LOGINต้นยามซวีลมหนาวจากทิศเหนือพัดกรูเข้าสู่มหานครฉงชิ่ง อาณาจักรต้าเว่ย เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนอีกครา...
ใต้แสงโคมแดงที่ไหวระริกในตำหนักจื่อเฉินในวังหลวงส่วนหน้า จนบังเกิดเงาสะท้อนบนผนังเป็นภาพแกะสลักแล่นไหวราวกับสัตว์เทพเหล่านั้นกำลังขยับเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา
ภายในโถงกว้างของตำหนักบัดนี้กลับไร้เสียงผู้คน ขันทีและมหาดเล็กถูกขับออกไปหมดสิ้นโดยเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ มังกรผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรยากาศจึงสงบและเป็นส่วนตัว
ในห้องในยามนี้มีสองร่างที่นั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้สลักมังกร ตรงกลางคือโต๊ะไม้แกะสลักมังกรคาบลูกแก้วสวรรค์ กลางโต๊ะมีป้านน้ำชาวางอยู่ ผู้หนึ่งวัยราวสามสิบตอนปลาย อีกผู้ราวหกสิบปี
ทั้งสองบุรุษ จะเป็นใครไปได้หากมิใช่ เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ‘จ้าวเจิ้งหรง’ และพระบิดาของเขา ‘จ้าวเหยียนจ้ง’ ไท่ซ่างหวง เอกบุรุษผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าฮ่องเต้ ทั้งสองขณะนี้กำลังนั่งเผชิญหน้าโดยมีชุดป้านน้ำชากับกระดานหมากล้อมอยู่ตรงกลาง
แม้เหยียนจ้งจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ดวงเนตรยังคมกริบราวเหยี่ยวเฒ่า แฝงอำนาจที่ทำให้แม้แต่โอรสอย่างเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยังต้องสำรวมกิริยายามอยู่ต่อหน้า ความเงียบหนักหน่วงเกาะกุมบรรยากาศอยู่ชั่วขณะ ก่อนไท่ซ่างหวงจะเอ่ยขึ้นด้วยสุรเสียงจริงจัง เต็มไปด้วยความกังวลและหนักใจ จนเขาต้องเสด็จมาพบบุตรชายในราตรีนี้
“ฮ่องเต้ ช่วงนี้เจ้าคงได้ยินข่าวลือจากหนานจิ้งมาบ้างกระมัง”
เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้เหลือบตามองบิดาที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามด้วยสายตายำเกรงถึงเจ็ดส่วน “เรื่องของจ้านเอ๋อหรือพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“ยังจะเป็นเรื่องใดไปได้อีก หากไม่ใช่เรื่องจ้านเอ๋อกับหมอหญิงผู้นั้น”
เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์แน่นอยู่ชั่วอึดใจหลังฟังคำกล่าวของไท่ซ่างหวงพระหัตถ์กำแนบเข่าอย่างใช้ ความคิด เพราะเขาเองก็ได้ยินมาไม่ต่างกัน
“เจียงเพ่ยหยูผู้นี้แต่เดิมข้ายังคิดว่านางจะเจียมตัวให้มากหน่อย ที่ไหนได้ผ่านไปสามปีสตรีนางนี้กับคิดการใหญ่หวังสูงเกินไปแล้ว”
