บทที่ 2.1
ทวงคืนสถานะ
เมิ่งหว่านชิงหยุดเท้าที่ริมสระบัว ก่อนจะทอดสายตามองไปยังศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ในความทรงจำเดิมวันนี้ รุ่ยอ๋อง หรือ องค์ชายเก้าหยางเทียนอี้ น้องชายคนโปรดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมาที่จวนเสวี่ยเพื่อคุยเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตกับเสวี่ยเกาเยี่ยน
ริมฝีปากบางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จดจ้องสายตาไปยังบุรุษวัยยี่สิบต้นๆ ผู้มีรูปร่างโดดเด่น ท่าทีสง่างาม แม้ไม่เคยหน้าแต่เมิ่งหว่านชิงก็คาดเดาได้ในทันทีจะว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นรุ่ยอ๋องอย่างแน่นอน
เท้าเล็กขยับเตรียมกระโจนลงสระบัว ทว่ากลับถูกอวี้หรุนสาวใช้ข้างกายจับแขนเอาไว้เสียก่อน
“คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ”
“สั่งสอนคนที่รังแกท่านแม่ของข้าอย่างไรเล่า”
พูดจบก็สลัดแขนจากสาวใช้กระโจนลงสระบัวในทันที โดยจงใจทิ้งตัวให้เสียงกระแทกน้ำดังก้องไปทั่วทั้งสวน เพื่อดึงสายตาของคนในศาลาข้างสระฝั่งตรงข้าม
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
อวี้หรุนขมวดคิ้วเล็ก นางจำได้ว่าคุณหนูของตนไม่เพียงเชี่ยวชาญการขี้ม้า ยิงธนู ฟันดาบ เรื่องว่ายน้ำนี้ก็ชำนาญไม่แพ้ผู้ใด เหตุใดตอนนี้จึงทำท่าราวกับจะจมน้ำเล่า
หรือว่าคุณหนู... นางจะเป็นตะคริว
ไม่คิดให้มากความอวี้หรุนก็กระโจนตามลงไปช่วยผู้เป็นนาย หากแต่ยามที่คล้องตัวคนได้แล้ว เด็กหญิงกลับกระซิบบอกให้พานางขึ้นอีกฝั่งของสระ
“คุณหนู ฝั่งทางนี้ใกล้กว่า ข้าน้อยคิดว่า...”
“อย่าพูดมากทำตามที่ข้าสั่ง”
น้ำเสียงเด็ดขาดของเด็กหญิงทำให้อวี้หรุนไม่ถามให้มากความ รีบว่ายน้ำพาคนขึ้นฝั่งตรงข้ามตามคำสั่งในทันที
“ร้องโวยวายดังๆ หน่อย”
เสียงกระซิบบอกแผ่วเบา ก่อนที่จะจงใจไอเสียงดัง อวี้หรุนนั่งนิ่งด้วยความสับสนงุนงง แต่เมื่อสบสายตาแข็งกร้าวของคุณหนูน้อยก็อ้าปากร้องเสียงดังในทันที
“คุณหนู! คุณหนูของบ่าว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เป็นบ่าวที่ดูแลท่านไม่ดีเอง บ่าวสมควรตาย คุณหนู!”
เมิ่งหว่านชิงเห็นท่าทาง ร้องโวยวาย อีกทั้งยังมีน้ำตาอาบแก้ม สะอื้นไห้อย่างสมจริงของอวี้หรุนก็ตกใจไปชั่วขณะจนลืมบทแสร้งไอของตนเอง ไม่คิดว่าหญิงสาวมุทะลุ ซื่อตรง อย่างอวี้หรุนจะเล่นใหญ่ แสร้งทำได้ดีขนาดนี้ ทักษะการแสดงช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
“คุณหนู ข้าน้อยทำเกินไปหรือไม่”
“ไม่! ทำต่อไป ร้องดังๆ”
สองนายบ่าวกระซิบกระซาบ ก่อนที่คนเป็นบ่าวจะร้องโวยวาย ส่วนคนเป็นนายก็ไอชุดใหญ่ทิ้งตัวก้มหน้ารางกับป่วยหนัก จนคนในศาลาอดที่จะลุกขึ้นมาดูไม่ได้
“ท่านเสวี่ย นางคือ...”
