บทที่ 5 ฮูหยินจวนสกุลหาน
หานอี้หลงและหยางชิวเหยาแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังโถงใหญ่เพื่อคำนับหานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิง บิดาและมารดาของหานอี้หลง
หานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิงนั่งรอคนทั้งสองที่โต๊ะกลางโถงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหานอี้หลงและหยางชิวเหยาย่างเท้าเข้ามาภายในห้องโถง ทั้งสองเดินตรงมายังด้านหน้า ก่อนจะย่อกายคำนับผู้อาวุโสอย่างสุภาพ
“คารวะท่านพ่อ...คารวะท่านแม่”
จากนั้นสาวใช้จึงนำแก้วชามายื่นให้หยางชิวเหยา นางยื่นแก้วชาให้หานอ้าวเว่ย จากนั้นจึงหยิบแก้วชาอีกถ้วยยื่นให้หานเซียงหนิงตามพิธี
“ข้าน้อยชิวเหยา ขอคารวะท่านพ่อ...ท่านแม่”
หานเซียงหนิงยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะรีบเข้ามาประคองหยางชิวเหยาอย่างเอ็นดู หญิงสาวตรงหน้าทั้งหน้าตางดงามหมดจด มารยาทและการวางตัวก็มิได้ด้อยไปกว่าคุณหนูตระกูลใด ทำให้หานเซียงหนิงรู้สึกยินดียิ่ง
“ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เกรงใจพวกข้าเลย...ต่อไปพวกข้าทั้งสองก็เป็นดั่งบิดามารดาของเจ้าแล้ว...ขอให้พวกเจ้าทั้งสองรักใคร่ปรองดองและรีบมีหลานหลายๆ คนให้ข้าอุ้มในเร็ววันก็พอ”
คำกล่าวเช่นนั้นทำให้หยางชิวเหยายิ้มเจื่อนขึ้นมา นางรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนักที่ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจากคนสกุลหาน และเรื่องที่หานเซียงหนิงกล่าวคำต้องการออกมานั้น ก็ยิ่งทำให้หยางชิวเหยารู้สึกอึดอัดและเกรงใจยิ่งนัก
“ท่านแม่...เหยาเอ๋อร์เพิ่งแต่งเข้ามา ท่านก็ยื่นภาระหนักให้นางเช่นนี้ นางจะมิอึดอัดใจแย่หรือ” หานอี้หลงรีบกล่าวหยอกเย้ามารดาของตน พร้อมมองหน้าหยางชิวเหยาอย่างต้องการให้กำลังใจ
“อี้หลง...เจ้านี่นะ...ชอบขัดความสุขแม่อยู่เรื่อย” หานเซียงหนิงค้อนขวับใส่บุตรชายของตนในทันที “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้ถือสาข้าเลย พวกข้าสองคนก็อายุมากแล้ว เวลานี้ความหวังเดียวที่มีก็คือการได้อุ้มหลานสืบสกุลเท่านั้น”
“หามิได้เจ้าค่ะท่านแม่”
“เอาละๆ...พวกเราเริ่มทานข้าวกันเถิด ข้าชักจะหิวแล้ว” หานอ้าวเว่ยรีบกล่าวตัดบทออกมา “มาๆ...ชิวเหยา...มานั่งเถิด ตอนนี้พวกเราก็เป็นคนกันเองแล้ว”
ทั้งสี่นั่งลงที่โต๊ะกลางห้องพร้อมร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน สีหน้าของคนสกุลหานนั้นยิ้มแย้มเบิกบานยิ่งนัก และด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองทำให้หยางชิวเหยาค่อยผ่อนคลายลงมากยิ่งขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น หานเซียงหนิงก็เรียกพ่อบ้านเข้ามา
“ชิวเหยา...ในเมื่อบัดนี้เจ้าเป็นฮูหยินน้อยของจวนสกุลหาน...ข้าเองก็แก่ชราลงมาอยากพักผ่อนเสียแล้ว เช่นนั้นต่อไปเรื่องภายในจวนสกุลหานก็ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน” หานเซียงหนิงกล่าวจบก็พยักหน้าให้พ่อบ้านในทันที
“ท่านแม่...แต่ว่าข้าเพิ่งเข้ามาในตระกูล เกรงว่าจะทำหน้าที่บกพร่อง” หยางชิวเหยารีบกล่าวแย้งออกมา มิใช่ว่าตนมิสามารถทำได้ แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของนางทำให้นางมิอยากผูกมัดตนเองกับสกุลหานมากนัก