ข่าวลือหนาหูช่วงนี้ก็ไม่มีอันใดมากเป็นเรื่องของไท่จื่อกับหมอหลวงหญิงเจียงที่มีใจ"ปฏิพัทธ์"จนคนทั้งใต้หล้ากล่าวขวัญ ต้นเหตุคงเป็นเมื่อห้าเดือนก่อนต้นฤดูฝนแคว้นหนานจิ้งหนึ่งในห้าแคว้นใหญ่ของต้าเว่ย เกิดน้ำท่วมใหญ่ พอน้ำลดจึงเกิดโรคระบาด
ไท่จื่อ ‘จ้าวเฉินจ้าน’ เขาเก่งกาจวิชาแพทย์มาตั้งแต่หกขวบบัดนี้เขาอายุยี่สิบสามย่อมเชี่ยวชาญความรู้อยู่ในขั้นปรมาจารย์การแพทย์มาสามปีจึงอาษานำคณะหมอหลวงกับยาสมุนไพรพร้อมเสบียงไปช่วยบรรเทาทุกข์เมื่อสามเดือนก่อนเป็นชุดแรก
พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเดือนก่อนระหว่างตรวจรักษาคนป่วย มิคาดไท่จื่อเฉินจ้านกลับถูกงูพิษกัดซึ่งพอดีกับวันนั้นมีหมอหลวงหญิงเจียงเพ่ยหยูติดตามมาด้วย นางไม่เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด แต่กลับรอบรู้ด้านพิษงู วันนั้นหากไม่มีนาง จ้าวเฉินจ้านคงได้หวนคืนสวรรค์ไปพบบิดามารดาของเขาแล้ว ทำให้หลังผ่านความตาย ไท่จื่อหนุ่มจึงสนิทสนมกับเจียงเพ่ยหยูจนมีข่าวลือมาถึงฉงชิ่งได้หลายวันแล้ว
“สตรีนางนั้นเป็นสายเลือดกบฏแม้แต่ฐาณะสตรีอุ่นเตียงยังเป็นมิได้เจ้าคงถ่องแท้กระมังฮ่องเต้”
ขณะกล่าวแววตาของไท่ซ่างหวงหรี่ลงทีละน้อย ส่วนเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้เองฟังจบเขาพลันถอนหายใจ
“หม่อมฉันเองก็ได้ข่าวมาเช่นกัน ความจริงตั้งแต่ที่เมืองหลวง เพ่ยหยูผู้นั้นก็พยายามจะเข้าหาจ้านเอ๋ออยู่ตลอด แต่ฟังว่าคราวนี้นางทำสำเร็จเสียแล้ว เป็นความผิดของลูกเองเสด็จพ่อ”
ทั้งสองต่างรู้…ที่แท้หญิงนางนั้นหาใช่ ‘เจียงเพ่ยหยู’ หากคือ ฮั่วเพ่ยหยู บุตรีตระกูลฮั่วขุนนางกบฏที่ถูกประหารล้างโคตรเมื่อสามปีก่อน วันนั้นหากมิใช่เพราะเจียงกุ้ยเฟยร่ำไห้ขอชีวิตหลานสาว อีกทั้งเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้กำลังลุ่มหลงรูปโฉมของเจียงกุ้ยเฟยจนใจอ่อน หัวของเด็กสาวคนนั้นคงหลุดจากบ่าไปนานแล้ว และเพราะกำลังลุ่มหลงท้ายที่สุดจึงอนุญาตให้นางเปลี่ยนแซ่ โยนไปอยู่ในความอุปการะของเจียงกุ้ยเฟยที่ตำหนักหลิงอวี่ในใครจะคิดสองปีต่อมานางจะกลายเป็นหมอหญิงและคอยแต่จะติดตามจ้าวเฉินจ้านไท่จื่อไปไกลถึงหนานจิ้งเช่นนี้ ผิดนี้คงมีแต่เขาที่ต้องรับเอาไว้
“หึ…” ไท่ซ่างหวงแค่นเสียงต่ำ สีพระพักตร์มืดหม่นทันควัน
“สกุลฮั่ว…คือเสี้ยนหนามในหัวใจของพวกเราสกุลจ้าว พวกมันสมคบคิดกับฝ่ายศัตรูเช่นเผ่าซยงหนูจนเราเกือบเสียดินแดนแคว่นตงเว่ยไปประหารล้างทั้งตระกูลข้ายังคิดว่าน้อยไปแต่ที่น่าเจ็บใจคือเรายังหาพรรคพวกของที่เหลือไม่พบ”
ไท่ซ่างหวงเว้นจังหวะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะวางแล้วกล่าวต่อเสียงเนิบช้า “ดังนั้นมิใช่ความผิดของเขาที่ใจอ่อนยอมตามคำร้องเจียงกุ้ยเฟยไว้ชีวิตนางเด็กสาวผู้นั้น”
