LOGINทิวเขาเหยียนซานยามเช้าอาบด้วยแสงตะวันแรก ดอกเหมยป่าบานสะพรั่งเกาะไอหมอกสีเงินที่คลี่คลุมตลอดแนวเขา เสียงระฆังจากอารามนางชี ‘เมี่ยวจิง’ ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา คนละด้านกับวัด ไถ่เหยียนซาน ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขา
ร่างเล็กของสตรีวัยสิบเจ็ดปีก้าวออกจากเรือนเล็กด้านหลังอารามด้วยกิริยาสงบด้านหลังนางมีสาวใช้หนึ่งคนติดตาม ร่างอรชรนั้นสวมชุดสีเทาเรียบง่ายตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือดูสะอาดสะอ้าน
ม่านผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นเรียบร้อยปักด้วยปิ่นไม้จันทน์หอมเอาไว้ครึ่งศีรษะ ปล่อยเสียครึ่งศีรษะ เงางามยามที่นางเคลื่อนไหว ใบหน้านวลเนียนราวหยกสลักงดงามราวจันทร์ฉายในคืนเพ็ญ แต่ความงดงามของนางลดลงเสียสามในสิบส่วนเพราะนางวางสีหน้าสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาอารมณ์หรือความคิด นางดูเย็นชาราวสตรีที่ตัดแล้วซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา
ร่างอรชรมาหยุดที่ด้านหน้าศาลาทรงแปดเหลี่ยมข้างอารามทิศใต้ ที่ด้านในมีบุรุษสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลม ที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะหินเรียบง่าย ที่วางป้านน้ำชาและถ้วยชา กับกระดานหมากล้อมพร้อมโถใส่เม็ดหมากสองโถ
“ให้นางเข้ามาเถิด”
เสียงทรงอำนาจนั้นถึงจะสูงวัยแล้ว แต่กลับไม่เคยอ่อนด้อยลงไปแม้เพียงส่วนเดียว ทหารองครักษ์ต่างเปิดทางให้ร่างเล็กก้าวเข้าไปภายในศาลา
“หานเซียงถวายพระพรไท่ซ่างหวงเพคะ” สวีหานเซียง ย่อกายทำความเคารพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในต้าเว่ยขณะนี้ เต็มพิธีการ
“ไฮ้! แม่หนูเซียงเซียงเหตุใดจึงเคร่งครัดพิธีการและธรรมเนียมนัก คนกันเอง คนกันเอง มานั่งเร็วเข้า”
จ้าวเหยียนจ้งโบกไม้โบกมือข้างขวาไปพลางพูดกลั้วหัวเราะไปพลางก่อนจะชี้ไปที่เก้าอี้อีกตัวซึ่งอยู่ตรงกันข้าม
“มานั่งลงเดินหมากกับตาเฒ่าคนนี้สักกระดานเถิด”
แน่นอนว่านี่ย่อมมิใช่ครั้งแรกที่จ้าวเหยียนจ้งมาเดินหมากกับเด็กสาว แต่เขาทำมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดสิบปีมานี้ และย่อมแน่นอน สวีหานเซียง ผู้นี้ย่อมมิใช่เด็กสาวทั่วไปแต่นางคือบุตรีของ สวีเกากง เจิ้งกั๋วกง แม่ทัพใหญ่ประจำกองทัพเรือเฟิ่งจิ่งที่เป็นกำลังหลักปกป้องต้าเว่ยแดนใต้
และถึงนางจะเป็นเพียงสตรี ทว่าสวีหานเซียงผู้นี้กลับเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินเอกที่ได้สมรสพระราชทานจากเขา ดังนั้นจนถึงวันนี้ต่อให้จวนเจิ้งกั๋วกงอยากเปลี่ยนฮูหยิน สิบปีจึงมิอาจทำได้ มิใช่เพียงจวนเจิ้งกั๋วกง คนสกุลเจียงเองก็ผิดหวังเช่นกัน
เรื่องเหล่านี้ลึกลับซับซ้อน แต่ก็ล้วนแต่เอื้อให้กับอำนาจทั้งสิ้นสำหรับตระกูลใหญ่ อดีตหานเซียงไม่เข้าใจแต่สิบปีตกยากนางถ่องแท้ตั้งแต่ปีแรกที่บิดาส่งนางติดตามมารดามาอยู่บนเขานี้แล้ว
“ไท่ซ่างหวงคงมีเรื่องอยากจะใช้งานหานเซียงแล้วกระมัง” เดินหมากจบไปหนึ่งกระดาน เด็กสาวก็เอ่ยถามเสียงเรียบ มุมปากของชายชราพลันกระตุกโค้งเป็นรอยยิ้มสนุกสนาน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม่หนูเซียงเซียงฉลาดเสียจริง” เขาหัวเราะจนหน้าแดงราวกับเทพกวนอู ก่อนจะเอ่ยชื่นชมเด็กสาวที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
“ไท่ซ่างหวงเชิญกล่าว” สวีหานเซียงกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม มีวูบหนึ่งจ้าวเหยียนจ้งรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า เด็กสาวผู้นี้ต้องเก็บกดความแค้นและบาดแผลในใจมากเพียงใดกัน นางจึงกลายเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกราวกับหุ่นไม้แกะสลักทั้งที่วัยของนางสมควรสดใสร่าเริง
“ได้เวลาทวงความแค้นของเจ้าแล้วสวีหานเซียง”
คราวนี้จ้าวเหยียนจ้งมิได้ว่างตัวเป็นเพียงตาแกว่างงานหรือไร้สาระเขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจังราวกับหยวนตี้ฮ่องเต้เอ่ยกับขุนนางได้ปกครอง เขายังกล่าวอีกหลายประโยคซึ่งหานเซียงก็เพียงรับฟังเงียบๆ
“หากเข้าตกลง มิใช่เพียงความแค้น แม้แต่ฐานะของมารดาของมารดาเจ้า ข้าก็จะคืนให้” นี่คือสิ่งที่หานเซียงต้องจ่ายคืนไท่ซ่างหวงที่เขาปกป้องนางและมารดาให้อยู่รอดและสงบสุขบนเขาแห่งนี้มาสิบปีสินะ
“หม่อมฉันตกลง แต่ขอเพิ่มอีกสองข้อเพคะ”
“ได้สิเจ้ากล่าวมา”
“ข้อที่หนึ่ง ดวงตาของท่านแม่หม่อมฉันยังมีโอกาสหาย ดังนั้นสิ่งแรกเมื่อหม่อมฉันแต่งเข้าตำหนักบูรพา ไท่ซ่างหวงต้องเจรจาให้ไท่จื่อรักษาดวงตามารดาของหม่อมฉันทันทีเพคะ”
“ได้!”
“ข้อที่สองหากหม่อมฉันตกลง ตำแหน่งฮองเฮาและไทเฮาของต้าเว่ยในรุ่นต่อไปนอกจากหม่อมฉันก็ห้ามเป็นของผู้ใด”
“...” เกิดมาหกสิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเหยียนจ้งพูดไม่ออก ยิ่งมองสายตาแน่วแน่ของสวีหานเซียงแล้วอดีตหยวนตี้ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
“ไท่ซ่างหวงทรงคิดทบทวนก่อนได้เพคะ หานเซียงไม่รีบ”
“...” จ้าวเหยียนจ้งทราบดีทีเดียวว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่รีบ นางรอคอยอย่างสงบมาสิบปียังรอได้ แต่เขาต่างหากที่รีบร้อน เพราะหากเขารอช้า หากจ้าวเฉินจ้านกับเจียงเพ่ยหูรักลึกซึ้งกว่านี้อาจสั่นคลอนถึงรากฐานสกุลจ้าว
“ตกลง ข้าตกลง ขอเพียงแต่งงานแล้วภายในสามปี หากเจ้าให้กำเนิดลูกชายได้จะเป็นคนแรกหรือคนที่สองขอเพียงเป็นบุตรชาย เด็กคนนั้นจะได้เป็นฮ่องเต้ต่อจากอาจ้านแน่นอน”
“คำพูดเป็นเพียงลมปาก หม่อมฉันจะตกลงก็ต่อเมื่อเห็นหนังสือสัญญาเพคะ”
“...” เป็นอีกครั้งที่จ้าวเหยียนจ้งพูดไม่ออก เด็กสาวตรงหน้านี้เคยมีความกลัวหรือไม่ เขาเป็นถึงไท่ซ่างหวงอำนาจเหนือกว่าฮ่องเต้ ทว่าสวีหานเซียงกลับพูดออกมาโต้งๆ ว่าไม่วางใจเขา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี! เช่นนี้จึงดี ได้อีกสามวันข้าจะกลับมาพร้อมหนังสือสัญญา”
ไท่ซ่างหวงจากไปแล้วสวีหานเซียงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวตรงไปที่ระเบียงมองตรงไปที่ทิวทัศน์ด้านล่างอาราม เหม่อมองไอหมอกบนเขาที่ค่อย ๆ ถูกแสงแดดยามสายแผดเผาจนสลายไปในที่สุด ดวงตาคู่งามราวกับดวงตาพยัคฆ์คมกริบราวกระบี่ชักจากฝักเยือกเย็นจนหากใครถูกสายตาของนางจับจ้องอาจเป็นลมได้
แต่บังเอิญสายตานี้นางมักเก็บเอาไว้อย่างดี สิบปีแล้ว นางอดทนมาสิบปีพบเจอความยากลำบากมาทุกรูปแบบหลายครั้งเกือบตาย อารมณ์ใดนางล้วนรู้วิธีซ้อนจากสายตาผู้อื่นมานานแล้ว
“คุณหนูเช่นนี้ดีจริงหรือเจ้าค่ะ” ตวนอู่พี่เลี้ยงกึ่งสาวใช้วัยสามสิบหกเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบาที่ด้านหลัง
“เช่นนี้จึงดี พี่ตวนอู่ ยี่สิบเอ็ดปีท่านแม่ของข้าหมดสิ้นอำนาจ แลกกับสมรสพระราชทาน ท่านย่อมถ่องแท้เช่นเดียวกับข้า” สวีหานเซียงเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ว่า...”
“ข้าไม่สนใจความรักชายหญิง ข้าสนใจเพียงอำนาจ มีอำนาจชีวิตของข้าและคนที่ข้ารักและรักข้าจะปลอดภัย แต่เดิมสตรีวังหลังก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ แย่งชิงไปทำไมกับความรักไม่จีรังของบุรุษผู้เดียว อำนาจและเงินทองสิจึงยืนยงและมั่นคง”
ภาพจำฝังใจของสวีหานเซียงเป็นเช่นนี้ คำรักของบิดาก็แค่ลมปากเพียงพบพานหญิงงามและอ่อนเยาว์กว่ามารดาของนางรักนิรันดร์ก็พลันจางหาย ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
“คุณหนู...” ตวนอู่ฟังแล้วสะท้อนใจยิ่ง
“ตำแหน่งฮองเฮานับว่าอยู่เหนือสตรีทั้งวังหลัง แต่ไทเฮาแม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ เช่นนี้ข้ายังจะกลัวปกป้องลูกๆ ตนเองไม่ได้อีกหรือ ข้าไม่เคยลืมพี่ใหญ่ของข้าจนวันนี้หลุมศพของเขาในสุสานว่างเปล่า ท่านแม่ดวงตามองไม่เห็นมาสิบปี แม้แต่ แม่นมเลี่ยว ป้าซิ่วที่ติดตามท่านแม่มาจากซานเจาล้วนมิอาจรักก็เพราะท่านแม่ไม่มีอำนาจในฐานะฮูหยินเอกจริงๆ”
คราวนี้ตวนอู่มิอาจกล่าวคัดค้านคุณหนูเจ็ดได้อีกแล้ว สวีหานเซียงพูดมาทั้งหมดถูกต้อง นางเองก็ติดตามฮูหยินเอกมาจากเผ่าซานเจาขณะนั้นนางอายุเพียงเก้าขวบ บัดนี้นางสามสิบหกปีผ่านทุกเหตุการณ์ที่เด็กสาวตรงหน้ามากับตาตนเองโต้แย้งไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำ!