"นางเป็นหลานสาวที่เพิ่งเจ้าจวนมา..."
เมิ่งหว่านชิงได้ยินเสวี่ยเกาเยี่ยนแนะนำคนโดยจงใจเลี่ยงหลบสถานะอันแท้จริงก็แกล้งไออีกครัังก่อนจะชิงแนะนำตนเอง
“ข้าคือบุตรสาวของแม่ทัพเมิ่ง เมิ่งหว่านชิงเจ้าค่ะ แค่กๆ”
เสวี่ยเกาเยี่ยนได้ยินเด็กสาวแนะนำตัวต่อรุ่ยอ๋องก็ขบกรามแน่น ใครบ้างไม่รู้ว่าท่านอ๋องผู้นี้ชื่นชมแม่ทัพเมิ่งที่เป็นวีรบุรุษพิทักษ์ชาติเพียงใด หากรู้ว่าเมื่อวานเขาลงมือกับสองแม่ลูกคู่นี้อย่างไร ต้องเกิดความไม่พอใจขึ้นมาแน่ๆ
คิ้วหนาของท่านอ๋องหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางคนติดตามที่ถือเสื้อคลุมของเขาอยู่ โดยไม่ต้องออกคำสั่งเสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดงราคาแพงก็ถูกนำไปวางบนตัวของเด็กหญิงที่กำลังไอไม่หยุดตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงตกน้ำได้”
เสวี่ยเกาเยี่ยนหันไปเค้นเสียงถลึงตาถามสาวใช้ติดตามของหลานสาว ทว่าอีกฝ่ายไม่ทันตอบ เด็กหญิงตรงหน้าก็ร่ำไห้รีบหันไปทางสระน้ำ
“แย่แล้ว! อาหารเพียงมื้อเดียวของท่านแม่! อวี้หรุนเจ้ารีบลงน้ำไปเก็บมา อาจยังมีบางอย่างพอให้กินได้อยู่”
“คุณหนู อาหารตกน้ำไปแล้ว กินไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งหว่านชิงแสร้งตีหน้าเศร้าน้ำตาไหลพราก ไหล่เล็กสั่นไหว บ่นเสียงเบาด้วยท่าทางชวนเวทนา
“เป็นความผิดของข้า เพราะเห็นว่าเมื่อวานท่านแม่ถูกสั่งงดอาหาร ไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน พอได้อาหารมาก็รีบวิ่งโดยไม่ระวัง ตอนนี้ตกน้ำไปหมดแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรดี”
เด็กหญิงพูดพลางสะอื้นไห้ ดวงตากลมจ้องมองไปในผืนน้ำด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด
“นี่เป็นอาหารมื้อเดียวที่จวนเสวี่ยมอบให้เรา เช่นนั้นวันนี้ท่านแม่จะกินอะไร ข้า... ข้าช่างอกตัญญูยิ่งนัก!!”
รุ่ยอ๋องไม่ใช่บุรุษโง่งม การแสดงที่มีพิรุจมากมายเช่นนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร ทว่าแม้เป็นเรื่องในเรือนของผู้อื่น แต่หญิงสาวตรงหน้าก็นับเป็นหลานตาของอาจารย์เขา อีกทั้งยังเป็นบุตรีของแม่ทัพเมิ่งที่ปกป้องต้าเซี่ยมาถึงเก้ารุ่น เขาย่อมต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือสักหน่อย
“ท่านเสวี่ย เรื่องนี้ท่านควรอธิบายให้ชัดเจนสักหน่อยหรือไม่”
“เอ่อ... คือ...”
“พี่ชายท่านอย่าตำหนิท่านลุงใหญ่เลยเจ้าค่ะ ล้วนเป็นความผิดของชิงเอ๋อร์ เมื่อวานไม่ระวังทำให้ท่านป้าสะใภ้โกรธ ท่านลุงจึงให้ท่านแม่คุกเข่าในโถงบรรพชนและงดอาหารเป็นการลงโทษตามกฎบ้าน”
ปากบอกว่าไม่ให้ตำหนิ แต่ทุกคำที่เอ่ยล้วนชัดเจนว่าเป็นการเอ่ยฟ้อง ช่างเป็นเด็กหญิงที่น่าสนใจจริงๆ รุ่ยอ๋องยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แม้จะเพียงชั่วพริบตาเดียวแต่ก็กลายเป็นภาพที่ทำให้เหล่าบรรดาผู้ติดตามตื่นตกใจจนตาโต
เมื่อครู่ท่านอ๋องกำลังยิ้มหรือ... เป็นไปได้อย่างไร
................................................
เมื่อครู่ท่านอ๋องกำลังยิ้มหรือ... เป็นไปได้อย่างไร“อ่อ... ที่แท้ก็เป็นการลงโทษตามกฎบ้านตระกูลเสวี่ยนี่เอง”“เจ้าค่ะ ท่านลุงบอกว่าท่านแม่ไม่เคารพผู้อาวุโส ลบหลู่ท่านป้าสะใภ้”“ผู้อาวุโส? หากลำดับดูแล้วมารดาของนางเป็นบุตรีในภรรยาเอกของท่านอาจารย์ ส่วนฮูหยินของท่านเป็นสะใภ้ของบุตรชายจากภรรยารอง ท่านเสวี่ยดูเหมือนท่านจะลำดับความอาวุโสผิดไปหน่อยนะ”“เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือน ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”“พี่ชายกล่าวผิดแล้ว หากท่านแม่เป็นผู้อาวุโสของจวนทำไมท่านป้าสะใภ้ถึงได้จัดเรือนเล็กด้านหลังให้พวกเราพัก ไม่ใช่เรือนหลักด้านหน้าเล่าเจ้าคะ”“โอ้ว! ยังให้อยู่ที่เรือนเล็กด้านหลังด้วย กฎบ้านท่านเสวี่ยช่างเยี่ยมยอดจริงๆ”“ข้าเองก็คิดเหมือนพี่ชาย กฎบ้านเสวี่ยยอดเยี่ยมมากจริงๆ บางเรื่องก็ชวนให้ข้ารู้สึกสับสน”“รู้สึกสับสนอย่างนั้นหรือ”รุ่ยอ๋องเอ่ยถามเสียงสูง พลางหันมามองเด็กหญิงตรงหน้าในใจนึกอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีละครฉากใดที่ต้องการแสดงให้เขาดูอีก“เจ้าค่ะ ตอนที่ข้ากับท่านแม่มาถึงท่านลุงใหญ่ถามถึงสินเดิมและสมบัติของตระกูลเมิ่งบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่พอข้าบอกว่าตระกูลเมิ่งไม่มีทรัพย์มีเพียงหนี้สิ
บทที่ 2.1ทวงคืนสถานะเมิ่งหว่านชิงหยุดเท้าที่ริมสระบัว ก่อนจะทอดสายตามองไปยังศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในความทรงจำเดิมวันนี้ รุ่ยอ๋อง หรือ องค์ชายเก้าหยางเทียนอี้ น้องชายคนโปรดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมาที่จวนเสวี่ยเพื่อคุยเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตกับเสวี่ยเกาเยี่ยน ริมฝีปากบางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จดจ้องสายตาไปยังบุรุษวัยยี่สิบต้นๆ ผู้มีรูปร่างโดดเด่น ท่าทีสง่างาม แม้ไม่เคยหน้าแต่เมิ่งหว่านชิงก็คาดเดาได้ในทันทีจะว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นรุ่ยอ๋องอย่างแน่นอน เท้าเล็กขยับเตรียมกระโจนลงสระบัว ทว่ากลับถูกอวี้หรุนสาวใช้ข้างกายจับแขนเอาไว้เสียก่อน“คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ”“สั่งสอนคนที่รังแกท่านแม่ของข้าอย่างไรเล่า”พูดจบก็สลัดแขนจากสาวใช้กระโจนลงสระบัวในทันที โดยจงใจทิ้งตัวให้เสียงกระแทกน้ำดังก้องไปทั่วทั้งสวน เพื่อดึงสายตาของคนในศาลาข้างสระฝั่งตรงข้าม“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”อวี้หรุนขมวดคิ้วเล็ก นางจำได้ว่าคุณหนูของตนไม่เพียงเชี่ยวชาญการขี้ม้า ยิงธนู ฟันดาบ เรื่องว่ายน้ำนี้ก็ชำนาญไม่แพ้ผู้ใด เหตุใดตอนนี้จึงทำท่าราวกับจะจมน้ำเล่าหรือว่าคุณหนู... นางจะเป็นตะคริวไม่คิดให้มากความอวี้หรุนก
บทที่ 1.3กลับบ้านเดิม“ใกล้ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ฮูหยินกับคุณหนูโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรับอาหารที่ห้องครัว อวี้หรุนฝากดูแลฮูหยินกับคุณหนูด้วย”“อืม! ไม่ต้องห่วง ข้ารับรองว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องฮูหยินกับคุณหนูแน่นอน”อวี้หรุน สาวใช้ติดตามจากจวนแม่ทัพเมิ่งบอกด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นเคืองใจ เมื่อเช้านี้ตอนที่มาถึงจวนตระกูลเสวี่ย เพราะฮูหยินต้องการพบปะพี่น้องเป็นการส่วนตัว นางกับเจียงซินจึงรออยู่ที่ด้านนอก ไม่คาดคิดว่ากลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้คนอื่นมารังแกนายทั้งสอง“ข้ากับชิงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง”เสวี่ยชิงเยี่ยนสังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของสาวใช้คนสนิท ก็คาดเดาความคิดนางได้ในทันที เพื่อไม่ให้นางไปก่อเรื่องใหญ่จึงพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายลง เมิ่งหว่านชิงมองดูอวี้หรุนด้วยสายตารู้สึกผิดอยู่ในที แม้ว่าอวี้หรุนจะมีสถานะเป็นสาวใช้เช่นเดียวกับเจียงซิน ทว่าแท้จริงแล้วนางคือหนึ่งในทหารฝีมือดีของกองทัพตระกูลเมิ่ง เกิดและเติบโตในสนามรบ การต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร ทว่าข้อเสียของนางก็คือนิสัยมุทะลุยอมหักไม่ยอมงอ ยอมตายไม่ยอมถอย สุดท้ายก็ถูกเหลียงฮุ่ยหลินใช้จุดนี้มาเล่นงานแน่
บทที่ 1.2กลับบ้านเดิม“ครอบครัวเดียวกันอะไร น้องสามีเจ้าแต่งออกไปแล้วก็นับเป็นคนนอก อย่าได้มาคิดยุ่งเกี่ยวกับเงินทองในบ้านเชียว ไม่อย่างนั้นแม้แต่ที่ซุกหัวนอนพวกเราก็ไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่”เสวี่ยชิงเยี่ยนได้ยินคำดูแคลนของจ้าวซูซินก็กำมือแน่น สองตาแดงก่ำ ตั้งแต่เล็กเพราะนางเป็นบุตรีของภรรยาเอก ส่วนพี่ชายเป็นบุตรชายของภรรยารอง ทำให้ไม่คุ้นเคยสนิทสนมกันอย่างที่พี่น้องควรจะเป็น แต่ที่ผ่านมานางก็มองอีกฝ่ายเป็นพี่ชายเสมอ แม้แต่ตำแหน่งขุนนางขั้นห้าของเขาในตอนนี้ก็เป็นนางที่ร้องขอสามีให้ทูลขอพระราชทานมาให้ ไม่คิดว่าสุดท้ายกลับได้รับผลตอบแทนเช่นนี้“ตามกฎหมายของต้าเซี่ยเล่มที่สามสิบสอง บทที่หก กล่าวว่าหากสามีตาย ไร้ญาติผู้ใหญ่ให้พึ่งพา ไร้บุตรชายให้พึ่งพิง สตรีต้องกลับคืนตระกูลเดิม สัดส่วนสมบัติและมรดกก็จะถูกจัดแบ่งอย่างเหมาะสมเท่าเทียมกับบุตรคนอื่น ๆ พี่สะใภ้เล่าเรียนในหอเฟยเซียนมาหลายปีเรื่องพวกนี้หลงลืมไปหมดแล้วหรือ”เสวี่ยชิงเยี่ยนในอดีตไม่เพียงเป็นบุตรีภรรยาเอกของท่านราชครู ยังนับเป็นสตรีอันดับหนึ่งที่ผู้คนยกย่อง ด้วยเพียบพร้อมทั้งศักดิ์ฐานะ มารยาท คุณธรรม และความรู้ หากไม่เพราะมีใจรักมั่
