขึ้นอีกด้วยการปักลวดลายดอกเหมย บริเวณรอบชายแขนเสื้อถูกออกแบบให้เป็นพวงเล็ก ๆ ดูน่ารักล้ำสมัยในเวลาเดียวกัน
ข้ามองชุดนั้นตาปริบ ๆ ให้ตายเถอะถึงใครจะว่าสวยเช่นไรข้าไม่มีทางใส่เด็ดขาด
“เปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าไม่มีทางใส่ชุดนี้อย่างแน่นอน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรข้าก็ไม่ใส่”
“ทำไมหรือเจ้าคะ ชุดนี้ทั้งงดงามและน่ารัก เนื้อผ้าโปร่งแต่ไม่บางจนเกินไป ลายปักเย็บก็งดงามนะเจ้าคะ ทั้งหมดทั้งมวลดูประณีตสวมชุดนี้เข้างานใหญ่ ในงานมีแต่ตระกูลสูงศักดิ์ขึ้นไปถึงเหล่าราชวงศ์ ใส่ชุดนี้จะมิโดนผู้ใดดูหมิ่นนะเจ้าค่ะ”
เป็นถงเอ๋อร์ที่ใจเย็นอธิบายให้ข้าฟังอย่างมีเหตุผล ส่วนอีกนางกำนัลหนึ่งน่ะหรือตั้งแต่นำชุดเข้ามาให้ข้าแล้ว นางผู้นี้ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ราวกับไม่อยากรับใช้ข้าเสียอย่างนั้นแหละ
ข้ามิสนใจในสิ่งที่ถงเอ๋อร์พูด ข้ายืนกรานอย่างไรก็อย่างนั้น
“เจ้าน่ะนำไปเปลี่ยนให้ข้าหน่อย ตัวนี้ข้าไม่ชอบข้ามิชมชอบสีหวานเช่นนี้”
ข้าบอกนางกำนัลข้างหลังถงเอ๋อร์ที่ลับหลังข้าก็แทบอยากกินศีรษะข้าอยู่รอมร่อ คงเห็นว่าข้าเป็นสาวบ้านป่าแล้วยังไม่รู้จักเจียมตนเรื่องมากอยากได้อยากได้นู่นอยากได้นี่ล่ะกระมัง
ข้าสะใจยิ่งนักเวลามองคนที่ถึงแม้เกลียดแต่ก็ทำอันใดไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งเขา
นางกำนัลผู้นั้นหยิบชุดสีชมพูหวานกลับออกไปจากห้อง การเดินเหินของนางรุนแรงราวกับกระทืบเท้าเดิน
ถงเอ๋อร์ที่กำลังทำผมให้ข้ามองสบตาข้าผ่านกระจกด้วยแววตาคลางแคลงสงสัยในการกระทำเมื่อครู่ของข้า
“ท่านผู้วิเศษแกล้งนางหรือเจ้าคะ ท่านมีประสงค์จะทำอันใดหรือ...ปกติท่านมิใช่คนเลือกมากนี่เจ้าคะ”
ข้ายิ้มมีเลศนัยให้นางผ่านกระจกเช่นกัน รอยยิ้มของข้าเวลาจะบอกว่าหวานก็หวานหยาดเยิ้มทว่าหากมองดี ๆภายใต้ความหวานนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
“เจ้านี่รู้ใจข้าเหลือเกิน อย่าคิดมากเลย ข้าก็แค่อยากสั่งสอนคนชอบดูถูกชาติกำเนิดคนอื่นก็เท่านั้นเอง อย่าได้ใส่ใจ อืม ข้าไม่ใส่ปิ่นทองนั่นนะ ที่ติดผมนั่นก็เหมือนกันมันดูเชย และแก่ไม่เหมาะกับใบหน้าข้าสักนิด”
“แต่ว่าหากไม่ใส่เลยผมท่านจะโล่งจนเกินไปนะเจ้าคะ หากแต่งตัวน้อยกะ...”
“แต่งตัวน้อยเกินไปจะเป็นการดูถูกสถานที่และฝ่าบาท ข้ารู้ข้อนั้นดีเถิดน่า เอาอย่างนี้ เจ้าไปนำดอกเหมยที่เราไปเก็บกันเมื่อวานมาประดับให้ข้าสิ”
“เอ่อ แต่ว่า...”
“ถงเอ๋อร์ ไปเร็ว”
“เจ้าค่ะ ๆ”
ถงเอ๋อร์เดินหายไปในอีกห้องเพื่อทำตามคำสั่งข้า ส่วนนางกำนัลนางที่ถูกข้าสั่งให้ไปเปลี่ยนชุดก็เดินหน้าตึงเข้ามาพร้อมชุดใหม่ในมือ
ข้าไม่ได้ให้ความสนใจนางเท่าไหร่นักโบกมือให้นางวางชุดสีเขียวที่เอามาไว้บนตั่งตรงหน้านางนั่นแหละ
“ขอบใจมาก เดี๋ยวข้าเปลี่ยนเอง เจ้าไปเถอะ”
นางกำนัลผู้นั้นหากมีปีกคงรีบบินออกจากห้องข้าไปเลยทีเดียว ในขณะที่ข้าอยู่ในห้องแต่งตัวอยู่
ด้านนอกตำหนักเสียงซุบซิบเรื่องนิสัยเย่อหยิ่ง เรื่องมากเป็นนิจของผู้วิเศษคนใหม่ค่อย ๆ ถูกถ่ายทอดจากนางกำนัลในตำหนัก ต่อไปที่ตำหนักข้างเคียง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เรื่องเล่าเป็นตุเป็นตะเกี่ยวนิสัยไม่ดีของผู้วิเศษคนใหม่ก็แพร่ก็กระจายไปทั่ววังหลวง
คำเล่าลือถูกแต่งเติม ดัดแปลงจนไม่รู้สิ่งใดจริงสิ่งใดแท้ถูกถ่ายทอด แต่ที่แน่ ๆ ชื่อเสียงทางด้านนิสัยไม่ดีของเซียวเฟยเจินได้ถูกคนรับรู้กันไปกว่าครึ่งเสียแล้ว
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล
“ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย
ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน







