LOGIN“หลายปีมานี้ เจ้าสบายดีหรือไม่” หยางเหวินเย่ถามพลางลุกขึ้นนั่ง เขาแตะที่ข้อเท้าของตนเบา ๆ มันค่อนข้างจะบวมแดง แต่ก็คงไม่ถึงกับหัก
“ท่านพี่เจ็บข้อเท้าหรือเจ้าคะ”
เจ้าของน้ำเสียงร้อนรนคว้าตะเกียงขยับเข้าใกล้ ดวงตากลมโตวูบไหว แสดงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่ทำให้คนมองต้องตกตะลึง กลับมิใช่การขยับตัวเข้าใกล้ของภรรยาอัปลักษณ์
ดวงตาสีน้ำผึ้งของนางงดงามยิ่งนัก!
“เล็กน้อยเท่านั้น”
ทว่าเถียนเถียนมิยอมฟัง หายตัวไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำสะอาด นางค่อย ๆ ทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง ทั้งข้อเท้าข้างที่เจ็บและไม่เจ็บ ล้วนทะนุถนอมดูแลดีมิต่างกัน
หลังจากนั้นก็ทายาบรรเทาอาการบวมช้ำอย่างเบามือ ลืมนึกไปว่าอาการเจ็บปวดเพียงน้อยนิด คงมิได้ระคายความรู้สึกของท่านแม่ทัพที่ผ่านศึกสงครามมา
“เอาไว้มะรืนนี้ค่อยประคบร้อนเพื่อลดบวม ท่านพี่อดทนหน่อยนะเจ้าคะ”
“มิเจ็บมากนัก...”
“เจ็บน้อย เจ็บมาก ก็คือเจ็บ ท่านพี่พักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ เถียนเถียนจะคอยดูแลท่านพี่เอง”
ดวงตาของนางปริ่มคล้ายว่าจะร้องไห้เต็มทีแล้ว ตั้งแต่หยางเหวินเย่เกิดมายังมิเคยได้รับการเอาใจใส่ดูแลเช่นนี้มาก่อน ก็ให้รู้สึกชุ่มฉ่ำในหัวใจมากอยู่เหมือนกัน
ทว่าก็ยังรู้สึกขัดใจที่นางมิใช่หญิงงาม คงจะเติมเต็มความปรารถนาทางกายให้เขามิได้
ต่อให้ดวงตาคู่นั้นจะมีเสน่ห์อย่างมากก็ตามที
“เถียนเถียน”
“เจ้าคะ ท่านพี่” นางรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง หลังจากล้มตัวนอนไปได้เพียงหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที)
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถาม หลายปีมานี้ สบายดีหรือไม่”
“เถียนเถียนสบายดี ท่านพ่อท่านแม่เมตตาข้าและจางฉวนมาก มิต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว”
“จางฉวนคือผู้ใดกัน” หยางเหวินเย่มิเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องตวัดเสียงใส่นาง โชคดีที่ดับตะเกียงไปแล้ว มิเช่นนั้นภรรยาคงจะคิดไปว่าสามีกำลังแสดงอารมณ์หึงหวงไม่พอใจอยู่
“บ่าวที่อยู่ในกระโจมแม่ทัพกับเถียนเถียนตั้งแต่ต้น ท่านพี่พอจะจำได้หรือไม่” นางกล่าวเสียงใส แสดงออกชัดเจนว่าสนิทสนมกับบ่าวคนที่ว่าค่อนข้างมาก
“จำได้ เจ้านอนเถิด วันพรุ่งนี้เราค่อยสนทนากันต่อ”
ภรรยาของหยางเหวินเย่รับคำอย่างว่าง่าย คืนเดือนมืดทำให้เขามองมิเห็นหน้านาง กระนั้นผ้าผืนบางก็ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ป้องกันมิให้ผู้เป็นสามีลำบากใจยามต้องอยู่ใกล้ ๆ กัน
แม่ทัพหนุ่มใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลายชั่วยาม ซ้ำยังดื่มสุราในปริมาณมาก พอได้ล้มตัวลงบนเตียงที่คุ้นเคยก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว มิได้สนใจแผลบริเวณศีรษะหรืออาการบวมบริเวณข้อเท้าของตนอีก และในระหว่างเขาที่กำลังหลับฝันถึงนางสวรรค์ผู้นั้นอยู่นั้น ภรรยาอัปลักษณ์กลับใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เถียนเถียนข่มตามิหลับแทบจะตลอดคืน!
เสียงเหล่าสกุณาร้องเรียกบุรุษร่างสูงให้ได้สติ แต่กว่าเขาจะพร้อมลุกออกจากเตียง ดวงตะวันก็แทบจะตรงศีรษะเสียแล้ว หยางเหวินเย่กวาดตามองดูโดยรอบ พบว่าห้องของเขามิได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เครื่องเรือนยังเป็นของดั้งเดิม มีเพียงตู้เสื้อผ้าที่เดาเอาเองว่าเป็นของภรรยาเพิ่มเติมมาตู้หนึ่ง และอีกประการที่เปลี่ยนไป นั่นคือกลิ่นหอมราวกับดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่โดยทั่ว
กลิ่นของเถียนเถียน...
หากดวงหน้าของภรรยางามได้สักครึ่งหนึ่งของกลิ่น หยางเหวินเย่ก็คงจะพออดทนทำหน้าที่สามีก่อนจากกันได้
“มีใครอยู่หรือไม่” หลังกล่าวเรียกได้เพียงชั่วอึดใจ บ่าวชราหน้าตาคุ้นเคยก็ปรากฏตัวเตรียมรับใช้ และพอทราบว่าเจ้านายต้องการอาบน้ำ จึงแจ้งไปว่าคุณหนูเถียนเถียนได้จัดการเตรียมน้ำร้อนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
หยางเหวินเย่นิ่วหน้ายามลงน้ำหนักเตรียมเดินไปยังห้องอาบน้ำ ชัดเจนแล้วว่าข้อเท้าได้รับการกระทบกระเทือนมากกว่าที่คิด และหากเดินไม่ระวัง อาการก็คงจะหนักกว่านี้มาก เห็นทีหลังอาบน้ำ คงจะต้องวานให้ท่านพ่อช่วยตามหมอยามาดูอาการสักหน่อย
ทว่ายังมิทันได้ก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่ง ภรรยาอายุสิบเก้าปีก็รีบตรงเข้ามาประคอง
เถียนเถียนสอดแขนโอบรอบเอวของสามีอย่างชำนาญ ก่อนจะนำแขนของเขามาพาดที่บริเวณไหล่ เพื่อช่วยมิให้บุรุษที่นางรักลงน้ำหนักบริเวณข้อเท้ามากจนเกินไป เมื่อเช้านี้นางแอบสำรวจดูแล้วพบว่ามันกำลังบวมช้ำ จึงขอให้ท่านพ่อสามีช่วยตามหมอในช่วงบ่าย เพราะคิดไปว่าท่านพี่ของนางคงจะมิตื่นเช้านัก
เถียนเถียนเดามิผิดนัก...
“ท่านพี่ค่อย ๆ เดินนะเจ้าคะ อย่าลงน้ำหนักที่เท้าให้มากจนเกินไปนัก”
“ใครสอนเจ้าหรือ เถียนเถียน” หยางเหวินเย่เอ่ยเรียกภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จะเพราะรู้สึกผิดที่ละเลยนางนานนับห้าปี หรือซาบซึ้งในความเอาใจใส่ก็ยากจะเดาได้
“สองปีที่แล้วท่านพ่อตกม้าเจ้าค่ะ เถียนเถียนคอยมองดูท่านหมอรักษา เลยพอจะได้ความรู้มาบ้าง” ภรรยายังสาวหลุดปากกล่าวดังนั้นก็พลันต้องเงียบเสียงไป
“ท่านพ่อตกม้า! แล้วเหตุใดจึงไม่มีคนส่งข่าวให้ข้า!” หยางเหวินเย่กระชากเสียงถาม