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไป หากมีสิ่งใดติดขัดหรือสงสัยก็มาถามข้าก็พอ” หานเซียงหนิงกล่าวตัดบท จากนั้นพ่อบ้านก็ได้นำสมุดบัญชีมายื่นให้หยางชิวเหยาพร้อมกับกุญแจคลัง หยางชิวเหยาได้แต่จนใจ นางยิ้มบางออกมาพร้อมยื่นมือรับสิ่งของดังกล่าวเอาไว้ในมืออย่างไม่เกี่ยงงอน
หลังจากคำนับผู้อาวุโสเสร็จสิ้น หานอี้หลงและหยางชิวเหยาก็เดินกลับมาที่เรือนอีกครั้ง
“ท่านพี่...ภาระในเรือนแห่งนี้ข้าเห็นว่าข้ายังไม่สมควรได้รับ” หยางชิวเหยากล่าวความในใจออกมาอย่างมิปิดบัง
“เหยาเอ๋อร์...ตอนนี้เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็แก่ชราลงไปมาก อีกไม่กี่ปีท่านพ่อก็ต้องการปลดเกษียณและใช้ชีวิตเรียบสงบ...เจ้ารับหน้าที่นี้เถิด ถือเสียว่าช่วยผ่อนภาระให้มารดาของข้าอีกทาง”
“หากท่านพี่เห็นดี...เช่นนั้นข้าก็มิปฏิเสธเจ้าค่ะ” หยางชิวเหยารับคำออกมาในที่สุด อย่างน้อยนางก็สามารถใช้โอกาสนี้ทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณของสกุลหานให้ดีที่สุดก็เพียงพอ
“วันนี้ท่านพ่อและข้ามีนัดคุยธุระสำคัญกับท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วที่จวนโหว เจ้าช่วยข้าแต่งตัวหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะ” หยางชิวเหยารีบรับคำ ก่อนจะหันกายไปหยิบชุดไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูภูมิฐานกลับมา
หานอี้หลงทำเพียงยกสองแขนขึ้นกางบนอากาศพร้อมตีสีหน้านิ่งเฉยอย่างมิรู้สึกรู้สาอันใด ทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับเม้มปากแน่นอย่างขัดเคือง “ข้าจะให้สาวใช้เข้ามาแต่งกายให้ท่านก็แล้วกัน”
“เหยาเอ๋อร์...เจ้าจะใจร้าย ปล่อยปละละเลยข้าเช่นนี้หรือ” หานอี้หลงกล่าวพ้อออกมาด้วยมองหน้านางด้วยสายตาเว้าวอน
หยางชิวเหยานั้นจนปัญญาจะต่อปากต่อคำอีก จึงทำเพียงยกมือขึ้นปลดเสื้อด้านนอกของหานอี้หลงออก ก่อนจะค่อยๆ หยิบชุดที่นางได้เตรียมเอาไว้สวมใส่ให้หานอี้หลงอย่างว่าง่าย
สองมือบางที่บรรจงจัดแจงเสื้อผ้าบนร่างแกร่งอย่างพิถีพิถัน กับใบหน้าของคนทั้งสองที่ห่างกันเพียงคืบให้สัมผัสลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมาบนหน้านวล ทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม สัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นนี้แม้นางจะมิได้มีใจให้หานอี้หลง แต่นางก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่มิเคยใกล้ชิดกับบุรุษผู้ใดมาก่อนแม้แต่จางลู่เหวินเองก็ตาม ด้วยสถานะที่ห่างไกลกันมากยิ่ง ทำให้ที่ผ่านมาจางลู่เหวินมักจะปฏิบัติกับนางอย่างให้เกียรติอยู่เสมอ
หานอี้หลงยิ้มกริ่มอย่างมีความสุขเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายเช่นนี้ของหยางชิวเหยา ก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา “ข้าขอขอบคุณฮูหยินเป็นอันมาก”
หยางชิวเหยาถึงกับผงะถอยหลังไปทันที ก่อนที่นางจะล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ สองมือแกร่งก็กระวัดรัดเข้าที่เอวบางเอาไว้ ก่อนจะดึงเข้ามาปะทะกับแผงอกหนาอย่างอัตโนมัติ
“ฮูหยินซุ่มซ่ามเช่นนี้...ต่อไปข้าคงต้องระวังให้มากหน่อย” หานอี้หลงยังคงหยอกเย้านางอีกครั้งด้วยความอารมณ์ดี
หยางชิวเหยาได้แต่กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบการเกาะกุมดังกล่าว “ท่านพี่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ท่านรีบออกไปเถิด ท่านพ่อจะรอนานได้”
“หึ...หึ....” หานอี้หลงหัวเราะชอบใจออกมาก่อนจะหันกายเดินออกจากห้องไปในที่สุด
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน