บทที่ 1.3
กลับบ้านเดิม
“ใกล้ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ฮูหยินกับคุณหนูโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรับอาหารที่ห้องครัว อวี้หรุนฝากดูแลฮูหยินกับคุณหนูด้วย”
“อืม! ไม่ต้องห่วง ข้ารับรองว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องฮูหยินกับคุณหนูแน่นอน”
อวี้หรุน สาวใช้ติดตามจากจวนแม่ทัพเมิ่งบอกด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นเคืองใจ เมื่อเช้านี้ตอนที่มาถึงจวนตระกูลเสวี่ย เพราะฮูหยินต้องการพบปะพี่น้องเป็นการส่วนตัว นางกับเจียงซินจึงรออยู่ที่ด้านนอก ไม่คาดคิดว่ากลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้คนอื่นมารังแกนายทั้งสอง
“ข้ากับชิงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
เสวี่ยชิงเยี่ยนสังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของสาวใช้คนสนิท ก็คาดเดาความคิดนางได้ในทันที เพื่อไม่ให้นางไปก่อเรื่องใหญ่จึงพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายลง
เมิ่งหว่านชิงมองดูอวี้หรุนด้วยสายตารู้สึกผิดอยู่ในที แม้ว่าอวี้หรุนจะมีสถานะเป็นสาวใช้เช่นเดียวกับเจียงซิน ทว่าแท้จริงแล้วนางคือหนึ่งในทหารฝีมือดีของกองทัพตระกูลเมิ่ง เกิดและเติบโตในสนามรบ การต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร ทว่าข้อเสียของนางก็คือนิสัยมุทะลุยอมหักไม่ยอมงอ ยอมตายไม่ยอมถอย สุดท้ายก็ถูกเหลียงฮุ่ยหลินใช้จุดนี้มาเล่นงาน
แน่นอนว่าชาตินี้นอกจากท่านแม่แล้ว อวี้หรุนและเจียงซิน ก็คือคนที่เมิ่งหว่านชิงคิดจะปกป้องเช่นกัน
ตระกูลกู้พวกเจ้าเตรียมตัวไว้เถิด ในไม่ช้าแค้นเก่าเหล่านั้น ข้าจะทวงคืนทั้งหมด
เจียงซินออกไปได้ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง สองมือว่างเปล่า ไม่ต้องเอ่ยถามเมิ่งหว่านชิงก็คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายไปเจอเรื่องใดมา
“ก็แค่อาหารมื้อเดียว ข้าไม่หิว”
เสวี่ยชิงเยี่ยนเอ่ยบอกเพื่อคลายกังวลให้สาวใช้ เพียงแต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือแม้แต่มื้อเย็นก็ถูกสั่งห้ามมาส่งด้วย
“มันเกินไปแล้วนะ ในเมื่อคุยกันดี ๆ ไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไปแย่งชิงมาให้สิ้นเรื่อง”
“อวี้หรุน กลับมา!”
เท้าที่กำลังจะก้าวออกจากประตูเรือนของอวี้หรุนหยุดชะงัก ถึงในใจจะไม่ยินดี แต่คำสั่งของนายหญิงนางย่อมไม่อาจขัดขืน
“ที่นี่เป็นตระกูลเสวี่ย พวกเราตอนนี้เป็นผู้อาศัยอย่าได้เสียมารยาท”
เสวี่ยชิงเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย สายสัมพันธ์อันบางเบาระหว่างนางและพี่ชายขาดสิ้นในทันที ทว่าตัวนางทนหิวได้แต่กลับไม่อาจทนเห็นลูกสาวเพียงคนเดียวต้องหิว
“ชิงเอ๋อร์แม่...”
“ข้าก็ไม่หิวเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงตอบเสียงสดใสหนักแน่น ทว่าแม้ภายนอกจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ภายในใจกลับคิดวางแผนเอาไว้แล้ว
ก็แค่จวนขุนนางขั้นห้า เทียบกับกองทัพศัตรูที่นางเคยไปสอดแนมขโมยเสบียงอาหารแล้วยังห่างชั้นกันมากนัก คิดงดอาหารนางกับมารดาช่างไม่เจียมตัว
ดังนั้นยามดึกเมิ่งหว่านชิงจึงอ้างว่าตนเองจะออกไปถ่ายเบาและให้อวี้หรุนไปส่ง ทว่ากลับลักลอบเข้าไปในห้องครัวแล้วขโมยหมั่นโถวในเตานึ่งออกมา
“คุณหนู เหตุใดเอาไปเพียงเล็กน้อย ไหน ๆ ก็บุกมาแล้วเอาไปให้มากหน่อยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“เอาไปมากย่อมถูกสังเกตได้ง่าย ครั้งหน้าคนครัวพวกนี้อาจจะระวังมากขึ้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เสวี่ยชิงเยี่ยนมองหมั่นโถวในมือของลูกสาวแล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะส่งสายตาดุไปยังเด็กหญิง เมิ่งหว่านชิงก่อนหน้านี้แม้จะซุกซนแต่ก็ไม่ถึงขั้นดื้อดึงไม่เชื่อฟังเช่นนี้
“บิดาของเจ้าจากไปไม่นาน เจ้าก็ริอ่านเป็นขโมยแล้วหรือ”
“ท่านแม่ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ แต่ท่านสำคัญต่อข้ามาก อย่าว่าแต่เป็นโจรขโมย ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นคนต่ำช้า ข้าก็จะต้องปกป้องท่าน”
“เด็กโง่ พูดจาอะไรเช่นนั้นกัน”
ได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของบุตรสาวในใจของเสวี่ยชิงเยี่ยนก็คล้ายมีระลอกคลื่นก่อตัว เพราะตัวนางอ่อนแอจึงทำให้ลูกสาวต้องลำบาก แขนเรียวดึงคนตัวเล็กมาโอบกอดปลอบโยน
“ชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ต้องการให้เจ้าปกป้อง แม่แค่ต้องการเพียงให้เจ้ามีความสุขและปลอดภัยเท่านั้น”
“ความสุขของข้าก็คือรอยยิ้มของท่านแม่ หากท่านต้องการให้ข้ามีความสุขท่านก็ต้องมีความสุข”
“ช่างเจรจานัก”
ท่ามกลางแสงเทียนอันเบาบาง สี่ร่างในโถงบรรพชนคุกเข่ากินหมั่นโถวที่เย็นชืด แต่กลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ทว่าความอบอุ่นสุขใจมักอยู่ไม่นาน ในเช้าวันต่อมาจ้าวซูซินก็ให้คนมาแจ้งว่าโถงบรรพชนสกปรกต้องทำความสะอาด ให้เสวี่ยชิงเยี่ยนออกมาคุกเข่าที่ลานหน้าเรือนแทน อวี้หรุนที่ได้ยินคำสั่งอันชัดเจนถึงเจตนากลั่นแกล้งก็แทบจะชักดาบวิ่งไปสังหารคน
“ฮูหยินเสวี่ยผู้นี้จงใจกลั่นแกล้งกัน ฮูหยินเพียงท่านสั่งมาคำเดียว ข้า... อวี้หรุน! จะไปสั่งสอนคนในทันที”
“เหลวไหล!!! ที่นี่เป็นเมืองหลวงไม่ใช่สนามรบ ทำร้ายฮูหยินขุนนางเจ้าเองก็จะต้องโทษเช่นกัน”
“ข้าไม่กลัว!”
“แต่ข้ากลัว!”
น้ำเสียงของเสวี่ยชิงเยี่ยนสั่นเครือเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามปานหยกสลักมีหยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้ม สร้างความปั่นป่วนสะเทือนใจชวนให้คนหวั่นไหวสงสาร จนแม้แต่อวี้หรุนเองก็หลงลืมโทสะทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ฮะ... ฮูหยิน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ทะ... ท่านอย่าร้องไห้เลยนะเจ้าคะ”
“อวี้หรุน เจียงซิน ตอนนี้ข้ากับชิงเอ๋อร์มีเพียงพวกเจ้าที่ไว้ใจได้ หากพวกเจ้าเกิดเรื่อง พวกเราสองแม่ลูกจะอยู่อย่างไร”
ได้ยินว่าตนเองสำคัญต่อผู้เป็นนายเพียงใด หัวใจของสองบ่าวก็สั่นระริกทรุดตัวลงคุกเข่าร่ำไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ
เพียงแต่สำหรับเมิ่งหว่านชิงแล้ว การถอยและรอตั้งรับเช่นนี้ไม่ใช่วิธีของนาง คนเช่นจ้าวซูซินยิ่งอ่อนแอก็ยิ่งเหยียบย่ำ ยิ่งยินยอมก็ยิ่งซ้ำเติม น้ำตาของมารดาวันนี้นางจะเอาคืนเป็นทบทวี
“ท่านแม่ ข้าขอไปเดินเล่นได้ไหมเจ้าคะ”
“ลุงใหญ่ของเจ้าสั่งลงโทษเพียงแม่ เช่นนั้นอวี้หรุนเจ้าก็พาคุณหนูไปเดินเล่นเถิด”
เมิ่งหว่านชิงอย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กหญิงวัยสิบสี่ปี หากให้มานั่งคุกเข่าตากแดดตากลมอาจล้มป่วยได้ ดังนั้นเสวี่ยชิงเยี่ยนจึงได้อนุญาตให้นางออกไปเดินเล่นได้ตามคำขอ
“คุณหนูฮูหยินสั่งไว้ไม่ให้พวกเราไปไกลเกินไปนะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ใช่อยากสั่งสอนคนที่รังแกท่านแม่ข้าหรือ”
“คุณหนู ท่านหมายความว่า..."
...................................
เมื่อกู้อิงโม่อุ้มเสวี่ยชิงเยี่ยนกลับเข้าเรือนไปแล้ว เมิ่งหว่านชิงก็เชิญหยางเทียนอี้ไปที่ศาลาด้านข้าง เพียงแต่เดินมาได้ไม่ไกลร่างเล็กก็ถูกโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้น “ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรเพคะ” “ข้าเองก็หวาดกลัว อยากกลับเข้าห้องให้เจ้าปลอบโยนเช่นกัน” ได้ยินคนสูงศักดิ์ใช้อุบายเดียวกับบิดาเลี้ยงเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ก่อนจะสบตาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “พระองค์ทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือเพคะ” “หากเจ้าหมายถึงเรื่องสละบัลลังก์ ตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่เคยต้องการ” “เช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรกันพคะ” “ต้องการเป็นสวามีเพียงคนเดียวของเจ้า” ริมฝีปากบางยกยิ้มขบขันในทันทีที่ได้ยินความต้องการของคนตัวโต หากแต่หยางเทียนอี้กลับขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีไม่ยินยอม “ชิงชิง ข้าไม่ยอมเป็นอนุหรอกนะ” คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางบอกว่าจะให้เขาเป็นอนุชาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความสงสัยก็คลายออกในทันที “ท่านแม่ของข้าเพียงแค่เอาคืนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของท่านอารองกู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเป็นอนุจริงๆ” “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยินดี ชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยา และก็ไม่ยินยอม