“งานราชการในเมืองหลวงยุ่งยาก ท่านพ่อจึงไม่อนุญาตให้ส่งข่าวเจ้าค่ะ”
เสียงสั่นสะท้านของภรรยาที่ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้ผ้าคลุม ทำให้หยางเหวินเย่ได้สติ เขาควรจะขอบคุณนางที่คอยดูแลบิดามารดาตลอดห้าปีที่ผ่านมา มิใช่ขู่ตะคอกจนนางขวัญกระเจิง
พอเผลอตัวดุด่าราวกับภรรยาเป็นเพียงแค่บ่าวในบ้าน บุรุษผู้มิชื่นชอบในการเอ่ยคำขอโทษก็เลือกที่จะเงียบเสียง ปล่อยให้เวลาทำหน้าที่คลี่คลายบรรยากาศอึดอัด แต่พอก้าวขาจนถึงห้องน้ำ หยางเหวินเย่ก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะประทับใจกับภาพที่เห็นเสียเต็มทน
“ท่านพี่ต้องระวังมิให้ข้อเท้าถูกน้ำอุ่น” เถียนเถียนทราบดีว่าท่านพี่คงมิสามารถแบกรับน้ำหนักของตนขณะก้าวขาลงถังไม้ จึงตระเตรียมเก้าอี้ให้ได้นั่งระหว่างอาบน้ำชำระร่างกาย ทั้งยังขยับข้าวของเครื่องใช้ มิให้อยู่ห่างจากมือให้มากจนเกินไปนัก
“ข้าจะรอท่านพี่อยู่ด้านนอกนะเจ้าคะ” นางกล่าวหลังจากช่วยจัดการถอดเสื้อผ้าตัวนอกให้กับสามี
“บอกท่านพ่อตามหมอให้ข้าที”
“ท่านหมอจะมาถึงในช่วงบ่ายเจ้าค่ะ”
คล้ายกับว่าเถียนเถียนจะรู้ใจเขาไปเสียทุกอย่าง คนที่พูดน้อยจึงไม่ต้องจำเป็นต้องเอ่ยปากสอบถามอะไรกันให้มากความ ทว่าพอถึงจังหวะที่ต้องทำความสะอาดผมที่เปรอะเปื้อน ก็รู้สึกมิค่อยสะดวกนัก หยางเหวินเย่จึงจำต้องร้องเรียก ขอให้ผู้รออยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยเหลือจัดการ
“ข้ามิค่อยถนัดนัก”
เถียนเถียนมิรอฟังคำอธิบายว่าเหตุใดท่านแม่ทัพหน้าดุจึงอาบน้ำเองไม่ค่อยถนัด นางเคยได้ยินมาว่าเขารับเลี้ยงอนุภรรยาไว้จำนวนมาก และสตรีเหล่านั้นคงจะคอยดูแลกันอย่างมิขาดตกบกพร่อง มือเรียวขยับอย่างคล่องแคล่ว จัดการนำน้ำซาวข้าวที่หมักเป็นเวลาสองวัน ทำความสะอาดเส้นผมสีดำสนิทของสามีอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะล้างด้วยน้ำลอยดอกไม้หอมกรุ่นจนสะอาดเรียบร้อยดี แล้วจึงกลับออกไปรอด้านนอกดังเดิม
หยางเหวินเย่มิได้เปลือยกายทั้งหมด ทว่าแผ่นอกกว้างก็ทำหัวใจของภรรยาเต้นมิเป็นจังหวะ พบเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม เถียนเถียนก็ได้ชิดใกล้บุรุษที่นางเฝ้ารอเสียแล้ว!