“พี่ตวนอู่ไปดูท่านแม่เถิด ข้าขออยู่ตรงนี้อีกครู่”
“เจ้าค่ะ”
ตวนอู่ก้าวจากไปแล้ว สวีหานเซียงยังคงทอดสายตามองไปยังภาพเบื้องหน้าเงียบๆ สายตามองทิวทัศน์ หากแต่ภายในใจของนางกลับนึกย้อนไปถึงอดีต
อดีตแสนทุกยากและเศร้าโศก หลังจากบิดาของนางพบสตรีผู้นี้ ‘เจียงเซียนเหยา’ บุตรสาวที่เกิดจากอี๋เหนียงผู้หนึ่งของเสนาบดีกรมอาญา ‘เจียงพ่านสือ’ และนางยังเป็นน้องสาวต่างมารดาของท่านราชเลขา ‘เจียงพ่านฉือ’ ขุนนางข้างกายเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้อีกด้วย เขาก็เปลี่ยนไปมาก ตอนนั้นหานเซียงเพียงห้าขวบยังไม่รู้ประสามากนัก
จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ บิดาแต่งเซียนเหยามาเป็นสตรีของตนเองอีกคน เขาก็แทบไม่มาที่เรือนของมารดาและนาง หานเซียงเห็นมารดาร้องไห้ทุกวันทุกคืน จากสตรีที่มีความสุขจนล้นกลายเป็นทุกข์สาหัสกินน้ำตาแทนข้าว
แต่นั่นยังไม่ร้ายที่สุด ในวันที่พี่ชายของนางในวัยสิบสามปีต้องควบขบวนเสบียงไปแดนเหนือ ช่วยภัยแล้ง มารดาของนางไปอ้อนวอนบิดาและกลับถูกเขาตบตี ฝังใจหานเซียงมาจนถึงวันนี้
และยิ่งชิงชังบิดาเพิ่มพูนในยามที่ข่าวว่าขบวนเสบียงถูกปล้นคนในขบวนตายสิ้น แทนที่บิดาของนางจะรีบไปรับศพพี่ชายของนางและเป็นบุตรชายคนโตของเขา เจิ้งกั๋วกงกลับให้พ่อบ้านไปแทนเพราะเซียนเหยาล้มป่วยเป็นไข้หวัด
เหตุการณ์นั้นทำให้ล่าช้าจนไปถึงศพเน่าเปื่อย มิอาจนำกลับเมืองหลวงได้พ่อบ้านเลยเผาแล้วนำเถ้ากระดูกกลับมาบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจนบัดนี้ที่สุสานสกุลสวีจึงว่างเปล่ามีเพียงหลุมไร้ร่างคน เพราะโถเก็บกระดูกนางนำติดตัวมาที่อารามเมี่ยวจิ้งด้วย
เหตุการณ์คราวนี้เหมือนจะทำร้ายมารดาของนางจนล้มป่วย พอฟื้นขึ้นมาดวงตาก็มองอันใดไม่เห็น หมอมากมายลงความเห็นว่าเจิ้งกั๋วกงฮูหยินเสียใจและร้องไห้ให้มากเกินไปจึงทำให้ตาบอด
บัดซบ!
นางอายุเพียงเจ็ดขวบยังฟังออกว่าหมอพวกนั้นโกหก! แต่บิดาของนางกลับเชื่อสนิทใจ หึ!
ทว่าสุดท้ายนางก็ถ่องแท้ คนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายบางทีอาจเป็นบิดาของนางด้วยซ้ำ กำจัดพี่ชายของนาง วางยาพิษให้มารดาของนางตาบอด ทั้งหมดก็เพียงอยากขับไล่มารดาของนางให้พ้นทาง
รวมถึงพี่ชายของนาง ที่ต้องตายศพมิอาจกลับบ้าน ก็เพราะเจียงเซียนเหยาคลอดลูกคนที่สองเป็นชาย!