หลังจากเดินออกจากท้องพระโรงหยางเทียนอี้ก็กลับไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ บรรดาขุนนางต่างเดือดดาลและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาขอร้องและยอมรับข้อเสนอของพวกตน จะมีบุรุษใดไม่รักอำนาจ ไม่ปรารถนาเป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกร ดังนั้นพวกเขาแค่อดทนรออีกไม่กี่วันก็จะสามารถควบคุมหยางเทียนอี้เอาไว้ในฝ่ามือได้ เพียงแต่สิ่งที่เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงก็คือ ตะวันไม่ทันตกดินหยางเทียนอี้ก็นำกำลังส่วนตัวควบม้าออกจากประตูเมืองตะวันออก"เกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝ่าบาทของพวกเราหรือ เหตุใดพระองค์จึงออกจากเมืองอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า""เจ้าไม่รู้หรือไร เมื่อเช้านี้พวกขุนนางบีบบังคับให้ฝ่าบาทแต่งตั้งบุตรสาวของตนเองเป็นฮองเฮาและนางสนม พระองค์ไม่ยินยอมเป็นเครื่องมืออำนาจให้คนพวกนั้นจึงได้สละราชบัลลังก์แล้ว""สละราชบัลลังก์! เช่นนี้ต้าเซี่ยของพวกเราจะทำอย่างไร"เพียงสามวันข่าวลือเรื่องขุนนางบีบบังคับฮ่องเต้จนต้องสละราชบัลลังก์ลี้ภัยออกจากเมืองก็ถูกเล่าลือไปทั่วต้าเซี่ย ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงกระทั่งบางคนยังไปรวมกลุ่มกันที่หน้าประตูจวนของขุนนางเพื่อตะโกนด่าทอและสาบแช่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่ยวายเกิดจลาจลกล
องค์ฮ่องเต้หยางเทียนจงได้ยินว่ารุ่ยอ๋องกลับเข้าเมืองมาช่วยเมิ่งหว่านชิงก็หัวเราะเสียงดังก้องอย่างพึงพอใจ น้องชายของเขาผู้นี้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ แต่กลับเป็นเพียงบุรุษอ่อนแอ ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งควบคุมจิตใจ หนีออกไปได้แล้วอย่างไร เขาแค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ล่อสตรีแซ่เมิ่งผู้นั้นเข้ามา น้องชายผู้โง่เขลาก็วิ่งกลับมาติดกับเช่นเดิม "บัลลังก์นี้เป็นของข้า ใครก็ไม่สามารถมาแย่งชิงไปได้" กล่าวจบหยางเทียนจงก็เดินผ่านประตูข้างตรงไปยังท้องพระโรง มองเก้าอี้บัลลังก์มังกรด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งยินดี แล้วเศร้าหมองไปพร้อมๆ กัน ภาพในวันวานสะท้อนกลับมาในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเบื้องหน้าบนเก้าอี้มังกรตัวนี้เคยมีบิดานั่งอย่างสง่า เก้าอี้หงส์ด้านข้างก็มีมารดาผู้งดงามนั่งเคียงข้าง ทอดสายตารักใคร่อ่อนโยนมองดูเขาและหยางเทียนอี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอ่อนโยนมองไปที่พื้นกลางห้องโถง "เสด็จพี่อุ้มๆ ข้าเจ็บ" เสียงของหยางเทียนอี้ในวัยเยาว์ยามหกล้มร้องขอให้เขาโอบอุ้มยังคงชัดเจนในความทรงจำ เพียงแต่เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ล้วนจางหายเหลือเพียงห้องโถงที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวแล้ว
"นี่ไม่ใช่รุ่ยอ๋อง!"ทหารที่วิ่งนำทางเข้ามาในคุกหลวงร้องบอก เมิ่งหว่านชิงขมวดคิ้วแน่นไม่คิดว่านางวางแผนการอย่างรัดกุมถึงเพียงนี้กลับยังพลาดท่าให้กับฮ่องเต้ทรราช ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนของตนรีบถอยออกในทันที เพียงแต่ให้นางดำเนินการรวดเร็วมากมายเพียงใด ก็ยังคงช้ากว่าคนวางแผนการ ยามเมื่อออกพ้นประตูคุกหลวงมาก็พบว่าเบื้องหน้าถูกล้อมด้วยทหารจำนวนมาก อีกทั้งคนที่นำทหารมาจับกุมตนยังเป็น..."เกาอู๋ฮั่น!!"มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ในชาติก่อนหลังสงครามเมืองประจิมเสร็จสิ้น นางกลับเมืองหลวงก็ถูกเขาลอบวางแผนจับตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่คิดว่าในชาตินี้เหตุการณ์ก็ยังคงวนมาให้นางถูกเขาจับกุมอีกเช่นเคย"ฮูหยินคนเก่งของข้า สามีมารับกลับจวนแล้ว""ผู้ใดเป็นฮูหยินของเจ้ากัน!!"เมิ่งหว่านชิงโต้กลับเสียงแข็งกร้าวดุดัน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน สายตาคมเรียวก็มองชายตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ"เมิ่งหว่านชิง เจ้าใช้สถานะฮูหยินของข้าทูลขอตรานำทัพจากฝ่าบาท เท็จทูลเอาความดีความชอบใส่ตน กล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหนีทัพ หากไม่เพราะฮ่องเต้ทรงปรีชาและเชื่อใจตระกูลเกาตอนนี้ตระกูลเกาของข้าถูกประหารทั้งตระกูล
เหตุการณ์รุ่ยอ๋องสังหารเหอไทเฮาแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย เมิ่งหว่านชิงที่ได้รับข่าวขบกรามแน่น ตั้งแต่ต้นตัวนางก็ไม่ไว้ใจองค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว หากแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการใส่ความร้ายแรงเช่นนี้ "ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าท่านเรียกประชุมด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ"รองแม่ทัพฉาง ที่ตอนนี้ยอมรับในตัวเมิ่งหว่านชิงแล้วเอ่ยถามด้วยความเคารพ หญิงสาวจึงหยิบป้ายบัญชาการทหารออกมาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่งคืนป้ายบัญชาการ นี่ไม่เท่ากับนางกำลังถอนตัวจากกองทัพหรือ"ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร"รองแม่ทัพตงเอ่ยถามด้วยความร้อนรน ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าดูแคลนที่นางเป็นสตรี แต่หลังจากได้ร่วมทัพแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้เขานับถือนางจากใจจริง“ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการ ตำแหน่งแม่ทัพนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้อีก"เพราะตัดสินใจที่จะเข้าเมืองไปช่วยหยางเทียนอี้ ดังนั้นเมิ่งหว่านชิงจึงไม่อาจครองตำแหน่งแม่ทัพนี้เอาไว้ได้ ดวงตาเรียวหันไปทางเซี่ยหลิงซางก่อนจะมอบจี้หยกประจำตระกูลเมิ่งและป้ายบัญชาการกองทัพบูรพาให้กับเขา"พี่ชายหลิงซาง ต่อจากนี้ขอฝากกองกำลั
“ไทเฮาเสด็จ!”เสียงรายงานดังมาจากด้านหน้าตำหนักรับรอง หยางอี้เทียนขมวดคิ้วหนา แน่นอนว่าเขาในฐานะอดีตองค์ชายการพบปะกับไทเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งการลงทัณฑ์สังหารต้วนอ๋อง พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเหอไทเฮา แน่นอนว่าด้วยเหตุและผลการพบปะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในภายหลัง รุ่ยอ๋องจึงให้คนออกไปปฏิเสธการเข้าพบของเหอไทเฮา“ไปทูลไทเฮาว่าข้าไม่สะดวกพบพระองค์”สายตาคมมองบรรดาขันทีนางกำนัลที่ถูกส่งมายืนนิ่งไม่ไหวติง ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่านี่ต้องเป็นแผนการยืมมือฆ่าคนแน่ๆ และเป็นเช่นที่เขาคาดการณ์ เมื่อประตูตำหนักรับรองถูกเปิดออก ร่างของสตรีในชุดสูงศักดิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า“ไทเฮามีเรื่องต้องการสนทนากับรุ่ยอ๋องตามลำพัง พวกกระหม่อมไม่ขออยู่รบกวน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบคนทั้งหมดก็ออกไปยืนที่ด้านนอกตำหนัก ปากบอกว่าไม่ต้องการรบกวน แต่การกระทำชัดเจนว่าเป็นการควบคุมให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันในตำหนัก“ถวายพระพรไทเฮา”“เจ้าสังหารลูกของข้ายังต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกทำไมกัน”เหอไทเฮากัดฟันเอ่ยเสียงสั่น สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำ สองตาแ