บทที่ 1.1กลับบ้านเดิมเมิ่งหว่านชิง มองดูภาพเบื้องหน้าที่ค่อย ๆ ชัดเจน แล้วแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง“เสวี่ยชิงเยี่ยนพาบุตรสาวกลับบ้านเดิม คารวะพี่ใหญ่ พี่สะใภ้”กลับบ้านเดิม นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนที่นางจะแต่งเข้าจวนตระกูลเกาหรืออย่างไร ริมฝีปากของเมิ่งหว่านชิงในวัยสิบสี่ปียกยิ้มกว้างดูเหมือนข้าจะย้อนเวลามาอย่างนั้นสินะหัวใจของนางเต้นระรัวความยินดีเอ่อล้นอยู่ในอก ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ชาตินี้ข้าไม่ขอเป็นสตรีตัวแทนผู้ใด ความแค้นในชาติก่อนข้าจะทวงคืนกลับทั้งต้น ทั้งดอก!หากแต่ไม่ทันได้รื้อฟื้นความทรงจำในอดีตเพิ่มเติมเสียงของสตรีเบื้องหน้าก็ดังขึ้น“ชิงเยี่ยน รีบลุกขึ้นเถิด เดินทางไกลเหนื่อยหรือไม่ เสี่ยวถิงยังไม่รีบรินน้ำชาให้น้องสามีข้าอีก โอ้ว! นี่คงเป็นชิงเอ๋อร์ของพวกเราใช่หรือไม่ งดงามแต่เยาว์วัยเหมือนเจ้าไม่มีผิด”เมิ่งหว่านชิงถูกพาดพิงถึงก็จดจำได้ในทันที สองสามีภรรยาตรงหน้านี้ก็คือ เสวี่ยเกาเยี่ยน และ จ้าวซูซิน ลุงและป้าสะใภ้ของนางนั่นเองหึ! ล้วนเป็นพวกหน้าซื่อใจคดในอดีตสองสามีภรรยาบ้านเสวี่ยคู่นี้แสร้งทำดี ตีสองหน้า จนมารดาของนางไว้วางใจนำสมบัติเก้ารุ่นของตระกูลเม
บทนำหวนคืน“เกาอู๋ฮั่น ท่าน... แค่ก!”น้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือเอ่ยถาม ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา แต่แม้จะบาดเจ็บปางตายนางก็ยังคงจดจ้องรอคอย... รอคอยคำอธิบายจากชายผู้เป็นสามี ดวงตาคมแดงก่ำจดจ้องใบหน้าของเขาด้วยความปวดร้าวผิดหวัง ในขณะที่สองมือสองเท้าถูกมัดเอาไว้หากแต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงยกยิ้มดูแคลน สาวเท้าเข้ามาประชิดแล้วใช้ดาบในมือแทงเข้าที่กลางอกของนาง ด้วยสายตาเยือกเย็น“อั๊ก! ทะ... ทำไมถึงได้...”“ทำไมน่ะหรือ... เมิ่งหว่านชิง สตรีใจทรามหยาบช้าเช่นเจ้า กล้าถามคำถามนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”สตรีใจทรามหยาบช้า คิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่น ความเจ็บปวดจากคมดาบเมื่อครู่เทียบกับประโยคนี้ของเขาแล้ว กลับสร้างความเจ็บปวดให้นางมากกว่านับร้อยนับพันเท่า“เกาอู๋ฮั่น เจ้ามันคนไร้คุณธรรม สามปีก่อนข้าก้าวเท้าเข้าจวน ยังไม่ทันเข้าประตูเรือนหอ มารดาของเจ้าก็ร้องขอให้ข้าออกรบแทนเจ้า เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณของข้า ยังกล้าร่วมมือกับสตรีหน้าหนาผู้นี้ทรยศข้า!”เมิ่งหว่านชิงตวัดสายตามองไปทางสตรีที่ยืนข้างกายเขา กู้ฮวาหลัน พี่สาวบุญธรรมของนาง“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ตาบอด ถึงได้มองสตรีงูพิษเช่นเจ้าไม่ออก”“สตรีงูพิษ