“พี่ไล่นางออกจากร้านด้วยคำที่ไม่เสนาะหูเลยไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง...ชิงชิง พี่ไม่ได้กอดเจ้าตั้งหนึ่งคืน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”นอกจากคำหวานของตวนอ๋องจะไม่ลดลงแล้ว ความหนาบนใบหน้ายังเพิ่มมากขึ้นตามอายุอีกด้วย เขาอยากกอดพระชายาคนงามยามใดก็กอด อยากหอมยามใดก็หอม เหลือจูบเท่านั้นที่ยังละเว้นไว้ในยามอยู่ตามลำพังแค่สองคน“คิดถึงท่านพี่เช่นกันเจ้าค่ะ”“แค่คิดถึงเท่านั้นหรือ ไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ” เฉินฟาหยางดึงคนงามมานั่งตักอย่างระมัดระวัง มือหนาลูบครรภ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอมรักใคร่ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มีความสุขจนแทบกักเก็บมันเอาไว้มิได้แล้ว“รักเจ้าค่ะ ถามแทบทุกวันไม่เบื่อหรือเจ้าคะ”“นอกจากรักแล้วไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ ชิงชิงไม่คิดถึงหยางน้อย…”“ท่านพี่!” เสวียนซือชิงฟาดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างไม่จริงจัง พลางนึกต่อว่าเขาในใจว่าทำได้อย่างไร หวานซึ้งอยู่ดี ๆ กลับมีถ้อยคำลามกแฝงมาในประโยคเสียอย่างนั้นเอง“ก่อนกลับถึงบ้านพี่แวะถามท่านหมอแล้ว ครรภ์เจ้าแข็งแรงอย่างมาก ทั้งมิได้มีอาการแพ้หนักดังแต่ก่อน ท่านหมอกล่าวว่าเราสองคนสามารถกอดกันแน่น ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด”เสวียนซือ
“ท่านพี่เจ้าคะ ซือชิงเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่าต่อให้ท่านพี่แก่ชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ซือชิงก็จะยังรู้สึกดีกับท่านพี่ไม่แปรเปลี่ยน ยิ่งท่านพี่น่ารักกับซือชิงและลูกเช่นนี้ ต่อให้เหลือเพียงแค่กระดูกก็ตัดใจเลิกรักไม่ได้เจ้าค่ะ”“ชิงชิงปากหวานกับพี่อีกแล้ว...จริงสิ พี่มีเรื่องต้องแจ้งหนิงเอ๋อร์”เฉินฟาหยางยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ตรงเข้ามาทักทายบิดาและมารดาอย่างมีมารยาท ก่อนกวาดสายตาโดยรอบเพื่อมองหาคนที่คาดว่าจะได้พบเจอ“ท่านอาหลี่ของเจ้ามาไม่ได้ เขาจำต้องกลับไปจัดเตรียมงานมงคล แม้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่ว่าที่เจ้าสาวก็มีหน้ามีตา จึงต้องทำทุกอย่างให้สมเกียรติ”เฉินฟาหยางแจ้งต่อด้วยว่าคุณชายหลี่มีของฝากให้กับทุกคน กระทั่งอดีตสาวใช้สกุลหลี่อย่างเสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันก็ได้ด้วย เอาไว้หลังรับประทานมื้อเย็นแล้วค่อยตรวจดูในภายหลัง เสวียนหนิงอันได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังชัดเจน ก่อนขอตัวไปดูห้องครัวเผื่อว่าจะมีเรื่องอันใดให้นางฝึกทำได้บ้าง“เช่นนั้นซือชิงไปช่วยลูกดูครัวก่อนนะเจ้าคะ”“ไม่ให้ไป อยากให้ชิงชิงอยู่ปลอบใจพี่ก่อน”“ปลอบใจเรื่องใดหรือเจ้าคะ”“เรื่องที่พี่แก่แล้ว เรื่องที่พระชายา
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังทำให้พระชายาคนงามมิสบายใจ ยิ่งครรภ์ของนางใหญ่มากเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ยังมิใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้อารมณ์เสียอยู่ดี“หรือว่าท่านพี่เสียใจที่ยอมให้ข้ามีลูก...” เสวียนซือชิงอยากมีลูกอีกสองสามคน เจ้าก้อนแป้งเองก็อยากมีน้องด้วยเช่นกัน มิได้คิดว่าตนเองจะต้องเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวแต่อย่างใดเสวียนหนิงอันเติบโตอย่างงดงาม กลายเป็นสาวน้อยน่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นคุณหนูในห้องหอ ทั้งเค้าโครงความงามยังปรากฏตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยามนี้อายุได้สิบปีแล้ว