บุรุษก็ร้ายสตรีก็ต่ำช้า ไม่มีใครดี พวกเขาคู่ควรเหมาะสมกันราวกับผีเน่ากับโลงผุ ยังดีขณะนั้นไท่ซ่างหวงยื่นมือปกป้องหลังนางกับมารดาขึ้นเขา มิเช่นนั้นป่านนี้ทั้งนางกับท่านแม่ก็คงตายไปตั้งแต่เดือนแรกแล้วกระมัง
เพราะสมรสพระราชทาน บิดาจึงหย่ากับมารดาของนางมิได้ แต่หากมารดาของนางตาย คราวนี้เจียงเซียนเหยาก็จะสมหวังได้เป็นเจิ้งกั๋วกงฮูหยินแทน ทว่าจนบัดนี้ทั้งบิดานาง ทั้งสตรีแพศยาก็ยังไม่สมหวัง
“หึ! รอข้าก่อน สวีเกากง เจียงเซียนเหยา รอให้อำนาจมาอยู่ในมือของข้า พวกเจ้าจะได้รู้ซึ้งว่านรกบนดินเป็นเช่นไร”
สายลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาแตะปลายจมูกของสวีหานเซียง นางหลับตาซึมซับ เป้าหมายเดียวของนางคือเป็นสตรีมากอำนาจ ส่วนความรักจากบุรุษช่างหัวมัน!
ตอนที่ 5 || ขอเลือกทางที่สามลมเย็นต้นฤดูวสันต์พัดเอื่อยผ่านลานหินอ่อนหน้า ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง เดิมทีควรเป็นบรรยากาศผ่อนคลายแต่บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างหนักเพราะทายาทรุ่นต่อไปปฏิเสธการแต่งงานที่มังกรทั้งสองรุ่นตั้งใจกำหนดให้ไท่ซ่างหวงเอนหลังบนเก้าอี้แกะสลักมังกรเก้าเล็บ แววตาเรียบเฉยใต้คิ้วขาวจับจ้องหลานชายคนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่วนเฉินจ้านเขากลับยืนสง่าไม่หลบตาทั้งเสด็จปู่และเสด็จอาผู้เป็นฮ่องเต้ มือทั้งสองข้างกำแน่นแนบข้างลำตัว“หึ! หากเจ้าจะยกเรื่องมารดาของเจ้ามาพูด เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง สตรีที่ทำร้ายมารดาจนตายเป็นบิดาของเจ้าที่ดื้อรั้นจะแต่งนางให้ได้ หากเจ้าดื้อดึงนี่มิใช่เจ้าอาจเดินรอยตามบิดาของเจ้าหรืออาจ้าน”จ้าวเหยียนจ้งที่รู้เรื่องในอดีตดีกว่าหลานชายกล่าวเสียงนิ่ง พลันภาพในอดีตก็หวนมาให้เขาเจ็บใจ เพราะหากเขาหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้บิดาของเฉินจ้าน เหตุการณ์คงไม่จบลงเช่นนั้นแน่ ดังนั้นคราวเขาจะไปมีทางอ่อนข้อให้หลายรักเป็นแน่ สตรีเช่นเจียงเพ่ยหยูมันนางอสรพิษ!“ใช่แล้วจ้านเอ๋อ เสด็จอาเข้าใจเจ้านะเจ้าอายุยังน้อยย่อมเอาความรักชายหญิงเป็นที่ตั้งแต่เจ้า
ตอนที่ 4 ||เกิดในราชวงศ์เดิมก็ไม่ง่ายแสงอาทิตย์ยามเฉินเพิ่งส่องลอดม่านไหมบาง ๆ เข้าสู่ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยคลุ้งทั่วห้องโถง หยกขาวบนพื้นส่องแสงสะท้อนอ่อนโยน ขันทีน้อยสิบกว่าคนหมอบอยู่เรียงรายสองฝั่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างมั่นคงจ้าวเฉินจ้านไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แม้ยังไม่ทันเอ่ยคำ แต่สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียว วันนี้เป็นวันพิเศษถึงขั้นที่เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ งดประชุมขุนนางในยามเช้า เพื่อร่วมอยู่ในที่เฝ้ากับไท่ซ่างหวงเพียงเพื่อรอหลานชายคนโปรดของราชวงศ์ภายในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ มีไท่ซ่างหวงในอาภรณ์ไหมสีดำปักลายดิ้นทองนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้มังกรโอ่อ่า ใบหน้าแม้เต็มไปด้วยร่องรอยวัยชรา แต่แววตาคมปลาบยังฉายอำนาจเหนือผู้คนราวพญาอินทรี ส่วนตรงกันข้ามนั้นคือ เฟิ่งสุ่ยตี้อ๋อง ฮ่องเต้ผู้ครองราชย์มาสิบเจ็ดปี เขาอยู่ในอาภรณ์น้ำเงินเข้มตรงหน้าอกปักลวดลายมังกรคำรามสีทองอร่าม สีหน้าของหนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบเรียบเย็นแต่แฝงความเอ็นดูคิดถึงหลานชายที่เขารักยิ่งกว่าบุตรตนเองเหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เพราะจ้าวเฉินจ้านเกิ
ตอนที่ 3 || ไท่จื่อเฉินจ้านผู้อ่อนโยนเช้าวันหนึ่งในต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าของมหานครฉงชิ่งแจ่มกระจ่างดุจผืนผ้าไหมที่เพิ่งถูกชะล้างจนสะอาดไร้ฝุ่นหมอก ลมหนาวพัดเอื่อย กลิ่นไม้ฟืนเผาใหม่ลอยคลุ้งคลอเคลียกับกลิ่นดอกเหมยแรกแย้มที่เพิ่งผลิดอกเหนือกำแพงวังหลวง เสียงระฆังยามเช้าจากอารามเต๋าแห่งหนึ่งดังกังวานก้องสะท้อนบนหลังคาเคลือบกระเบื้องเงา ปลุกให้มหานครตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนานของฤดูหนาวขบวนรถม้าของไท่จื่อจ้าวเฉินจ้านแล่นผ่านประตูเมืองท่ามกลางสายตาของประชาชนที่ต่างพากันก้มศีรษะให้เกียรติ เสียงลือเรื่องความกล้าหาญของเขาจากเมืองหนานจิ้งยังไม่ทันจางหายองค์ไท่จื่อผู้เสี่ยงชีวิตเข้ารักษาผู้ป่วยโรคระบาดโดยไม่หวั่นต่อความตาย บัดนี้กลับมาสู่นครหลวงอีกครั้งในฐานะบุรุษผู้มีเมตตาดั่งเทพเซียนม่านผ้าของรถม้าถูกแหวกออกเบา ๆ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ไร้คราบฝุ่นหรือรอยเลือด ผิวพรรณสะอาดราวหยกขาวต้องแสงอรุณ แววตาอบอุ่นทอประกายเมตตา ทุกสายตาที่มองเห็นล้วนต้องหยุดนิ่ง เหมือนต้องมนตร์ของรอยยิ้มเพียงบางเฉียบที่แต้มอยู่บนริมฝีปากสีทับทิมของเขาเสียงแซ่ซ้องดังทั่วถนน "ไท่จื่อผู้เปี่ยมเมตตา"หรือ"อง
ตอนที่ 2 ||สตรีเย็นชาแห่งอารามเมี่ยวจิงทิวเขาเหยียนซานยามเช้าอาบด้วยแสงตะวันแรก ดอกเหมยป่าบานสะพรั่งเกาะไอหมอกสีเงินที่คลี่คลุมตลอดแนวเขา เสียงระฆังจากอารามนางชี ‘เมี่ยวจิง’ ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา คนละด้านกับวัด ไถ่เหยียนซาน ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขาร่างเล็กของสตรีวัยสิบเจ็ดปีก้าวออกจากเรือนเล็กด้านหลังอารามด้วยกิริยาสงบด้านหลังนางมีสาวใช้หนึ่งคนติดตาม ร่างอรชรนั้นสวมชุดสีเทาเรียบง่ายตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือดูสะอาดสะอ้านม่านผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นเรียบร้อยปักด้วยปิ่นไม้จันทน์หอมเอาไว้ครึ่งศีรษะ ปล่อยเสียครึ่งศีรษะ เงางามยามที่นางเคลื่อนไหว ใบหน้านวลเนียนราวหยกสลักงดงามราวจันทร์ฉายในคืนเพ็ญ แต่ความงดงามของนางลดลงเสียสามในสิบส่วนเพราะนางวางสีหน้าสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาอารมณ์หรือความคิด นางดูเย็นชาราวสตรีที่ตัดแล้วซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาร่างอรชรมาหยุดที่ด้านหน้าศาลาทรงแปดเหลี่ยมข้างอารามทิศใต้ ที่ด้านในมีบุรุษสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลม ที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะหินเรียบง่าย ที่วางป้านน้ำชาและถ้วยชา กับกระดานหมากล้อมพร้อมโถใส่เม็ดหมากสองโถ“ให้นางเข้ามาเถิด”เสียงทรงอำนาจนั้นถึงจะสูงวัยแล้ว แต่
ตอนที่ 1||สองมังกรหาลือต้นยามซวีลมหนาวจากทิศเหนือพัดกรูเข้าสู่มหานครฉงชิ่ง อาณาจักรต้าเว่ย เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนอีกครา...ใต้แสงโคมแดงที่ไหวระริกในตำหนักจื่อเฉินในวังหลวงส่วนหน้า จนบังเกิดเงาสะท้อนบนผนังเป็นภาพแกะสลักแล่นไหวราวกับสัตว์เทพเหล่านั้นกำลังขยับเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาภายในโถงกว้างของตำหนักบัดนี้กลับไร้เสียงผู้คน ขันทีและมหาดเล็กถูกขับออกไปหมดสิ้นโดยเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ มังกรผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรยากาศจึงสงบและเป็นส่วนตัวในห้องในยามนี้มีสองร่างที่นั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้สลักมังกร ตรงกลางคือโต๊ะไม้แกะสลักมังกรคาบลูกแก้วสวรรค์ กลางโต๊ะมีป้านน้ำชาวางอยู่ ผู้หนึ่งวัยราวสามสิบตอนปลาย อีกผู้ราวหกสิบปีทั้งสองบุรุษ จะเป็นใครไปได้หากมิใช่ เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ‘จ้าวเจิ้งหรง’ และพระบิดาของเขา ‘จ้าวเหยียนจ้ง’ ไท่ซ่างหวง เอกบุรุษผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าฮ่องเต้ ทั้งสองขณะนี้กำลังนั่งเผชิญหน้าโดยมีชุดป้านน้ำชากับกระดานหมากล้อมอยู่ตรงกลางแม้เหยียนจ้งจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ดวงเนตรยังคมกริบราวเหยี่ยวเฒ่า แฝงอำนาจที่ทำให้แม้แต่โอรสอย่างเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยังต้องสำรวมกิริยายา
บทนำ||สตรีลึกลับท้องฟ้ายามพลบค่ำขมุกขมัว กลิ่นดินหลังฝนตกใหญ่ยังลอยคละคลุ้งในอากาศ เสียงขบวนรถม้าจำนวนหลายสิบคันกำลังมุ่งหน้าลงใต้ เสียงเกือบม้าเหยียบย่ำลงบนถนนดินขรุขระซึ่งมีแอ่งน้ำขังเป็นตะหลุก“หม่าจงเจ้าไปเร่งท้ายขบวนหน่อยใกล้ค่ำแล้ว แถวนี้บรรยากาศไม่ดี”บุรุษบนหลังอาชาพ่วงพีสีดำสนิทตะโกนสั่งบุรุษอีกคนซึ่งขี่ม้าตีคู่อยู่ด้านข้างรถม้าคันโต ชายผู้นั้นรับคำสั่งแล้วบังคับบังเหียนพาม้าย้อนกลับไปยังท้ายขบวน ยิ่งดวงอาทิตย์จวนอัสดงบรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขบวนดังกล่าวกำลังเคลื่อนผ่านช่องทางคับแคบ สองด้านเป็นภูผาขนาบ เส้นทางทอดยาวกว่าสิบลี้ดูอันตรายจนผู้คุ้มกันต่างระวังภัย พอท้ายขบวนเข้ามาอยู่ในช่องเขาคับแคบเสียงโห่คำรามจะดังลั่น“ฆ่าให้สิ้น! แล้วปล้นเอาทรัพย์พวกมันมาให้หมด!”ก้อนหินใหญ่ถูกปล่อยให้กลิ้งลงมาขวางเส้นทางด้านหน้าและปิดท้ายขบวน รถม้าคันหน้าสุดถูกบังคับให้หยุดกึกพร้อมเสียงม้ากรีดร้องเสียงแหลมสูง ทุกชีวิตพลันชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้ตายทันที แล้วกองโจรกว่าร้อยชีวิตก็ถาโถมลงมาจากยอดทิวเขาด้านบนสองฟากเขา ร่างสกปรกเต็มไปด้วยรอยสัก หน้าตาถมึงทึง แววตาเปี่ยมด้วยความกระหายในเลือดเนื้อและ