“เสด็จพ่อหมายความว่า...” เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้คาดไม่ถึงว่าบิดาตนเองจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไว้ชีวิตบุตรสาวคนสุดท้ายของสกุลฮั่ว
“เจ้าเข้าใจถูกแล้วฮ่องเต้เป็นข้าที่ละเว้นนางเพราะคิดว่าเพ่ยหยูอาจนำพาคนของพวกเราสืบไปถึงสกุลที่ร่วมมือกับสกุลฮั่วในเมืองหลวงมิเช่นนั้นนางคงหัวหลุดไปแล้ว ทว่าดูสิ ขนาดข้าคิดรอบคอบคราวนี้กลับยังเดินหมากผิดไปก้าวหนึ่งนางเหิมเกริมคิดปีนเตียงอาจ้านของพวกเราแล้ว”
ฟังจบเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเปลวไฟที่โยกสั่น พระโอษฐ์เม้มแน่นอย่างไม่คิดไม่ตกตลอดเขารู้ว่าบิดาฉลาดล้ำลึก แต่มิคาดคราวนี้แม้แต่บิดาของเขายังเสียทีเจียงเพ่ยหยู หญิงสาววัยยี่สิบปีผู้นั้น เช่นนี้หลานชายจิตใจดีเช่นจ้าวเฉินจ้านยังจะไม่ตกหลุมพรางของนางได้หรือ?
“สองปีที่ผ่านมา ลูกเองก็ให้คนเฝ้าสังเกตนางเช่นกัน หากกลับไม่เคยพบเล่ห์เหลี่ยมหรือมารยาร้าย มิคาดเลยว่าเพ่ยหยูจะทะเยอทะยานใฝ่สูงหมายปองทายาทรุ่นต่อไปของต้าเว่ย”
“เจ้าแน่ใจหรือฮ่องเต้” ไท่ซ่างหวงถามแล้วหรี่ดวงตาลงสามส่วน ขณะที่มือแกร่งยกถ้วยน้ำชาขึ้นเป่าไล่ไอร้อน
“เอ่อ...”
จ้าวเจิ้งหรงมิอาจกล่าวออกมาแม้แต่ประโยคเดียวเพราะคิดได้ถึงเหตุการณ์สองสามครั้งเมื่อปีก่อนดูเหมือนบังเอิญจนเขาไม่ทันเอะใจ แต่พอบิดาเอ่ยให้เขาคิดจ้าวเจิ้งหรงจึงค่อยคิดได้ คล้ายกับเจียงเพ่ยหยูจะพยายามเขาหาเขา แต่เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรกับนางและพอดีกับปีก่อนเขาและบิดาได้สถาปนาให้จ้าวเฉินจ้านขึ้นเป็นองค์ไท่จื่อตามสัญญาที่เคยให้กับอดีตไท่จื่อคนเก่าผู้เป็นบิดาของเฉินจ้านและพี่ชายของเขาว่าพอเฉินจ้านอายุเต็มยี่สิบสองเขาจะแต่งตั้งหลานชายคนนี้เป็นองค์รัชทายาทของต้าเว่ย
เนื่องจากเดิมทีเขาเป็นองค์ชายรองต่อไปหลังเปลี่ยนแผ่นดินย่อมมีฐานะต้องเป็นชินอ๋อง ส่วนพี่ชายของเขา ‘จ้าวจื่อฉี’ องค์ชายใหญ่นั้นพออายุเต็มสิบหกก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นไท่จื่อ อนาคตแน่นอนคือฮ่องเต้พระองค์ต่อไป แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้น หลังจ้าวเฉินจ้าน เกิดได้สามวันมารดาของเขาก็จากไป พอสามขวบ ในเทศกาลเพราะปลูกเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ หยวนตี้ฮ่องเต้หรือก็คือไท่ซ่างหวงบิดาของเขาขณะนี้ ไท่จื่อจ้าวจื่อฉีเอาตนเองรับธนูเหลือบยาพิษแทนพระบิดา
ก่อนเขาสิ้นใจสิ่งเดียวที่พี่ชายของเขาต้องการก็คือ ต่อไปเฉินจ้านต้องได้เป็นฮ่องเต้ เขาและหยวนตี้ฮ่องเต้รับปาก ไท่จื่อก็สิ้นใจทันที หลังจากพิธีพระศพ หยวนตี้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ ยกให้เขาสืบต่อเป็นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ซึ่งเขาและบิดามีสัญญาใจกันเงียบๆ นับจากนั้น โดยที่ไม่มีใครรู้ จนเมื่อหนึ่งปีก่อนเพราะอยากปกป้องจ้าวเฉินจ้านจากพวกคิดไม่ซื่อ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้คิดตกจึงค่อยกล่าวออกมาสองสามประโยคก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“คราวแรกนางพุ่งเป้าหมายเป็นเจ้า แต่พอเห็นว่าอาจ้านมีทั้งเจ้าและข้าหนุนหลังแถมอาจ้านจิตใจดีและอ่อนโยนคงชักจูงง่ายเพ่ยหยูจึงเปลี่ยนเป้าหมาย”
ไท่ซ่างหวง กล่าวออกมาให้เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยิ่งมองเจียงเพ่ยหยูถ่องแท้ขึ้น หลายปีมานี้บุตรชายของเขาคนนี้ยังมองมารยาสตรีไม่กระจ่าง
“ฮ่องเต้เจ้ารู้หรือไม่ สิ่งที่น่าหวั่นเกรงที่สุดมิใช่ศัตรูภายนอกเท่านั้น แต่คือสตรีในวังหลังเองก็มิธรรมดา หากวันใดเจียงเพ่ยหยูครองหัวใจอาจ้านได้หมดจดนั่นย่อมหมายถึงหายนะของราชสกุลจ้าวของพวกเรามิภัยร้ายแล้ว”
หลังไท่ซ่างหวงกล่าวจบบรรยากาศภายในห้องยิ่งหนักอึ้งและเย็นยะเยือก ทั้งสองพ่อลูกสบตากัน เงียบงันชั่วอึดใจ ทว่ามีความเข้าใจลึกซึ้งที่มิจำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
“เช่นนั้นพวกเราสังหารนางทิ้งเสีย...” เจิ้งหรงเสนอวิธีเรียบง่ายแต่...
“ไฮ้!เจ้าอย่าใจร้อน หากคิดสังหารนางข้าทำไปนานแล้ว เจ้าไม่อยากรู้ถึงผู้อยู่เบื้องหลังพรรคพวกสกุลฮั่วที่เรายังหาไม่พบหรือ สามปีข้ารออย่างใจเย็นยอมให้หลายคนที่สมควรตายได้อยู่ เจ้ามองไม่ออกหรือ”
“นี่หมายความว่า...” จ้าวเจิ้งหรงปีนี้เขาสามสิบหก แต่กลับตามบิดาวัยหกสิบปีได้ทันสักครั้ง ก็มิอาจทราบได้ว่าหากเขาขาดไท่ซ่างหวงราชบัลลังก์นั่งอยู่จะมั่นคงเช่นนี้ไหม
“ที่ข้าไม่ขัดขวางที่เจ้ามอบตำแหน่งกุ้ยเฟยให้เจียงหนิงเมื่อสี่ปีก่อน ก็เพราะข้าสงสัยสกุลเจียง ทว่ากลับไม่มีหลักฐาน ดังนั้นชีวิตของเจียงเพ่ยหยูฆ่าตอนนี้ไม่ได้เด็กคนนี้อาจเป็นกุญแจดอกสำคัญ”
จ้าวเจิ้งหรงนิ่งฟังและคิดตามที่บิดาแนะนำทุกคำ เขาก็เป็นเช่นนี้ ไม่เท่าทันคนเช่นพระบิดา หรือพี่ชายที่ตายจากไป ทว่าพระบิดากลับเลือกเขาสืบราชบัลลังก์แทนที่จะเป็นน้องชายของเขาอีกคน และจนถึงวันนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจความคิดของพระบิดาอีกแล้ว
แต่ท้ายที่สุดเขาทำเพียงนิ่งฟัง ไท่ซ่างหวงก็เปล่งสุรเสียงกังวานเด็ดขาด “แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะยอมให้นางแต่งกับอาจ้านไม่ได้อันขาดแม้แต่เป็นสตรีอุ่นเตียงสตรีบำเรอยิ่งไม่ควร!”