มีดื้อดึงเอาแต่ใจไปบ้าง แต่โดยมากแล้วตวนอ๋องผู้เป็นบิดามักจะสั่งสอนและให้คำปรึกษาที่ดี เรียกได้ว่าบุตรสาวสนิทกับบิดามากกว่ามารดาเสียด้วยซ้ำไป“ว่าอย่างไรเจ้าคะท่านพี่”เสวียนซือชิงถามอย่างน้อยใจ นางทราบดีว่าตวนอ๋องมิต้องการให้นางตั้งครรภ์อีก โดยอ้างเหตุผลว่ากลัวนางไม่ปลอดภัย ครรภ์อาจไม่แข็งแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นคราวก่อน กว่าจะออดอ้อนให้เลิกดื่มยาเพื่อมิให้สตรีที่ร่วมหลับนอนตั้งครรภ์ได้ก็ใช้เวลานานหลายปี แต่นั่นก็ต้องแลกกับการดูแลตัวเองอย่างมากเพื่อให้
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรคืนนี้ซือชิงก็จะกอดท่านพี่ ไม่ปล่อยให้นอนบนเตียงตามลำพังอีกแล้ว”เสวียนซือชิงกดมือหนาลงบนเตียง มิยอมให้ตวนอ๋องโบกมือไล่เหมือนที่ผ่านมา ก่อนพาร่างที่สวมเพียงตู้โตวสีแดงสดที่เขาชอบ สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มอย่างใจเย็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ดิ้นหนีแล้ว...เขาปล่อยให้วงแขนเรียวพาดลงบนแผ่นอกกว้าง ทั้งยังโอบกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด กระซิบคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาละเมอกล่าวในทุกค่ำคืน“หอม ยอดรักของพี่หอมมากเหลือเกิน”“ท่านพี่...”เสวียนซือชิงได้ยินเขากล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็ดีใจแทบร้องไห้ แต่ยังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้เพราะมิอยากให้น้ำตาแห่งความดีใจ ปลุกบุรุษที่ต้องพักผ่อนให้มากตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันสมควร“หายเร็ว ๆ นะเจ้าคะ ซือชิงกับลูกคิดถึงท่านพี่จะแย่แล้ว”เสวียนซือชิงพร่ำบอกว่าจะดูแลจนกว่าจะหายดีและไม่หนีจากให้เขาต้องทรมานใจอีกแล้วเป็นเช้าที่อบอุ่นเหลือเกิน...เสวียนซือชิงขยับตัวเล็กน้อยก็พลันหยุดนิ่ง เมื่อคืนจำได้ดีว่านางหลับนอนในสภาพกึ่งเปลือย มีเพียงตู้โตวสีแดงที่บัดนี้หายไปจากร่างแล้ว เหลือเพียงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามารองรับดอกบัวคู่งามอย่างทะนุถนอมแ
สัญชาตญาณ...“พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถิด ข้าจะดูแลท่านอ๋องเอง”เสวียนซือชิงไม่ลืมกำชับเสี่ยวผิงว่าให้อธิบายเจ้าก้อนแป้งให้ดี แม้หลายวันที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังท่านอาหลี่ที่ยอมเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกวัน แต่เรื่องความรู้สึกของเด็กนั้นต้องระวังให้มาก เพราะในวัยนี้อาจคิดแต่ไม่ยอมพูด ต้องสังเกตใกล้ชิดว่าต้องการสิ่งใด เรื่องนี้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นผู้สอนนางด้วยตนเอง“ท่านพี่เจ้าคะ...ซือชิงขออนุญาตล่วงเกินท่านพี่นะเจ้าคะ” นางยกถ้วยจรดริมฝีปากและกักเก็บยาขมเอาไว้ ก่อนใช้กำลังบีบแก้มตอบของคนป่วยแน่น นับเป็นเรื่องดีที่เขายังไม่ฟื้นคืนสติจึงขัดขืนมิค่อยได้เสวียนซือชิงทาบจูบลงบนกลีบปากแห้งแตก ปล่อยให้ยาสมุนไพรล้ำค่าค่อย ๆ ไหลลงคอของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง แม้หกเลอะเทอะไปบ้างแต่ก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร นางทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคนป่วยก็นอนนิ่งไม่ผลักไสแล้ว“ซือชิง...ชิงชิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นไม่ต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา ยามกลางวันเขามักนอนเงียบ เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับ พอตะวันลับขอบฟ้าค่อยมีอาการกระสับกระส่าย บางครั้งหอบหายใจแรงและพลิกตัวไปมาคล้ายนอนหลับไม่สบายตัวนอนหลับไม่สบาย...‘ได