ฮ่องเต้จ้าวเจิ้งหรงก้มศีรษะลงเห็นด้วยกับบิดาอย่างเคร่งขรึม ดวงเนตรเต็มไปด้วยความกังวลและหนักใจเพราะข่าวลือนี้ดูคล้ายจะเป็นจริงหลายส่วน
“เช่นนั้นลูกจะส่งม้าเร็วไปตามตัวจ้านเอ๋อกลับ ฉงชิ่งทันที เพราะบัดนี้สถานการณ์ทางหนานจิ้งก็สงบลงแล้ว”
“ดี ในเมื่อนางคิดจะปีนเตียงไท่จื่อ หวังตำแหน่งไท่จื่อเฟย เช่นนั้นข้าก็จะไม่ให้นางสมหวัง สกุลเจียงเคยอยากได้ตำแหน่งฮองเฮาผิดหวังอย่างไร วันนี้และวันหน้าก็จะผิดหวังตลอดไป”
“เสด็จพ่อหมายความว่าจะให้จ้านเอ๋อแต่งงานหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง ปีนี้อาจ้านยี่สิบสามปีแล้ว เขาเป็นไท่จื่อมาครบหนึ่งปี เรือนหลังตำหนักบูรพาว่างเปล่ามาโดยตลอดเพราะเขาทุ่มเทกับวิชาการแพทย์ บัดนี้สมควรมีนายหญิงได้แล้ว”
“เช่นนั้นลูกขอบังอาจถาม เสด็จพ่อหมายตาบุตรสาวสกุลใดเอาไว้ให้จ้านเอ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมต้องเป็นสตรีดี เก่งกาจ ฉลาด และปกป้องหลานชายของพวกเราได้”
“...” จ้าวเจิ้งหรงถึงกับพูดไม่ออก เพราะไม่ทราบว่าพระบิดาของตนเองจะแต่งภรรยาให้หลานชายหรือหาองครักษ์เงามาปกป้องเขากันแน่
“อย่าคิดมากเลย เจ้าไม่เชื่อสายตาของเสด็จพ่อคนนี้หรือ การเลือกสะใภ้จะลูกหรือหลานสะใภ้ข้าก็ไม่เคยเลือกผิด รับรอง นางเหมาะสมกับจ้านเอ๋อของพวกเราแน่ งดงามอ่อนหวาน แต่ไม่อ่อนแอ เฉลียวฉลาดแต่ไม่โอ้อวด เก่งกาจแต่ไม่เปิดเผยที่สำคัญ...นางเป็นพวกกัดไม่ปล่อย!”
ใต้แสงโคมแดงที่โอนเอนไปมา เงามืดของสองมังกรสองพ่อลูกทอดทาบลงบนพื้นหินเย็น เงานั้นดั่งตราประทับโชคชะตา ปิดตายเส้นทางรักของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งตั้งแต่ยังมิทันเริ่มต้น…
...แน่หรือ? ...
ตอนที่ 5 || ขอเลือกทางที่สามลมเย็นต้นฤดูวสันต์พัดเอื่อยผ่านลานหินอ่อนหน้า ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง เดิมทีควรเป็นบรรยากาศผ่อนคลายแต่บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างหนักเพราะทายาทรุ่นต่อไปปฏิเสธการแต่งงานที่มังกรทั้งสองรุ่นตั้งใจกำหนดให้ไท่ซ่างหวงเอนหลังบนเก้าอี้แกะสลักมังกรเก้าเล็บ แววตาเรียบเฉยใต้คิ้วขาวจับจ้องหลานชายคนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่วนเฉินจ้านเขากลับยืนสง่าไม่หลบตาทั้งเสด็จปู่และเสด็จอาผู้เป็นฮ่องเต้ มือทั้งสองข้างกำแน่นแนบข้างลำตัว“หึ! หากเจ้าจะยกเรื่องมารดาของเจ้ามาพูด เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง สตรีที่ทำร้ายมารดาจนตายเป็นบิดาของเจ้าที่ดื้อรั้นจะแต่งนางให้ได้ หากเจ้าดื้อดึงนี่มิใช่เจ้าอาจเดินรอยตามบิดาของเจ้าหรืออาจ้าน”จ้าวเหยียนจ้งที่รู้เรื่องในอดีตดีกว่าหลานชายกล่าวเสียงนิ่ง พลันภาพในอดีตก็หวนมาให้เขาเจ็บใจ เพราะหากเขาหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้บิดาของเฉินจ้าน เหตุการณ์คงไม่จบลงเช่นนั้นแน่ ดังนั้นคราวเขาจะไปมีทางอ่อนข้อให้หลายรักเป็นแน่ สตรีเช่นเจียงเพ่ยหยูมันนางอสรพิษ!“ใช่แล้วจ้านเอ๋อ เสด็จอาเข้าใจเจ้านะเจ้าอายุยังน้อยย่อมเอาความรักชายหญิงเป็นที่ตั้งแต่เจ้า
ตอนที่ 4 ||เกิดในราชวงศ์เดิมก็ไม่ง่ายแสงอาทิตย์ยามเฉินเพิ่งส่องลอดม่านไหมบาง ๆ เข้าสู่ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยคลุ้งทั่วห้องโถง หยกขาวบนพื้นส่องแสงสะท้อนอ่อนโยน ขันทีน้อยสิบกว่าคนหมอบอยู่เรียงรายสองฝั่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างมั่นคงจ้าวเฉินจ้านไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แม้ยังไม่ทันเอ่ยคำ แต่สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียว วันนี้เป็นวันพิเศษถึงขั้นที่เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ งดประชุมขุนนางในยามเช้า เพื่อร่วมอยู่ในที่เฝ้ากับไท่ซ่างหวงเพียงเพื่อรอหลานชายคนโปรดของราชวงศ์ภายในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ มีไท่ซ่างหวงในอาภรณ์ไหมสีดำปักลายดิ้นทองนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้มังกรโอ่อ่า ใบหน้าแม้เต็มไปด้วยร่องรอยวัยชรา แต่แววตาคมปลาบยังฉายอำนาจเหนือผู้คนราวพญาอินทรี ส่วนตรงกันข้ามนั้นคือ เฟิ่งสุ่ยตี้อ๋อง ฮ่องเต้ผู้ครองราชย์มาสิบเจ็ดปี เขาอยู่ในอาภรณ์น้ำเงินเข้มตรงหน้าอกปักลวดลายมังกรคำรามสีทองอร่าม สีหน้าของหนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบเรียบเย็นแต่แฝงความเอ็นดูคิดถึงหลานชายที่เขารักยิ่งกว่าบุตรตนเองเหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เพราะจ้าวเฉินจ้านเกิ
ตอนที่ 3 || ไท่จื่อเฉินจ้านผู้อ่อนโยนเช้าวันหนึ่งในต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าของมหานครฉงชิ่งแจ่มกระจ่างดุจผืนผ้าไหมที่เพิ่งถูกชะล้างจนสะอาดไร้ฝุ่นหมอก ลมหนาวพัดเอื่อย กลิ่นไม้ฟืนเผาใหม่ลอยคลุ้งคลอเคลียกับกลิ่นดอกเหมยแรกแย้มที่เพิ่งผลิดอกเหนือกำแพงวังหลวง เสียงระฆังยามเช้าจากอารามเต๋าแห่งหนึ่งดังกังวานก้องสะท้อนบนหลังคาเคลือบกระเบื้องเงา ปลุกให้มหานครตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนานของฤดูหนาวขบวนรถม้าของไท่จื่อจ้าวเฉินจ้านแล่นผ่านประตูเมืองท่ามกลางสายตาของประชาชนที่ต่างพากันก้มศีรษะให้เกียรติ เสียงลือเรื่องความกล้าหาญของเขาจากเมืองหนานจิ้งยังไม่ทันจางหายองค์ไท่จื่อผู้เสี่ยงชีวิตเข้ารักษาผู้ป่วยโรคระบาดโดยไม่หวั่นต่อความตาย บัดนี้กลับมาสู่นครหลวงอีกครั้งในฐานะบุรุษผู้มีเมตตาดั่งเทพเซียนม่านผ้าของรถม้าถูกแหวกออกเบา ๆ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ไร้คราบฝุ่นหรือรอยเลือด ผิวพรรณสะอาดราวหยกขาวต้องแสงอรุณ แววตาอบอุ่นทอประกายเมตตา ทุกสายตาที่มองเห็นล้วนต้องหยุดนิ่ง เหมือนต้องมนตร์ของรอยยิ้มเพียงบางเฉียบที่แต้มอยู่บนริมฝีปากสีทับทิมของเขาเสียงแซ่ซ้องดังทั่วถนน "ไท่จื่อผู้เปี่ยมเมตตา"หรือ"อง
ตอนที่ 2 ||สตรีเย็นชาแห่งอารามเมี่ยวจิงทิวเขาเหยียนซานยามเช้าอาบด้วยแสงตะวันแรก ดอกเหมยป่าบานสะพรั่งเกาะไอหมอกสีเงินที่คลี่คลุมตลอดแนวเขา เสียงระฆังจากอารามนางชี ‘เมี่ยวจิง’ ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา คนละด้านกับวัด ไถ่เหยียนซาน ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขาร่างเล็กของสตรีวัยสิบเจ็ดปีก้าวออกจากเรือนเล็กด้านหลังอารามด้วยกิริยาสงบด้านหลังนางมีสาวใช้หนึ่งคนติดตาม ร่างอรชรนั้นสวมชุดสีเทาเรียบง่ายตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือดูสะอาดสะอ้านม่านผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นเรียบร้อยปักด้วยปิ่นไม้จันทน์หอมเอาไว้ครึ่งศีรษะ ปล่อยเสียครึ่งศีรษะ เงางามยามที่นางเคลื่อนไหว ใบหน้านวลเนียนราวหยกสลักงดงามราวจันทร์ฉายในคืนเพ็ญ แต่ความงดงามของนางลดลงเสียสามในสิบส่วนเพราะนางวางสีหน้าสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาอารมณ์หรือความคิด นางดูเย็นชาราวสตรีที่ตัดแล้วซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาร่างอรชรมาหยุดที่ด้านหน้าศาลาทรงแปดเหลี่ยมข้างอารามทิศใต้ ที่ด้านในมีบุรุษสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลม ที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะหินเรียบง่าย ที่วางป้านน้ำชาและถ้วยชา กับกระดานหมากล้อมพร้อมโถใส่เม็ดหมากสองโถ“ให้นางเข้ามาเถิด”เสียงทรงอำนาจนั้นถึงจะสูงวัยแล้ว แต่
ตอนที่ 1||สองมังกรหาลือต้นยามซวีลมหนาวจากทิศเหนือพัดกรูเข้าสู่มหานครฉงชิ่ง อาณาจักรต้าเว่ย เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนอีกครา...ใต้แสงโคมแดงที่ไหวระริกในตำหนักจื่อเฉินในวังหลวงส่วนหน้า จนบังเกิดเงาสะท้อนบนผนังเป็นภาพแกะสลักแล่นไหวราวกับสัตว์เทพเหล่านั้นกำลังขยับเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาภายในโถงกว้างของตำหนักบัดนี้กลับไร้เสียงผู้คน ขันทีและมหาดเล็กถูกขับออกไปหมดสิ้นโดยเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ มังกรผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรยากาศจึงสงบและเป็นส่วนตัวในห้องในยามนี้มีสองร่างที่นั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้สลักมังกร ตรงกลางคือโต๊ะไม้แกะสลักมังกรคาบลูกแก้วสวรรค์ กลางโต๊ะมีป้านน้ำชาวางอยู่ ผู้หนึ่งวัยราวสามสิบตอนปลาย อีกผู้ราวหกสิบปีทั้งสองบุรุษ จะเป็นใครไปได้หากมิใช่ เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ‘จ้าวเจิ้งหรง’ และพระบิดาของเขา ‘จ้าวเหยียนจ้ง’ ไท่ซ่างหวง เอกบุรุษผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าฮ่องเต้ ทั้งสองขณะนี้กำลังนั่งเผชิญหน้าโดยมีชุดป้านน้ำชากับกระดานหมากล้อมอยู่ตรงกลางแม้เหยียนจ้งจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ดวงเนตรยังคมกริบราวเหยี่ยวเฒ่า แฝงอำนาจที่ทำให้แม้แต่โอรสอย่างเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยังต้องสำรวมกิริยายา
บทนำ||สตรีลึกลับท้องฟ้ายามพลบค่ำขมุกขมัว กลิ่นดินหลังฝนตกใหญ่ยังลอยคละคลุ้งในอากาศ เสียงขบวนรถม้าจำนวนหลายสิบคันกำลังมุ่งหน้าลงใต้ เสียงเกือบม้าเหยียบย่ำลงบนถนนดินขรุขระซึ่งมีแอ่งน้ำขังเป็นตะหลุก“หม่าจงเจ้าไปเร่งท้ายขบวนหน่อยใกล้ค่ำแล้ว แถวนี้บรรยากาศไม่ดี”บุรุษบนหลังอาชาพ่วงพีสีดำสนิทตะโกนสั่งบุรุษอีกคนซึ่งขี่ม้าตีคู่อยู่ด้านข้างรถม้าคันโต ชายผู้นั้นรับคำสั่งแล้วบังคับบังเหียนพาม้าย้อนกลับไปยังท้ายขบวน ยิ่งดวงอาทิตย์จวนอัสดงบรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขบวนดังกล่าวกำลังเคลื่อนผ่านช่องทางคับแคบ สองด้านเป็นภูผาขนาบ เส้นทางทอดยาวกว่าสิบลี้ดูอันตรายจนผู้คุ้มกันต่างระวังภัย พอท้ายขบวนเข้ามาอยู่ในช่องเขาคับแคบเสียงโห่คำรามจะดังลั่น“ฆ่าให้สิ้น! แล้วปล้นเอาทรัพย์พวกมันมาให้หมด!”ก้อนหินใหญ่ถูกปล่อยให้กลิ้งลงมาขวางเส้นทางด้านหน้าและปิดท้ายขบวน รถม้าคันหน้าสุดถูกบังคับให้หยุดกึกพร้อมเสียงม้ากรีดร้องเสียงแหลมสูง ทุกชีวิตพลันชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้ตายทันที แล้วกองโจรกว่าร้อยชีวิตก็ถาโถมลงมาจากยอดทิวเขาด้านบนสองฟากเขา ร่างสกปรกเต็มไปด้วยรอยสัก หน้าตาถมึงทึง แววตาเปี่ยมด้วยความกระหายในเลือดเนื้อและ







